ในบรรดาประเทศ/กลุ่มประเทศที่ไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งที่ทำข้อตกลงกันโดยตรงหรือทำผ่านกลุ่มการค้าที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่ "จีน" นับเป็นประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่ไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงานในการผลิต (Labor-intensive Industry) ในประเทศจีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศอื่นด้วยต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ต่ำเป็นสำคัญ ส่งผลให้ทั้งประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่งของจีนต่างได้รับผลกระทบโดยทั่วกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงานยังคงเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้แก่จีนในปัจจุบัน แต่รัฐบาลจีนกลับทุ่มเทความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของประเทศให้ทันสมัยอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างไม่หยุดยั้งเครื่องมือสำคัญที่จีนใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี คือ นโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วยการกำหนดข้อบังคับให้นักลงทุนต่างชาติถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทร่วมทุนที่เป็นของจีน ทำให้บริษัทชั้นนำในประเทศจีนมีแนวโน้มก้าวสู่การผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในระดับนานาชาติ ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศซึ่งหลั่งไหลเข้ามาร่วมทุนและตั้งฐานการผลิตในจีนอย่างต่อเนื่องด้วยมูลค่าเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล เป็นต้น ส่งผลให้จีนสามารถผลิตชิ้นส่วนยานยนต์โดยใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงได้ และสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพทัดเทียมกับที่ผลิตในยุโรปและญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้กำหนดมาตรฐานระดับโลกของเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท นอกจากนี้ จีนยังมีความพยายามในการพัฒนาด้านอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและรองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนี้
* การกำหนดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 2525โดยแผนล่าสุดที่ประกาศใช้ในเดือนมิถุนายน 2540 คือ The National Key Basic Research Program ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมขั้นพื้นฐาน รวมทั้งสร้างโครงการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่เกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว พร้อมทั้งตั้งมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (The National NaturalScience Foundation) เพื่อจัดหางบประมาณในการวิจัยและพัฒนาตามแผนดังกล่าว
* การจัดตั้งเมืองวิทยาศาสตร์ (Science City) ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองเหอเฟย์ ในมณฑลอานฮุย เพื่อเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายให้เป็นเสมือน Silicon Valley ในสหรัฐอเมริกา
* การพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลจีนได้ริเริ่มโครงการ The National 211Project ในปี 2540 มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพมหาวิทยาลัยของจีนให้ก้าวหน้าทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกภายในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนในมหาวิทยาลัยของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ซึ่งมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนมากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดของจีน และคาดว่าจำนวนนักศึกษาในสาขาดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1 ล้านคนซึ่งจะทำให้จีนมีบุคลากรรองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเพียงพอในอนาคต นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลจีนได้ได้ริเริ่มโครงการ University Town ขึ้น ณ เมืองเสิ่นเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง (เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ทั้งหมดของจีน) โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรจำนวน 10,000 คน เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อใช้ในภาคการผลิตในอนาคต
การที่จีนเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่มีสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกคล้ายคลึงกับจีนไม่สามารถนิ่งเฉยกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากคาดว่าสินค้าคุณภาพสูงของจีนจะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทยมากขึ้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งของไทย คือการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันกับจีน โดยอาจเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งเร่งสร้างความแตกต่างของสินค้าและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกระดับหนึ่งสำหรับส่งออกไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการสินค้าคุณภาพดี
นอกจากนี้ เนื่องจากจีนยังมีจุดอ่อนด้านการเงินและการธนาคารที่ยังไม่เปิดเสรีและมีความยืดหยุ่นไม่มากนักรวมทั้งการบริการด้านข้อมูลข่าวสารที่ยังล่าช้า ส่งผลให้การให้บริการทางการเงินและการขนส่งสินค้าของจีนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงนับเป็นโอกาสของไทยที่จะผันตัวเองจากการเป็นฐานการผลิต ไปสู่การเป็นฐานการค้า (Trading Base) หรือเป็นตัวกลางในการติดต่อซื้อขาย การขนส่ง การบริหารสินค้าคงคลัง และการบริการทางการเงินการธนาคาร ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบจีนตรงที่สามารถดำเนินการได้อย่างเสรีและมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าสินค้า บริการและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กันยายน 2548--
-สส-
* การกำหนดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 2525โดยแผนล่าสุดที่ประกาศใช้ในเดือนมิถุนายน 2540 คือ The National Key Basic Research Program ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมขั้นพื้นฐาน รวมทั้งสร้างโครงการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่เกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว พร้อมทั้งตั้งมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (The National NaturalScience Foundation) เพื่อจัดหางบประมาณในการวิจัยและพัฒนาตามแผนดังกล่าว
* การจัดตั้งเมืองวิทยาศาสตร์ (Science City) ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองเหอเฟย์ ในมณฑลอานฮุย เพื่อเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีเป้าหมายให้เป็นเสมือน Silicon Valley ในสหรัฐอเมริกา
* การพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รัฐบาลจีนได้ริเริ่มโครงการ The National 211Project ในปี 2540 มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพมหาวิทยาลัยของจีนให้ก้าวหน้าทัดเทียมมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกภายในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนในมหาวิทยาลัยของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ซึ่งมีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนมากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดของจีน และคาดว่าจำนวนนักศึกษาในสาขาดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1 ล้านคนซึ่งจะทำให้จีนมีบุคลากรรองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเพียงพอในอนาคต นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2546 รัฐบาลจีนได้ได้ริเริ่มโครงการ University Town ขึ้น ณ เมืองเสิ่นเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง (เป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ทั้งหมดของจีน) โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรจำนวน 10,000 คน เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อใช้ในภาคการผลิตในอนาคต
การที่จีนเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่มีสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกคล้ายคลึงกับจีนไม่สามารถนิ่งเฉยกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากคาดว่าสินค้าคุณภาพสูงของจีนจะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทยมากขึ้น ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งของไทย คือการปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันกับจีน โดยอาจเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งเร่งสร้างความแตกต่างของสินค้าและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกระดับหนึ่งสำหรับส่งออกไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการสินค้าคุณภาพดี
นอกจากนี้ เนื่องจากจีนยังมีจุดอ่อนด้านการเงินและการธนาคารที่ยังไม่เปิดเสรีและมีความยืดหยุ่นไม่มากนักรวมทั้งการบริการด้านข้อมูลข่าวสารที่ยังล่าช้า ส่งผลให้การให้บริการทางการเงินและการขนส่งสินค้าของจีนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงนับเป็นโอกาสของไทยที่จะผันตัวเองจากการเป็นฐานการผลิต ไปสู่การเป็นฐานการค้า (Trading Base) หรือเป็นตัวกลางในการติดต่อซื้อขาย การขนส่ง การบริหารสินค้าคงคลัง และการบริการทางการเงินการธนาคาร ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบจีนตรงที่สามารถดำเนินการได้อย่างเสรีและมีประสิทธิภาพมากกว่า รวมทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าสินค้า บริการและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กันยายน 2548--
-สส-