แท็ก
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
ดุลบัญชีเดินสะพัด
พรรคประชาธิปัตย์
สภาผู้แทนราษฎร
เมกะโปรเจก
การนำเข้า
ดร.เกรียงศักดิ์ ให้ฉายา เมกะโปรเจกต์ เป็นโครงการ ‘หมกโปรเจกต์’ เพราะมีความไม่ชัดเจน 4 ประการ คือ หมกการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หมกค่าโง่ หมกการนำเข้า และ หมกการอุดหนุนของรัฐ
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ วิพากษ์เกี่ยวกับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ว่าเป็น ‘หมกโปรเจกต์’ หลังจากกระทรวงการคลังออกมาตอบโต้ทีดีอาร์ไอในเรื่องดังกล่าว โดยระบุถึงความไม่ชัดเจน 4 ประการ คือ 1. หมกการขาดดุลฯ หลังจากทีดีอาร์ไอได้ออกมาเตือนรัฐบาลเหมือนที่ตนได้เคยอภิปรายเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่หลังจากได้รับทราบคำชี้แจงของกระทรวงการคลังแล้ว ตนก็สงสัยว่ารัฐบาลหมกการขาดดุลฯ เพราะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการขาดดุลฯ เพราะการชี้แจงของกระทรวงการคลังล่าสุด ได้ปรับสมมติฐานให้การส่งออกโต 15% ราคาน้ำมัน 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้ง ๆ ที่ แผนการลงทุนที่เสนอต่อ ครม. เมื่อ 14 มิ.ย.48 ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 45.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการส่งออกปี 48 โต 20% ยังพบว่าขาดดุล -2.04%, -3.29% และ —2.15%ของจีดีพี ระหว่างปี 50-52 ตามลำดับ ดังนั้นผลการวิเคราะห์ล่าสุดน่าจะขาดดุลฯ มากขึ้น แต่กระทรวงการคลังก็ยังยืนยันว่าจะไม่เกิน -2% GDP”
2. หมกค่าโง่ การที่รัฐบาลยืนยันมาโดยตลอดว่าหากขาดดุลเกินกว่าที่กำหนดจะชะลอโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าออกไป ผมยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการอย่างไรและไม่รู้ว่าใช้เกณฑ์อะไร และถ้ารัฐเร่งทำโครงการต่าง ๆ พร้อม ๆ กัน เมื่อเริ่มต้นก่อสร้างแล้วจะชะลอได้อย่างไร เพราะเมื่อเริ่มต้นลงทุนก่อสร้างโครงการต่าง ๆ การชะลอโครงการ หมายความว่า รัฐจะผิดสัญญากับผู้รับเหมา รัฐต้องจ่ายค่าเสียหาย หรือ ค่าโง่ให้แก่ผู้รับเหมา ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ก่อสร้างต่อ
3. หมกการนำเข้า รัฐบาลจะควบคุมสัดส่วนการนำเข้าให้อยู่ที่ 30% ได้อย่างไร ในเมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินมีสัดส่วนนำเข้าโดยตรง 40% แม้จะมีแนวคิดจัดตั้งโรงงานประกอบรถไฟฟ้าในประเทศ แต่อุตสาหกรรมรถไฟฟ้าใช้เทคโนโลยีชั้นสูง การผลิตในประเทศจึงช่วยลดสัดส่วนการนำเข้าได้ไม่มากนัก และหากโครงการต่าง ๆ เริ่มต้นไปแล้ว พบว่ามีสัดส่วนการนำเข้าโดยรวมเกิน 30% จะควบคุมอย่างไร รัฐบาลจะเปลี่ยนสเปกของโครงการกลางทาง เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิหรือไม่ และหากมีวัสดุอุปกรณ์ที่มีสัดส่วนการนำเข้าต่ำกว่า ทำไมไม่กำหนดสเปกไว้ตั้งแต่ก่อนทำสัญญาก่อสร้าง
และ 4.หมกการอุดหนุน รัฐบาลไม่ได้แสดงตัวเลขออกมาให้ชัดเจนว่า ความคุ้มค่าของแต่ละโครงการเป็นอย่างไร ในอนาคต รัฐบาลจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ และอุดหนุนโครงการทั้งหมดในแต่ละปีเป็นเงินเท่าไร แม้ว่าเมกะโปรเจกต์จะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ส่วนใหญ่อาจไม่คุ้มทุน ทำให้เอกชนไม่ลงทุน รัฐบาลต้องเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้รัฐรับภาระอุดหนุนโครงการอย่างไม่สิ้นสุด
ดังนั้นตนจึงขอเสนอแนะว่า รัฐบาลควรศึกษาโครงการต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อนเริ่มโครงการ อย่าก่อสร้างไปเปลี่ยนสเปกของโครงการไป รวมทั้งต้องกำหนดแผนสำรองกรณีแย่ที่สุดเอาไว้ด้วย เช่น หากงบบานปลายจะหาเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากแหล่งใด นอกจากนี้รัฐบาลควรปรับรูปแบบการลงทุนและการบริหารบางโครงการให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น เพื่อจูงใจให้เอกชนมาร่วมลงทุน และลดภาระทางการคลังของรัฐบาลด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ค. 2548--จบ--
นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ วิพากษ์เกี่ยวกับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล ว่าเป็น ‘หมกโปรเจกต์’ หลังจากกระทรวงการคลังออกมาตอบโต้ทีดีอาร์ไอในเรื่องดังกล่าว โดยระบุถึงความไม่ชัดเจน 4 ประการ คือ 1. หมกการขาดดุลฯ หลังจากทีดีอาร์ไอได้ออกมาเตือนรัฐบาลเหมือนที่ตนได้เคยอภิปรายเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แต่หลังจากได้รับทราบคำชี้แจงของกระทรวงการคลังแล้ว ตนก็สงสัยว่ารัฐบาลหมกการขาดดุลฯ เพราะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการขาดดุลฯ เพราะการชี้แจงของกระทรวงการคลังล่าสุด ได้ปรับสมมติฐานให้การส่งออกโต 15% ราคาน้ำมัน 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้ง ๆ ที่ แผนการลงทุนที่เสนอต่อ ครม. เมื่อ 14 มิ.ย.48 ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 45.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการส่งออกปี 48 โต 20% ยังพบว่าขาดดุล -2.04%, -3.29% และ —2.15%ของจีดีพี ระหว่างปี 50-52 ตามลำดับ ดังนั้นผลการวิเคราะห์ล่าสุดน่าจะขาดดุลฯ มากขึ้น แต่กระทรวงการคลังก็ยังยืนยันว่าจะไม่เกิน -2% GDP”
2. หมกค่าโง่ การที่รัฐบาลยืนยันมาโดยตลอดว่าหากขาดดุลเกินกว่าที่กำหนดจะชะลอโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าออกไป ผมยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการอย่างไรและไม่รู้ว่าใช้เกณฑ์อะไร และถ้ารัฐเร่งทำโครงการต่าง ๆ พร้อม ๆ กัน เมื่อเริ่มต้นก่อสร้างแล้วจะชะลอได้อย่างไร เพราะเมื่อเริ่มต้นลงทุนก่อสร้างโครงการต่าง ๆ การชะลอโครงการ หมายความว่า รัฐจะผิดสัญญากับผู้รับเหมา รัฐต้องจ่ายค่าเสียหาย หรือ ค่าโง่ให้แก่ผู้รับเหมา ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ก่อสร้างต่อ
3. หมกการนำเข้า รัฐบาลจะควบคุมสัดส่วนการนำเข้าให้อยู่ที่ 30% ได้อย่างไร ในเมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินมีสัดส่วนนำเข้าโดยตรง 40% แม้จะมีแนวคิดจัดตั้งโรงงานประกอบรถไฟฟ้าในประเทศ แต่อุตสาหกรรมรถไฟฟ้าใช้เทคโนโลยีชั้นสูง การผลิตในประเทศจึงช่วยลดสัดส่วนการนำเข้าได้ไม่มากนัก และหากโครงการต่าง ๆ เริ่มต้นไปแล้ว พบว่ามีสัดส่วนการนำเข้าโดยรวมเกิน 30% จะควบคุมอย่างไร รัฐบาลจะเปลี่ยนสเปกของโครงการกลางทาง เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิหรือไม่ และหากมีวัสดุอุปกรณ์ที่มีสัดส่วนการนำเข้าต่ำกว่า ทำไมไม่กำหนดสเปกไว้ตั้งแต่ก่อนทำสัญญาก่อสร้าง
และ 4.หมกการอุดหนุน รัฐบาลไม่ได้แสดงตัวเลขออกมาให้ชัดเจนว่า ความคุ้มค่าของแต่ละโครงการเป็นอย่างไร ในอนาคต รัฐบาลจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ และอุดหนุนโครงการทั้งหมดในแต่ละปีเป็นเงินเท่าไร แม้ว่าเมกะโปรเจกต์จะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ส่วนใหญ่อาจไม่คุ้มทุน ทำให้เอกชนไม่ลงทุน รัฐบาลต้องเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งอาจทำให้รัฐรับภาระอุดหนุนโครงการอย่างไม่สิ้นสุด
ดังนั้นตนจึงขอเสนอแนะว่า รัฐบาลควรศึกษาโครงการต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อนเริ่มโครงการ อย่าก่อสร้างไปเปลี่ยนสเปกของโครงการไป รวมทั้งต้องกำหนดแผนสำรองกรณีแย่ที่สุดเอาไว้ด้วย เช่น หากงบบานปลายจะหาเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากแหล่งใด นอกจากนี้รัฐบาลควรปรับรูปแบบการลงทุนและการบริหารบางโครงการให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น เพื่อจูงใจให้เอกชนมาร่วมลงทุน และลดภาระทางการคลังของรัฐบาลด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ก.ค. 2548--จบ--