นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2549 คณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชนไทยนำโดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ เดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสว่าด้วยความร่วมมือค้าข้าว เวียดนาม-ไทย กับคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเวียดนามนำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าเวียดนาม ( H.E. Mr. Pham The Rue) ณ เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม
การประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนาม Working record ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยและกระทรวงการค้าเวียดนามที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกโดยเน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนการส่งออกและการตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดการสต็อกข้าวที่เหมาะสม ป้องกันภาวะข้าวล้นตลาด และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวกันอย่างจริงจังมากขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1 การแลกเปลี่ยนข้อมูลข้าว ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การผลิต การส่งออกข้าวในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาและแผนการส่งออกในปี 2550 รวมทั้งนโยบายข้าวที่สำคัญ โดยฝ่ายเวียดนามแจ้งว่ารัฐบาลได้เพิ่มบทบาทของสมาคมอาหารเวียดนามเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการส่งออกข้าว และร่วมมือกับภาคเอกชนของไทย เนื่องจากในปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนสินเชื่อและสถานที่เก็บรักษาข้าวทำให้ผู้ส่งออกเวียดนามไม่สามารถขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม
2 การทบทวนความร่วมมือที่ผ่านมาและความร่วมมือในอนาคต ทั้งสองฝ่ายแสดงความพอใจกับความร่วมมือระหว่างกันในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาที่ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยเฉพาะความร่วมมือภาคเอกชนระหว่างสมาคมอาหารเวียดนามและสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศซึ่งไม่เคยมีปรากฎมาก่อน ทั้งนี้ยังเห็นชอบที่จะขยายความร่วมมือในอนาคตเพิ่มขึ้น ดังนี้
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลข้าวที่มีความถูกต้องแม่นยำสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศของไทยและกรมการนำเข้าและส่งออกของเวียดนามหารือแนวทางในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลการระบายข้าวในสต๊อกเพื่อการส่งออกในเชิงลึกเช่น ระยะเวลา ปริมาณและชนิดข้าวเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก
-สนับสนุนภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายให้มีการหารือและเร่งดำเนินการให้ความร่วมมือเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
3 การประชุมภาคเอกชน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการประชุมความร่วมมือค้าข้าวระดับภาคเอกชนครั้งที่ 2 ณ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 25 —27 กันยายน 2549 เพื่อหารือในเรื่องการทำการตลาดร่วม การสร้างโกดังเก็บรักษาข้าว การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการจัดสัมมนาธุรกิจข้าวร่วมกัน (Joint seminars on rice business )
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย ฝ่ายเวียดนามจึงขอเลื่อนกำหนดการประชุมฯ ออกไปเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน 2549
4 การประชุมภาครัฐ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสความร่วมมือค้าข้าวครั้งต่อไปในช่วงปลายปี 2550 ที่กรุงเทพฯ
การประชุมความร่วมมือข้าวในครั้งนี้ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐมีความคืบหน้าและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการลดช่องว่างราคาเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก และที่สำคัญยิ่งคือการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคาดว่าหลังจากการประชุมระหว่างทั้งสองสมาคมในครั้งต่อไปจะทำให้ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเป็นรูปธรรมและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
อนึ่งสำหรับการส่งออกข้าวไทย ซึ่งในปีนี้มีเป้าหมายการส่งออก 7.5 ล้านตัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ส่งออกแล้วปริมาณ 5.07 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.68 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ คือ เบนิน เซเนกัล แคเมอรูน และเยเมน สำหรับเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกส่งออกแล้วปริมาณรวมทั้งสิ้น 4.2 ล้านตัน จากเป้าหมายส่งออกที่กำหนดไว้ในปีนี้ประมาณ 5 ล้านตัน โดยตลาดส่งออกสำคัญได้แก่ ฟิลิปปินส์ แอฟริกา และคิวบา
--กรมการค้าต่างประเทศ--
-สส-
การประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนาม Working record ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยและกระทรวงการค้าเวียดนามที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกโดยเน้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผนการส่งออกและการตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดการสต็อกข้าวที่เหมาะสม ป้องกันภาวะข้าวล้นตลาด และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวกันอย่างจริงจังมากขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1 การแลกเปลี่ยนข้อมูลข้าว ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การผลิต การส่งออกข้าวในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาและแผนการส่งออกในปี 2550 รวมทั้งนโยบายข้าวที่สำคัญ โดยฝ่ายเวียดนามแจ้งว่ารัฐบาลได้เพิ่มบทบาทของสมาคมอาหารเวียดนามเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการส่งออกข้าว และร่วมมือกับภาคเอกชนของไทย เนื่องจากในปัจจุบันเวียดนามประสบปัญหาในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนสินเชื่อและสถานที่เก็บรักษาข้าวทำให้ผู้ส่งออกเวียดนามไม่สามารถขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม
2 การทบทวนความร่วมมือที่ผ่านมาและความร่วมมือในอนาคต ทั้งสองฝ่ายแสดงความพอใจกับความร่วมมือระหว่างกันในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาที่ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยเฉพาะความร่วมมือภาคเอกชนระหว่างสมาคมอาหารเวียดนามและสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศซึ่งไม่เคยมีปรากฎมาก่อน ทั้งนี้ยังเห็นชอบที่จะขยายความร่วมมือในอนาคตเพิ่มขึ้น ดังนี้
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลข้าวที่มีความถูกต้องแม่นยำสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศของไทยและกรมการนำเข้าและส่งออกของเวียดนามหารือแนวทางในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลการระบายข้าวในสต๊อกเพื่อการส่งออกในเชิงลึกเช่น ระยะเวลา ปริมาณและชนิดข้าวเพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก
-สนับสนุนภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายให้มีการหารือและเร่งดำเนินการให้ความร่วมมือเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
3 การประชุมภาคเอกชน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการประชุมความร่วมมือค้าข้าวระดับภาคเอกชนครั้งที่ 2 ณ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 25 —27 กันยายน 2549 เพื่อหารือในเรื่องการทำการตลาดร่วม การสร้างโกดังเก็บรักษาข้าว การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการจัดสัมมนาธุรกิจข้าวร่วมกัน (Joint seminars on rice business )
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย ฝ่ายเวียดนามจึงขอเลื่อนกำหนดการประชุมฯ ออกไปเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน 2549
4 การประชุมภาครัฐ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสความร่วมมือค้าข้าวครั้งต่อไปในช่วงปลายปี 2550 ที่กรุงเทพฯ
การประชุมความร่วมมือข้าวในครั้งนี้ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐมีความคืบหน้าและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการลดช่องว่างราคาเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก และที่สำคัญยิ่งคือการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคาดว่าหลังจากการประชุมระหว่างทั้งสองสมาคมในครั้งต่อไปจะทำให้ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเป็นรูปธรรมและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
อนึ่งสำหรับการส่งออกข้าวไทย ซึ่งในปีนี้มีเป้าหมายการส่งออก 7.5 ล้านตัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ส่งออกแล้วปริมาณ 5.07 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.68 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีตลาดส่งออกสำคัญ คือ เบนิน เซเนกัล แคเมอรูน และเยเมน สำหรับเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกส่งออกแล้วปริมาณรวมทั้งสิ้น 4.2 ล้านตัน จากเป้าหมายส่งออกที่กำหนดไว้ในปีนี้ประมาณ 5 ล้านตัน โดยตลาดส่งออกสำคัญได้แก่ ฟิลิปปินส์ แอฟริกา และคิวบา
--กรมการค้าต่างประเทศ--
-สส-