ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. แก้ไขร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินให้บุคคลและนิติบุคคลที่ไม่ได้รับฝากเงินปล่อยสินเชื่อได้ นายสามารถ บูรณะวัฒนาโชค
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ในร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ธปท. ได้แก้ไขให้บุคคลและนิติบุคคลที่ไม่ได้รับฝาก
เงินจากประชาชนสามารถปล่อยสินเชื่อได้ โดยให้ผู้กู้ใช้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.
เพราะถือเป็นการทำธุรกิจทั่วไปที่ไม่ได้นำเงินฝากของประชาชนมาปล่อยกู้ แต่จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประเมินภาพรวมการปล่อยสินเชื่อ เพราะจะต้องมีการจดจำนอง ณ กรมที่ดิน สำหรับเหตุผลที่
อนุญาตให้บุคคลและนิติบุคคลทั่วไปปล่อยสินเชื่อได้ เนื่องจากต้องการให้มาทำธุรกิจแทนที่ บง. และ บค. ที่ในอนาคตจะหมดไปจากระบบตามแผน
พัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดให้ยื่นแผนธุรกิจเพื่อยกสถานะเป็น ธ.พาณิชย์ ซึ่งรายใดที่ไม่ได้ยื่นแผนหรือไม่ได้รับอนุญาต สุดท้าย
จะต้องเปลี่ยนเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้ บง. และ บค. ที่เหลือได้ยื่นแผนการทำธุรกิจมาให้ ธปท. ครบแล้ว หลายรายที่
ต้องการทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล แต่บางรายยังมีแผนที่ไม่ชัดเจนจึงส่งกลับไปให้แก้ไขภายในสิ้นปีนี้ เพื่อพิจารณาต่อว่าจะควรต้องคืนใบอนุญาต
ประกอบธุรกิจให้กับ ธปท. เมื่อใด ซึ่งควรจะเป็นปี 49 หรือ 50 ตามแต่กรณี ส่วนกรณี บค.ไทยเคหะ และ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ ที่ขอยกสถานะ
เป็น ธ.พาณิชย์กำลังเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะต้องได้ข้อสรุปเรียบร้อยภายในปีนี้ (มติชน)
2. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. กล่าวว่า ในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้ ธ.กลาง
สรอ. (เฟด) จะมีการประชุมรอบที่ 4 ของปี เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากที่นับตั้งแต่กลางปี 47 จนถึงขณะนี้ เฟดได้
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ติดต่อกันมาแล้ว 16 ครั้ง จากร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 สำหรับในการประชุมรอบนี้ถึงแม้ตัวเลข
เศรษฐกิจ สรอ. ส่วนใหญ่จะยังให้ภาพการขยายตัวที่ไม่ได้ร้อนแรงมากนัก โดยที่มีเครื่องชี้บางตัวสะท้อนถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจด้วย แต่
จากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน พ.ค. ที่ยังคงเพิ่มขึ้น ประกอบกับท่าทีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายคนที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ
ประเด็นความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าเฟดมีความโน้มเอียงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.25
สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินนั้น ปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและแถลงการณ์หลังการประชุม ซึ่งจะบ่งชี้ถึงมุมมอง
ทางเศรษฐกิจของเฟดและเป็นสิ่งที่ตลาดจะนำไปคาดการณ์ต่อถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย fed funds ในระยะข้างหน้า โดยหากเฟดปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด เงินดอลลาร์ สรอ. อาจจะไม่ได้รับปัจจัยหนุนมากนัก ในทางตรงกันข้ามหากเฟด
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดและยังส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นต่อไปอีก เงินดอลลาร์ สรอ. ก็อาจจะมีแรงหนุนให้ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบ
กับเงินสกุลอื่น ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย นอกจากน้ำหนักหลักทางด้านสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในประเทศแล้ว หากการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่าที่คาดการณ์ตามสมมติฐานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ก็อาจจะมีผลกระทบตามมาต่อการพิจารณาทิศทาง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระยะข้างหน้าได้เช่นกัน (กรุงเทพธุรกิจ)
3. บีโอไออาจปรับลดเป้าหมายขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้เหลือ 7 แสนล้านบาท นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช ปลัด
ก.อุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไออาจมีการปรับเป้าหมายตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
ของปี 49 ใหม่ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7.5 — 8.0 แสนล้านบาท เหลือในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนคือประมาณ 7 แสนล้านบาท และแม้จะลดเป้าแล้ว
โอกาสที่ตัวเลขจะลดต่ำกว่าเป้าหมายใหม่ยังมีอยู่ ซึ่งบีโอไอจะต้องเร่งชี้แจงเรื่องปัญหาการเมือง โดยทำความเข้าใจต่อนักลงทุนทั้งรายบริษัทและชี้
แจงผ่านหอการค้าต่างประเทศประจำประเทศไทยว่า การเมืองไทยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่นโยบายการลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
สำหรับในครึ่งหลังปี 49 การลงทุนคงจะชะลอตัว ปัจจัยหลักไม่ใช่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิยทั่วโลกที่กังวลเรื่อง
ราคาน้ำมันแพงและอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น ทั้งนี้ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีประมาณ 128,637 ล้านบาท ลดลง
กว่า 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 346,600 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้เร่งรัดให้ดึงดูดการลงทุนในทุกด้านเพื่อ
กระตุ้นเศรษฐกิจ (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ญี่ปุ่นและเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone จะชะลอตัวลงในปี 50 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 26 มิ.ย.49 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์มากกว่า 150 คนคาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ.จะชะลอตัวลงโดยขยายตัว
ร้อยละ 2.9 ในปี 50 หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.4 ในปี 49 เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.2 ในปี 50 หลังจาก
ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 49 และเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ที่คาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 1.8 หลังจากขยายตัว
ร้อยละ 2.1 ในปี 49 มีเพียงอังกฤษที่ผลสำรวจคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะดีขึ้นโดยขยายตัวร้อยละ 2.5 หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี
49 ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในประเทศดังกล่าวข้างต้นเพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ของ สรอ.จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.4 ต่อปีในช่วง 18 เดือนข้างหน้าสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีที่ ธ.กลาง สรอ.เห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ใน
ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วง 18 เดือนข้างหน้าของ Euro zone และอังกฤษจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.1 และ 1.9 ต่อปีตามลำดับ ในส่วนญี่ปุ่น
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อปีในปีงบประมาณ 49 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่า
อัตราดอกเบี้ยของ สรอ.จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.25 ต่อปี ในขณะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของ Euro zone จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่
ร้อยละ 3.25 ภายในสิ้นปี 49 ในส่วนญี่ปุ่นคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.25 ต่อปีในช่วงเดือน ก.ค.ถึง ก.ย.49 นับเป็นการ
สิ้นสุดนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ใช้มาเป็นเวลานานซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 0 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อปีจากเดือนก่อน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 26 มิ.ย.49
ก.พาณิชย์ของ สรอ.รายงานยอดขายบ้านใหม่ในเดือน พ.ค.49 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมีจำนวน 1.234 ล้านหลังต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ
4.6 ต่อปีจากจำนวน 1.180 ล้านหลังต่อปีในเดือน เม.ย.49 รายงานดังกล่าวซึ่งออกมาก่อนหน้าที่จะมีการประชุมนโยบายการเงินของ ธ.กลาง
สรอ.ในวันที่ 28 และ 29 มิ.ย.49 เพียง 2 วัน ชี้ให้เห็นว่าตลาดบ้านใน สรอ.ไม่ได้ชะลอตัวลงเร็วอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดไว้ เช่น
เดียวกับรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนบ้านที่เริ่มสร้างใหม่ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 สูงกว่าที่คาดไว้ โดยจำนวนคำขอ
สร้างบ้านที่ได้รับอนุญาตในเดือนเดียวกันลดลงเพียงร้อยละ 1.4 เทียบกับลดลงร้อยละ 2.1 ที่รายงานครั้งแรก นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลาง
สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 28 และ 29 มิ.ย.49 นี้ (รอยเตอร์)
3. กองทุนประกันสังคมของจีนมีแผนที่จะไปลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 รายงานจากเชียงไฮ เมื่อวันที่
27 มิ.ย. 49 ตลาดหลักทรัพย์ของจีนเปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของจีนมีแผนที่จะนำเงินไปลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศเป็นวงเงิน
500 — 800 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในราวปลายปีนี้ โดยจะเลือกผู้บริหารจัดการกองทุนและบริษัทหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 และคาดว่าในเริ่มแรกจะ
ลงทุนในฮ่องกงโดยผ่านผู้บริหารจัดการกองทุนในไตรมาสที่ 4 และเสริมว่ากองทุนประกันสังคมได้รับใบสมัครที่จะบริหารเงินทุนจากกองทุนรวมกว่า
80 ราย investment banks และ โบรกเกอร์ ซึ่งมีข้อกำหนดที่จะต้องลงทุนใน fixed-income products ต่างประเทศจำนวน
100 —300 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ฮ่องกงเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของบริษัทจีน และสถาบันการเงินของจีนมุ่งที่จะลงทุนเป็นอันดับแรกในช่วง
เริ่มต้นในเร็วๆนี้ ส่วนแผนการลงทุนอื่นๆ ภายใต้ Qualified Domestic Institutional Investor (QDII) ธพ.จีน ประกันภัย และ
สถาบันการเงินอื่นๆ ต่างก็ได้รับอนุญาตให้เริ่มลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีนี้ คาดว่าจะมีเงินทุน
ไหลออกเป็นจำนวนมาก แต่สถาบันการลงทุนแต่ละรายจะได้รับการจัดสรรในวงเงินจำกัด เนื่องจากทางการจีนต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก
เงินทุนไหลออก และเมื่อเดือนที่แล้วสำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของจีนได้ประกาศหลักเกณฑ์ในการลงทุนต่างประเทศสำหรับผู้จัดการกองทุน
รวมทั้งวงเงินที่บริหารจัดการต้องไม่น้อยกว่า 5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.และต้องมี credit rating ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่าระดับ A
(รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.5 เทียบต่อเดือน รายงาน
จากสิงคโปร์ เมื่อ 26 มิ.ย.49 Economic Development Board (EDB) เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.49 เพิ่ม
ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.5 เทียบต่อเดือน แต่ต่ำกว่าผลสำรวจโดยรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5
(ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) หลังจากที่ลดลงร้อยละ 11.6 ในเดือน เม.ย.49 (ตัวเลขที่ทบทวนแล้ว) เนื่องจากผลผลิตยาและผลผลิตของ
อู่ต่อเรือเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมเป็นดัชนีที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก นับเป็นความลำบากที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าแน่นอนได้ เนื่องจากผล
ผลิตยามีความผันผวน โดยเคยเพิ่มขึ้นเพียง 1 เดือนในปีนี้ที่ร้อยละ 18.2 ในเดือน ก.พ.49 สำหรับผลผลิตหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ
1 ใน 3 ของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต ลดลงถึงร้อยละ 5.2 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ
JP Morgan Chase กล่าวว่า ผลผลิตยาและเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนนี้มีมูลค่าสูงกว่าการลดลงของผลผลิตหมวดอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้
EDB ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมภาควิศวกรรมขนส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (ซึ่งนับรวมการต่อเรือและการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน) ส่ง
ผลให้ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.เพิ่มสูงขึ้น โดยภาควิศวกรรมขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทาง
ฤดูกาล) ขณะที่ผลผลิตเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 14 ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12.8 สำหรับตัวเลขผลผลิต
อุตสาหกรรมเมื่อเทียบต่อปีแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 และหากไม่นับรวมผลผลิตยาแล้ว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 จากปีก่อนหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถชี้วัดเศรษฐกิจได้ดีกว่าการรวมผลผลิตยาที่มีความผันผวนไว้ใน
ผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 มิ.ย. 49 26 มิ.ย. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อ
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.485 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.2708/38.5634 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11188 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.27/ 4.57 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,600/10,700 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.29 65.08 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)* ปรับเพิ่มลิตรละ 55 สตางค์ เมื่อ 20 พ.ค. 49 29.39*/27.54 29.39*/27.54 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. แก้ไขร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงินให้บุคคลและนิติบุคคลที่ไม่ได้รับฝากเงินปล่อยสินเชื่อได้ นายสามารถ บูรณะวัฒนาโชค
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ในร่าง พรบ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ธปท. ได้แก้ไขให้บุคคลและนิติบุคคลที่ไม่ได้รับฝาก
เงินจากประชาชนสามารถปล่อยสินเชื่อได้ โดยให้ผู้กู้ใช้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.
เพราะถือเป็นการทำธุรกิจทั่วไปที่ไม่ได้นำเงินฝากของประชาชนมาปล่อยกู้ แต่จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประเมินภาพรวมการปล่อยสินเชื่อ เพราะจะต้องมีการจดจำนอง ณ กรมที่ดิน สำหรับเหตุผลที่
อนุญาตให้บุคคลและนิติบุคคลทั่วไปปล่อยสินเชื่อได้ เนื่องจากต้องการให้มาทำธุรกิจแทนที่ บง. และ บค. ที่ในอนาคตจะหมดไปจากระบบตามแผน
พัฒนาระบบสถาบันการเงิน โดยก่อนหน้านี้ได้เปิดให้ยื่นแผนธุรกิจเพื่อยกสถานะเป็น ธ.พาณิชย์ ซึ่งรายใดที่ไม่ได้ยื่นแผนหรือไม่ได้รับอนุญาต สุดท้าย
จะต้องเปลี่ยนเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้ บง. และ บค. ที่เหลือได้ยื่นแผนการทำธุรกิจมาให้ ธปท. ครบแล้ว หลายรายที่
ต้องการทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล แต่บางรายยังมีแผนที่ไม่ชัดเจนจึงส่งกลับไปให้แก้ไขภายในสิ้นปีนี้ เพื่อพิจารณาต่อว่าจะควรต้องคืนใบอนุญาต
ประกอบธุรกิจให้กับ ธปท. เมื่อใด ซึ่งควรจะเป็นปี 49 หรือ 50 ตามแต่กรณี ส่วนกรณี บค.ไทยเคหะ และ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ ที่ขอยกสถานะ
เป็น ธ.พาณิชย์กำลังเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะต้องได้ข้อสรุปเรียบร้อยภายในปีนี้ (มติชน)
2. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. กล่าวว่า ในวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้ ธ.กลาง
สรอ. (เฟด) จะมีการประชุมรอบที่ 4 ของปี เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังจากที่นับตั้งแต่กลางปี 47 จนถึงขณะนี้ เฟดได้
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ติดต่อกันมาแล้ว 16 ครั้ง จากร้อยละ 1.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 สำหรับในการประชุมรอบนี้ถึงแม้ตัวเลข
เศรษฐกิจ สรอ. ส่วนใหญ่จะยังให้ภาพการขยายตัวที่ไม่ได้ร้อนแรงมากนัก โดยที่มีเครื่องชี้บางตัวสะท้อนถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจด้วย แต่
จากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในเดือน พ.ค. ที่ยังคงเพิ่มขึ้น ประกอบกับท่าทีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายคนที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ
ประเด็นความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าเฟดมีความโน้มเอียงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 5.25
สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินนั้น ปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่ขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและแถลงการณ์หลังการประชุม ซึ่งจะบ่งชี้ถึงมุมมอง
ทางเศรษฐกิจของเฟดและเป็นสิ่งที่ตลาดจะนำไปคาดการณ์ต่อถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย fed funds ในระยะข้างหน้า โดยหากเฟดปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด เงินดอลลาร์ สรอ. อาจจะไม่ได้รับปัจจัยหนุนมากนัก ในทางตรงกันข้ามหากเฟด
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดและยังส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นต่อไปอีก เงินดอลลาร์ สรอ. ก็อาจจะมีแรงหนุนให้ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบ
กับเงินสกุลอื่น ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย นอกจากน้ำหนักหลักทางด้านสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในประเทศแล้ว หากการปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยของเฟดมากกว่าที่คาดการณ์ตามสมมติฐานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ก็อาจจะมีผลกระทบตามมาต่อการพิจารณาทิศทาง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระยะข้างหน้าได้เช่นกัน (กรุงเทพธุรกิจ)
3. บีโอไออาจปรับลดเป้าหมายขอรับการส่งเสริมการลงทุนปีนี้เหลือ 7 แสนล้านบาท นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช ปลัด
ก.อุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไออาจมีการปรับเป้าหมายตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน
ของปี 49 ใหม่ จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 7.5 — 8.0 แสนล้านบาท เหลือในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนคือประมาณ 7 แสนล้านบาท และแม้จะลดเป้าแล้ว
โอกาสที่ตัวเลขจะลดต่ำกว่าเป้าหมายใหม่ยังมีอยู่ ซึ่งบีโอไอจะต้องเร่งชี้แจงเรื่องปัญหาการเมือง โดยทำความเข้าใจต่อนักลงทุนทั้งรายบริษัทและชี้
แจงผ่านหอการค้าต่างประเทศประจำประเทศไทยว่า การเมืองไทยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่นโยบายการลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
สำหรับในครึ่งหลังปี 49 การลงทุนคงจะชะลอตัว ปัจจัยหลักไม่ใช่เรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิยทั่วโลกที่กังวลเรื่อง
ราคาน้ำมันแพงและอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น ทั้งนี้ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีประมาณ 128,637 ล้านบาท ลดลง
กว่า 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 346,600 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้เร่งรัดให้ดึงดูดการลงทุนในทุกด้านเพื่อ
กระตุ้นเศรษฐกิจ (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. รอยเตอร์คาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ. ญี่ปุ่นและเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone จะชะลอตัวลงในปี 50 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อ 26 มิ.ย.49 ผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์มากกว่า 150 คนคาดว่าเศรษฐกิจของ สรอ.จะชะลอตัวลงโดยขยายตัว
ร้อยละ 2.9 ในปี 50 หลังจากขยายตัวร้อยละ 3.4 ในปี 49 เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.2 ในปี 50 หลังจาก
ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในปี 49 และเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ที่คาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 1.8 หลังจากขยายตัว
ร้อยละ 2.1 ในปี 49 มีเพียงอังกฤษที่ผลสำรวจคาดว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะดีขึ้นโดยขยายตัวร้อยละ 2.5 หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี
49 ทั้งนี้คาดว่าเป็นผลจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นในประเทศดังกล่าวข้างต้นเพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ของ สรอ.จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.4 ต่อปีในช่วง 18 เดือนข้างหน้าสูงกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปีที่ ธ.กลาง สรอ.เห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ใน
ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วง 18 เดือนข้างหน้าของ Euro zone และอังกฤษจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.1 และ 1.9 ต่อปีตามลำดับ ในส่วนญี่ปุ่น
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ต่อปีในปีงบประมาณ 49 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.50 นักเศรษฐศาสตร์จึงคาดว่า
อัตราดอกเบี้ยของ สรอ.จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.25 ต่อปี ในขณะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของ Euro zone จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่
ร้อยละ 3.25 ภายในสิ้นปี 49 ในส่วนญี่ปุ่นคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.25 ต่อปีในช่วงเดือน ก.ค.ถึง ก.ย.49 นับเป็นการ
สิ้นสุดนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ใช้มาเป็นเวลานานซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 0 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ยอดขายบ้านใหม่ใน สรอ.ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ต่อปีจากเดือนก่อน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 26 มิ.ย.49
ก.พาณิชย์ของ สรอ.รายงานยอดขายบ้านใหม่ในเดือน พ.ค.49 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมีจำนวน 1.234 ล้านหลังต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ
4.6 ต่อปีจากจำนวน 1.180 ล้านหลังต่อปีในเดือน เม.ย.49 รายงานดังกล่าวซึ่งออกมาก่อนหน้าที่จะมีการประชุมนโยบายการเงินของ ธ.กลาง
สรอ.ในวันที่ 28 และ 29 มิ.ย.49 เพียง 2 วัน ชี้ให้เห็นว่าตลาดบ้านใน สรอ.ไม่ได้ชะลอตัวลงเร็วอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดไว้ เช่น
เดียวกับรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่แสดงให้เห็นว่าจำนวนบ้านที่เริ่มสร้างใหม่ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 สูงกว่าที่คาดไว้ โดยจำนวนคำขอ
สร้างบ้านที่ได้รับอนุญาตในเดือนเดียวกันลดลงเพียงร้อยละ 1.4 เทียบกับลดลงร้อยละ 2.1 ที่รายงานครั้งแรก นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลาง
สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 28 และ 29 มิ.ย.49 นี้ (รอยเตอร์)
3. กองทุนประกันสังคมของจีนมีแผนที่จะไปลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 รายงานจากเชียงไฮ เมื่อวันที่
27 มิ.ย. 49 ตลาดหลักทรัพย์ของจีนเปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของจีนมีแผนที่จะนำเงินไปลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศเป็นวงเงิน
500 — 800 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในราวปลายปีนี้ โดยจะเลือกผู้บริหารจัดการกองทุนและบริษัทหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 และคาดว่าในเริ่มแรกจะ
ลงทุนในฮ่องกงโดยผ่านผู้บริหารจัดการกองทุนในไตรมาสที่ 4 และเสริมว่ากองทุนประกันสังคมได้รับใบสมัครที่จะบริหารเงินทุนจากกองทุนรวมกว่า
80 ราย investment banks และ โบรกเกอร์ ซึ่งมีข้อกำหนดที่จะต้องลงทุนใน fixed-income products ต่างประเทศจำนวน
100 —300 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ฮ่องกงเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญของบริษัทจีน และสถาบันการเงินของจีนมุ่งที่จะลงทุนเป็นอันดับแรกในช่วง
เริ่มต้นในเร็วๆนี้ ส่วนแผนการลงทุนอื่นๆ ภายใต้ Qualified Domestic Institutional Investor (QDII) ธพ.จีน ประกันภัย และ
สถาบันการเงินอื่นๆ ต่างก็ได้รับอนุญาตให้เริ่มลงทุนในตลาดทุนต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีนี้ คาดว่าจะมีเงินทุน
ไหลออกเป็นจำนวนมาก แต่สถาบันการลงทุนแต่ละรายจะได้รับการจัดสรรในวงเงินจำกัด เนื่องจากทางการจีนต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก
เงินทุนไหลออก และเมื่อเดือนที่แล้วสำนักงานประกันสังคมแห่งชาติของจีนได้ประกาศหลักเกณฑ์ในการลงทุนต่างประเทศสำหรับผู้จัดการกองทุน
รวมทั้งวงเงินที่บริหารจัดการต้องไม่น้อยกว่า 5 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.และต้องมี credit rating ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่าระดับ A
(รอยเตอร์)
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.49 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.5 เทียบต่อเดือน รายงาน
จากสิงคโปร์ เมื่อ 26 มิ.ย.49 Economic Development Board (EDB) เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.49 เพิ่ม
ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 2.5 เทียบต่อเดือน แต่ต่ำกว่าผลสำรวจโดยรอยเตอร์ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5
(ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) หลังจากที่ลดลงร้อยละ 11.6 ในเดือน เม.ย.49 (ตัวเลขที่ทบทวนแล้ว) เนื่องจากผลผลิตยาและผลผลิตของ
อู่ต่อเรือเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมเป็นดัชนีที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก นับเป็นความลำบากที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าแน่นอนได้ เนื่องจากผล
ผลิตยามีความผันผวน โดยเคยเพิ่มขึ้นเพียง 1 เดือนในปีนี้ที่ร้อยละ 18.2 ในเดือน ก.พ.49 สำหรับผลผลิตหมวดอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ
1 ใน 3 ของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต ลดลงถึงร้อยละ 5.2 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ
JP Morgan Chase กล่าวว่า ผลผลิตยาและเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนนี้มีมูลค่าสูงกว่าการลดลงของผลผลิตหมวดอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้
EDB ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมภาควิศวกรรมขนส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (ซึ่งนับรวมการต่อเรือและการสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน) ส่ง
ผลให้ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.เพิ่มสูงขึ้น โดยภาควิศวกรรมขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทาง
ฤดูกาล) ขณะที่ผลผลิตเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 14 ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12.8 สำหรับตัวเลขผลผลิต
อุตสาหกรรมเมื่อเทียบต่อปีแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 และหากไม่นับรวมผลผลิตยาแล้ว
เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 จากปีก่อนหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถชี้วัดเศรษฐกิจได้ดีกว่าการรวมผลผลิตยาที่มีความผันผวนไว้ใน
ผลผลิตอุตสาหกรรม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 มิ.ย. 49 26 มิ.ย. 49 31 ม.ค. 48 แหล่งข้อ
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.485 38.557 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.2708/38.5634 38.3598/38.6471 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.11188 2..1875 - 2.2000 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 659.27/ 4.57 701.91/15.60 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,650/10,750 10,600/10,700 7,750/7,850 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.29 65.08 38.15 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท)* ปรับเพิ่มลิตรละ 55 สตางค์ เมื่อ 20 พ.ค. 49 29.39*/27.54 29.39*/27.54 19.69/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--