ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยรัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกคำชี้แจง แถลงการณ์ อ้างเหตุผลความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น
๑. พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดตลอดมาพบว่า ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ หากแต่เกิดจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียวที่อาศัยอิทธิพลและอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและครอบครัว สะสมความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับประชาชนทั่วประเทศจนกลายเป็นวิกฤตของบ้านเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและสะสมอำนาจในตำแหน่งนี้ด้วยวิธีการที่ถือเป็นการหลีกเลี่ยง ทำลายล้างบทบัญญัติ และประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ จนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กระทั่งสถาบันนิติบัญญติไม่สามารถทำหน้าที่ ควบคุม ตรวจสอบถ่วงดุลได้ และยังใช้อำนาจสั่งการบังคับบัญชาข้าราชการประจำให้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระจนไม่สามารถทำหน้าที่อย่างอิสระตามกระบวนการรัฐธรรมนูญได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทุกระดับครอบงำการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการประจำ ใช้ทรัพย์สินของราชการ กลไกกฎหมายเอื้อผลประดยชน์ให้ธุรกิจในครอบครัวของตัวเอง อย่างไร้จริยะรรม ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงไม่ให้สาธารณชนได้รับรู้ด้วยการแทรกแซง คุกคาม ครอบงำสื่อสารมวลชนในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอด ๕ ปีที่อยู่ในอำนาจ
ร้ายแรงที่สุดคือ กรณีการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าของครอบครัวและวงศ์ตระกูล การตัดสินใจขายหุ้นของธุรกิจครอบครัวให้กับกลุ่มธุรกิจต่างชาติ ได้รับกำไรมูลค่ามหาศาล โดยใช้วิธีการอันยอกย้อน หาช่องทางกฎหมายมารองรับการซื้อขายให้ชอบธรรมโดยไม่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐ โดยมีร่องรอยพิรุธปรากฎเป็นที่ประจักษ์หลายประการ นับเป็นแบบอย่างที่เลวร้าย สร้างบรรทัดฐานของการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนฯลฯ
ดังนั้นเมื่อปัญหาเกิดจากพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว การของความเลวร้ายทางการเมืองยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจะเป็นเพียงการฟอกล้างความผิดอย่างมหันต์ของตนเอง และอ้างความชอบธรรมของอำนาจจากผลการเลือกตั้งที่ไม่มีหลักประกันให้ความเชื่อมั่นว่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรม
๒. การอ้างว่า ขณะนี้เกิดความสับสนทางการเมืองขึ้น สืบเนื่องมากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจตัวผู้นำรัฐบาล มีข้อเรียกร้องทางการเมืงอเชิงบีบบังคับ กดดัน หรืออาจจะมีการสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่ความรุนแรงในการชุมนุมสาธารณะ เป็นชนวนไปสู่ความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริง เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมในการหาทางออกทางทางการเมืองขณะนี้เท่านั้น เป็นการโยนความผิดให้พ้นตัว เพราะการชุมนุมของประชาชนทั่วประเทศเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนุญ และผู้ชุมนุมมีข้อเสนอ มีคำถามที่สำคัญ ๆ และมีเหตุผล แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลไกรัฐภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถตอบให้คำตอบที่กระจ่างหมดข้อสงสัยได้แต่กลับพยายามทุกวิถีทางที่จะละเมิดสิทธิอันถือเป็นการละเมิด เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ทั้งยังมีการทำลายความน่าเชื่อถือต่อผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่องและเป็นกระบวนการ
โดยเมื่อมีผู้เสนอข้อวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นไปตามทิศทางของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้พฤติกรรมอำนาจบาทใหญ่ ตอบโต้ขู่กรรโชกด้วยถ้อยคำหยาบคายและเต็มไปด้วยโมหะจริต
การกล่าวอ้างว่ามีพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางพรรค สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ไม่ยึดกติกาแต่ใช้วิธีเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี โดยปราศจากข้อมูลความจริง พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในกรอบและวิธีการแห่งระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงตลอดมา
จากวิกฤติที่เกิดขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอได้เสนอทางออกด้วยการพยายามเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพื่อนำประเด็นปัญหาข้อสงสัย คลางแคลงใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก่อขึ้นเข้าสู่ระบบรัฐสภาด้วยการให้สภาผู้แทนราษฎร ได้มีโอกาสตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา แต่รัฐบาลกลับปฏิเสธ และพยายามฉวยโอกาสบิดเบือนประเด็น ด้วยการไปขอให้รัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่อาจคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกใช้วิธีการยุบสภาเป็นทางออก ก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่า แนวทางดังกล่าวจะเป็นทีสุดยุติปัญหาทางการเมืองทั้งปวงได้ เพราะปัญหาที่แท้จริง คือตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นบ่อเกิดของปัญหาวิกฤตทั้งปวงในขณะนี้ยังดำรงอยู่ในตำแหน่ง ยังคงมีอำนาจ และใช้อิทธิพลเหนือระบบการเมืองอยู่ ภาวการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่วิกฤจะไม่ยุติเท่านั้น หากแต่ยังจะลุกลามบานปลายไม่มีที่สิ้นสุด
๓.การที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ไปร่วมหารือกับรัฐบาลแล้วกำหนดวันเลือกตั้งและวันสมัครรับเลือกตั้ง ออกมาทันทีหลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเพียงไม่กี่ชั่วโมง สอดคล้องและเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายรัฐบาลที่มุ่งหวังช่วงชิงความได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นในทุกวิถีทางอยู่แล้ว ปรากฎการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก และไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ยุตะรรมในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
การที่รัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวอ้างว่าจะบริหารราชการแผ่นดินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กระทำการใดที่จะทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะเป็นไปตามนั้น ในเมื่อที่ผ่านมารัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองที่กระทำการสวนทางกับคำกล่าวอ้างข้างต้นอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอด
พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นว่า การเลือกแนวทางยุบสภาผู้แทนราษฎรของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการกระทำเพื่อแก้ปัญหาของตนเองและครอบครัว มากกว่าเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่เห็นแก่ตัว เพื่อปกปิด ซ่อนเร้น ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของตัวเองหลายกรณี และส่อว่าจะมีการกระทำการทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้ามายึดครองอำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง และพวกพ้องต่อไปอย่างที่เคยดำเนินมาตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.พ. 2549--จบ--
๑. พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดตลอดมาพบว่า ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ หากแต่เกิดจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียวที่อาศัยอิทธิพลและอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและครอบครัว สะสมความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับประชาชนทั่วประเทศจนกลายเป็นวิกฤตของบ้านเมือง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและสะสมอำนาจในตำแหน่งนี้ด้วยวิธีการที่ถือเป็นการหลีกเลี่ยง ทำลายล้างบทบัญญัติ และประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ จนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กระทั่งสถาบันนิติบัญญติไม่สามารถทำหน้าที่ ควบคุม ตรวจสอบถ่วงดุลได้ และยังใช้อำนาจสั่งการบังคับบัญชาข้าราชการประจำให้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระจนไม่สามารถทำหน้าที่อย่างอิสระตามกระบวนการรัฐธรรมนูญได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทุกระดับครอบงำการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการประจำ ใช้ทรัพย์สินของราชการ กลไกกฎหมายเอื้อผลประดยชน์ให้ธุรกิจในครอบครัวของตัวเอง อย่างไร้จริยะรรม ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงไม่ให้สาธารณชนได้รับรู้ด้วยการแทรกแซง คุกคาม ครอบงำสื่อสารมวลชนในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอด ๕ ปีที่อยู่ในอำนาจ
ร้ายแรงที่สุดคือ กรณีการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าของครอบครัวและวงศ์ตระกูล การตัดสินใจขายหุ้นของธุรกิจครอบครัวให้กับกลุ่มธุรกิจต่างชาติ ได้รับกำไรมูลค่ามหาศาล โดยใช้วิธีการอันยอกย้อน หาช่องทางกฎหมายมารองรับการซื้อขายให้ชอบธรรมโดยไม่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐ โดยมีร่องรอยพิรุธปรากฎเป็นที่ประจักษ์หลายประการ นับเป็นแบบอย่างที่เลวร้าย สร้างบรรทัดฐานของการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนฯลฯ
ดังนั้นเมื่อปัญหาเกิดจากพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว การของความเลวร้ายทางการเมืองยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจะเป็นเพียงการฟอกล้างความผิดอย่างมหันต์ของตนเอง และอ้างความชอบธรรมของอำนาจจากผลการเลือกตั้งที่ไม่มีหลักประกันให้ความเชื่อมั่นว่าจะบริสุทธิ์ยุติธรรม
๒. การอ้างว่า ขณะนี้เกิดความสับสนทางการเมืองขึ้น สืบเนื่องมากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจตัวผู้นำรัฐบาล มีข้อเรียกร้องทางการเมืงอเชิงบีบบังคับ กดดัน หรืออาจจะมีการสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่ความรุนแรงในการชุมนุมสาธารณะ เป็นชนวนไปสู่ความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริง เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมในการหาทางออกทางทางการเมืองขณะนี้เท่านั้น เป็นการโยนความผิดให้พ้นตัว เพราะการชุมนุมของประชาชนทั่วประเทศเป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนุญ และผู้ชุมนุมมีข้อเสนอ มีคำถามที่สำคัญ ๆ และมีเหตุผล แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลไกรัฐภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถตอบให้คำตอบที่กระจ่างหมดข้อสงสัยได้แต่กลับพยายามทุกวิถีทางที่จะละเมิดสิทธิอันถือเป็นการละเมิด เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ทั้งยังมีการทำลายความน่าเชื่อถือต่อผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่องและเป็นกระบวนการ
โดยเมื่อมีผู้เสนอข้อวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นไปตามทิศทางของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้พฤติกรรมอำนาจบาทใหญ่ ตอบโต้ขู่กรรโชกด้วยถ้อยคำหยาบคายและเต็มไปด้วยโมหะจริต
การกล่าวอ้างว่ามีพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางพรรค สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ไม่ยึดกติกาแต่ใช้วิธีเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี โดยปราศจากข้อมูลความจริง พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในกรอบและวิธีการแห่งระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงตลอดมา
จากวิกฤติที่เกิดขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอได้เสนอทางออกด้วยการพยายามเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพื่อนำประเด็นปัญหาข้อสงสัย คลางแคลงใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก่อขึ้นเข้าสู่ระบบรัฐสภาด้วยการให้สภาผู้แทนราษฎร ได้มีโอกาสตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา แต่รัฐบาลกลับปฏิเสธ และพยายามฉวยโอกาสบิดเบือนประเด็น ด้วยการไปขอให้รัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่อาจคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกใช้วิธีการยุบสภาเป็นทางออก ก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่า แนวทางดังกล่าวจะเป็นทีสุดยุติปัญหาทางการเมืองทั้งปวงได้ เพราะปัญหาที่แท้จริง คือตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นบ่อเกิดของปัญหาวิกฤตทั้งปวงในขณะนี้ยังดำรงอยู่ในตำแหน่ง ยังคงมีอำนาจ และใช้อิทธิพลเหนือระบบการเมืองอยู่ ภาวการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่วิกฤจะไม่ยุติเท่านั้น หากแต่ยังจะลุกลามบานปลายไม่มีที่สิ้นสุด
๓.การที่ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ไปร่วมหารือกับรัฐบาลแล้วกำหนดวันเลือกตั้งและวันสมัครรับเลือกตั้ง ออกมาทันทีหลังจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรเพียงไม่กี่ชั่วโมง สอดคล้องและเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายรัฐบาลที่มุ่งหวังช่วงชิงความได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นในทุกวิถีทางอยู่แล้ว ปรากฎการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก และไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์ยุตะรรมในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
การที่รัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวอ้างว่าจะบริหารราชการแผ่นดินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่กระทำการใดที่จะทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าจะเป็นไปตามนั้น ในเมื่อที่ผ่านมารัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองที่กระทำการสวนทางกับคำกล่าวอ้างข้างต้นอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอด
พรรคประชาธิปัตย์จึงเห็นว่า การเลือกแนวทางยุบสภาผู้แทนราษฎรของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นการกระทำเพื่อแก้ปัญหาของตนเองและครอบครัว มากกว่าเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่เห็นแก่ตัว เพื่อปกปิด ซ่อนเร้น ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของตัวเองหลายกรณี และส่อว่าจะมีการกระทำการทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้ามายึดครองอำนาจอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง และพวกพ้องต่อไปอย่างที่เคยดำเนินมาตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา
พรรคประชาธิปัตย์
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ก.พ. 2549--จบ--