วันนี้ (1 ส.ค. 49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีพูดกับสภาหอการค้าไทย-จีน ในเรื่องการเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมมีผลต่อระบบเศรษฐกิจวานนี้(31 ก.ค.49) ว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ มีความชัดเจนในการโยงใยปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งหมดเข้ามาสู่เรื่องการเมือง เป็นการมองปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนประสบอยู่ทุกวันนี้ ในมิติที่แคบเกินไป และการที่พยายามจะอ้างว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยระดับมหภาคนั้นไม่มีปัญหา และปัญหาเดียวที่มีก็คือความไม่สงบทางการเมืองนั้น ตนเห็นว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภาพหรือวิสัยทัศน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มองไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงที่ภาคเศรษฐกิจ ที่กำลังประสบอยู่ทุกวันนี้
“ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่นั้น ไม่ได้สอดคล้องกับข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลล่าสุดที่พึ่งประกาศในสำหรับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และชี้ให้เห็นชัดเจนว่าระดับการลงทุน ระดับการขยายตัวของการบริโภค ทั้งในแง่ของภาคธุรกิจและก็ภาคเอกชนก็มีอัตราการชะลอตัวอย่างน่าเป็นห่วงทั้ง 2 หมวด คือ ทั้งการบริโภคและการลงทุนขยายตัวไม่ถึง 1% ในเดือนมิถุนายนเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว” นายกรณ์กล่าว
ด้านนายเกียรติ สิทธิอมร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าน่าเสียใจแทนภาคธุรกิจที่นายกฯไม่ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของภาคธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจ แต่เน้นผลงานของตัวเองทั้งๆ ที่ 80% เศรษฐกิจไทยจริงๆแล้ว คือผลที่มาจากการประกอบการของภาคธุรกิจ
“หนี้ประเทศลดจริงๆ แต่หนี้ชาวบ้านเพิ่ม หนี้ชาวบ้านเพิ่มเท่าตัวเท่ากับโอนหนี้ประเทศเป็นหนี้ชาวบ้านหรืออย่างไรหรือไม่ ” นายเกียรติกล่าวว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 377 เสียงแต่ก็มีกระบวนการที่ทำให้รัฐบาลต้องล้มนั้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลที่มาจาก 377 เสียงจะต้องเป็นรัฐบาลที่มาด้วยความชอบธรรม ไม่ได้มาด้วยการซื้อเสียง ไม่ได้มาด้วยการใช้อำนาจรัฐเพราะฉะนั้นถ้า 377 เสียงมีหลายส่วนที่มาจากการซื้อเสียงมาด้วยการใช้อำนาจรัฐแทบจะไม่มีความชอบธรรมและแน่นอนที่สุดถ้ามาด้วยความไม่ชอบธรรมไม่ต้องไปมาอาศัยกระบวนการใดที่ทำให้รัฐบาลต้องล้ม ผมคิดว่ารัฐบาลก็จะทำลายตัวของรัฐบาลเองเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้ทำลายตัวเองมากกว่าที่จะมีคนอื่นมาทำลาย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ควรคุยถึง 377 เสียงของท่านอีกต่อไป ถ้าท่านยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า 377 เสียงที่ท่านได้มานั้นเป็นเสียงบริสุทธิ์ที่แท้จริงหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2549--จบ--
“ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่นั้น ไม่ได้สอดคล้องกับข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลล่าสุดที่พึ่งประกาศในสำหรับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และชี้ให้เห็นชัดเจนว่าระดับการลงทุน ระดับการขยายตัวของการบริโภค ทั้งในแง่ของภาคธุรกิจและก็ภาคเอกชนก็มีอัตราการชะลอตัวอย่างน่าเป็นห่วงทั้ง 2 หมวด คือ ทั้งการบริโภคและการลงทุนขยายตัวไม่ถึง 1% ในเดือนมิถุนายนเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว” นายกรณ์กล่าว
ด้านนายเกียรติ สิทธิอมร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าน่าเสียใจแทนภาคธุรกิจที่นายกฯไม่ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของภาคธุรกิจต่อระบบเศรษฐกิจ แต่เน้นผลงานของตัวเองทั้งๆ ที่ 80% เศรษฐกิจไทยจริงๆแล้ว คือผลที่มาจากการประกอบการของภาคธุรกิจ
“หนี้ประเทศลดจริงๆ แต่หนี้ชาวบ้านเพิ่ม หนี้ชาวบ้านเพิ่มเท่าตัวเท่ากับโอนหนี้ประเทศเป็นหนี้ชาวบ้านหรืออย่างไรหรือไม่ ” นายเกียรติกล่าวว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 377 เสียงแต่ก็มีกระบวนการที่ทำให้รัฐบาลต้องล้มนั้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลที่มาจาก 377 เสียงจะต้องเป็นรัฐบาลที่มาด้วยความชอบธรรม ไม่ได้มาด้วยการซื้อเสียง ไม่ได้มาด้วยการใช้อำนาจรัฐเพราะฉะนั้นถ้า 377 เสียงมีหลายส่วนที่มาจากการซื้อเสียงมาด้วยการใช้อำนาจรัฐแทบจะไม่มีความชอบธรรมและแน่นอนที่สุดถ้ามาด้วยความไม่ชอบธรรมไม่ต้องไปมาอาศัยกระบวนการใดที่ทำให้รัฐบาลต้องล้ม ผมคิดว่ารัฐบาลก็จะทำลายตัวของรัฐบาลเองเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้ทำลายตัวเองมากกว่าที่จะมีคนอื่นมาทำลาย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ควรคุยถึง 377 เสียงของท่านอีกต่อไป ถ้าท่านยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า 377 เสียงที่ท่านได้มานั้นเป็นเสียงบริสุทธิ์ที่แท้จริงหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ส.ค. 2549--จบ--