สหภาพยุโรป(อียู) ได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) กับประเทศไทยและประเทศที่กำลังพัฒนาโดยสิทธิพิเศษในโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นจีเอสพีโครงการที่ 3 กำลังจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2548 แต่อียูได้ประกาศต่ออายุจีเอสพีโครงการที่ 4 ไปอีก 10 ปีมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2549-31 ธ.ค. 2558 สิทธิประโยชน์ของการต่ออายุจีเอสพีจะเหมือนเดิม คือสินค้าในกลุ่มไม่อ่อนไหวอียูจะไม่เก็บภาษีนำเข้า เช่น ยางรถจักรยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ส่วนสินค้าในกลุ่มอ่อนไหวอียูจะได้ลดหย่อนภาษีนำเข้าต่ำกว่าอัตราปกติซึ่งแต่ละชนิดไม่เท่ากัน เช่น รองเท้า เรียกเก็บ 3.5% หรือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จะได้รับยกเว้นการลดภาษี 20% ของอัตราปกติ
ภายใต้โครงการจีเอสพีใหม่ครั้งนี้มีการเพิ่มรายการสินค้าให้อีก 300 รายการ จึงมีรายการสินค้าได้รับสิทธิจีเอสพีโครงการใหม่ 7,200 รายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป นอกจากนี้สินค้า 6 กลุ่มรายการของไทย ได้แก่ ประมง อาหารปรุงแต่ง พลาสติกและยาง รองเท้า แก้วเซรามิค และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ในครัวเรือนของไทยซึ่งเดิมเคยถูกอียูตัดสิทธิไปแล้วจะได้รับคืนสิทธิภายใต้โครงการจีเอสพีใหม่อีกด้วย สินค้ากุ้งที่เดิมถูกตัดสิทธิไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 ได้รับการคืนสิทธิภายใต้โครงการจีเอสพีใหม่ ขณะที่ยังมีสินค้าของไทยอื่นๆ ที่จะได้ประโยชน์จากโครงการจีเอสพีใหม่ ได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็ง รวมทั้งอาหารทะเลปรุงแต่งอื่นๆ
สินค้าไทยที่จะสามารถขอใช้สิทธิจีเอสพีใหม่ได้ มีเงื่อนไขจะต้องเป็นสินค้าที่อยู่ในรายการที่อียูให้สิทธิและไม่เป็นสินค้าที่อียูตัดสิทธิและที่สำคัญจะต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้ากำกับไปกับสินค้าส่งออกที่ขอรับสิทธิประโยชน์ด้วย
ประเด็นวิเคราะห์
การที่สหภาพยุโรป (อียู) ได้มีการขยายระยะเวลาให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรออกไปอีก 10 ปี เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2549 ถึง 31 ธ.ค. 2558 จะส่งผลดีให้แก่ประเทศไทย โดยทั้งนี้จะเป็นการกระตุ้นการส่งออกของไทยให้ขยายตัวไปยังอียูมากขึ้นและไทยจะได้เปรียบจีนซึ่งเป็นคู่แข่งของไทย เนื่องจากจีนได้ถูกตัดสิทธิจีเอสพีเกือบทุกรายการทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2549 สินค้าจีนที่จะส่งไปยังอียูจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติ
ที่มา: http://www.depthai.go.th