ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท) นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ให้ความเห็นว่าแนวโน้มค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องมีปัจจัยมาจากการปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องของค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจโดยรวมและบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเป็นแรงสนับสนุนให้มีคนเข้ามาเก็งกำไร ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ส่งออกจึงต้องการรอความชัดเจนก่อนจะตัดสินใจขาย ขณะที่ผู้นำเข้าก็จะรอให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นแล้วจึงจะสั่งซื้อ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรแบบผิดปกติ ทั้งนี้อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทไม่ได้ปรับตัวแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค แม้ว่าในระยะสั้นค่าเงินบาทจะแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ ก็ตาม ทั้งนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ธปทจะต้องออกมาตรการสกัดเงินทุนที่จะไหลเข้าเก็งกำไรให้ตรงต้นตอปัญหาที่แท้จริง แต่ก็ต้องเป็นมาตรการที่ไม่แรงเกินไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้มาตรการดังกล่าวได้ในเร็วๆ นี้
ในอีกด้านหนึ่งของการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเกริกไกร จีระแพทย์ กล่าวว่าจะร่วมหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ร.ว ปรีดิยาธร เทวกุล ในสัปดาห์หน้า เพื่อหาข้อสรุปถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ประเด็นวิเคราะห์
ภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบด้านเดียว แต่ยังมีด้านที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ส่งออกรวมอยู่ด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการควรจะหากลยุทธ์มาบริหารความเสี่ยงดังกล่าวและใช้โอกาสในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นขยายกำลังการผลิต เช่น การนำเข้าเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต เป็นต้น ทั้งนี้มาตรการที่ภาครัฐบาล (ธปทและกระทรวงพาณิชย์) จะช่วยเหลือจากผลกระทบบาทแข็ง ได้แก่
ธปท :
- เตรียมออกมาตรการขยายขอบเขตห้ามผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรผ่านตราสาร
- ขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งห้ามขายตั๋วแลกเงินระยะสั้นให้นักลงทุนต่างชาติ
- ลดการซื้อขายพันธบัตรระยะยาวในลักษณะที่มีการขายคืนในระยะสั้น
กระทรวงพาณิชย์ :
- ให้กรมการค้าภายในแบ่งประเภทของสินค้าที่ถูกกระทบเพื่อหามาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม
- ศึกษาอัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งในการส่งออกของไทย
ที่มา: http://www.depthai.go.th