สวัสดีครับพี่น้องประชาชนครับ ผมอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กลับมาพบกับพี่น้องทุกท่านอีกครั้งหนึ่งในรายการทางสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา เช่นเดียวกับทุกสัปดาห์ในช่วงท้ายจะเปิดสายให้พี่น้องประชาชนที่สนใจอยากจะพูดคุยซักถาม โทรศัพท์เข้ามาในรายการเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผมได้ครับที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-244-1482-3 และ 02-241-0055 ครับ
สัปดาห์นี้ก็คงจะต้องคุยกันต่อครับในเรื่องของสภาพปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นซึ่งในขณะนี้ก็มีหลายต่อหลายประเด็นซึ่งอยู่ในความสนใจและก็อาจจะมีความสับสนกันอยู่ไม่น้อยนะครับ สิ่งหนึ่งซึ่งผมอยากจะท้าวความก็คือว่าผมเองเป็นผู้ที่ได้แสดงความคิดเห็นแสดงทัศนะมาโดยตลอดครับว่า ปัญหาทางการเมืองนั้นในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าหากว่าทางรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาลจะได้ยอมรับและส่งเสริมแนวทางของการทำงานในวิถีทางประชาธิปไตยของฝ่ายต่าง ๆ ของสังคม แต่ว่าด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในหลาย ๆ เวที ในหลาย ๆ โอกาสทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และเมื่อมีการดำเนินการในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินก็ดี หรือการประพฤติปฏิบัติของนายกรัฐมนตรีก็ดี และคณะรัฐมนตรีก็ดีที่ประชาชนมีความเคลือบแคลงมีความสงสัยที่ผ่านมาปัญหาก็คือมีการสกัดกั้นกระบวนการของการตรวจสอบมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นและพัฒนามาโดยลำดับนี้ผมก็อยากจะยืนยันว่ามีสาเหตุมาจากตรงนี้
พรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันโดยตลอดด้วยความเป็นห่วงว่าปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นถ้าหากว่าไม่เข้าใจถึงรากฐานของปัญหาแล้วและมีความพยายามที่จะเบี่ยงเบนและพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในวิถีทางที่ผิดก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาของเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลาย สัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสัปดาห์ผมอยากจะเรียนว่า ไม่เพียงเฉพาะพี่น้องประชาชนคนไทย หรือสื่อสารมวลชนเท่านั้นที่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ผมเองได้รับการติดต่อจากสถานทูตครับมีเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศ รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาของต่างประเทศที่เดินทางมา ก็มาพบกับผมเพื่อที่จะขอทัศนะ ขอความเห็นให้เรามองถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์ว่าแนวโน้มต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร รวมไปถึงสื่อมวลชนจากต่างประเทศซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้บรรยากาศบ้านเมืองนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่วนหนึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของฝ่ายต่าง ๆ เฉพาะในส่วนของนักลงทุน แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นครับในสภาวะที่ตัวผู้นำรัฐบาลถูกตั้งคำถามไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริยธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องและเรื่องอื่น ๆ ที่ตามมาโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทหลายบริษัทที่ทำธุรกิจที่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ และผู้ซื้อนั้นก็เป็นต่างประเทศ ก็ทำให้ปัญหานี้อยู่ในใจของพี่น้องประชาชนและก็ถ้าไม่เผชิญกับปัญหาตรงนี้อย่างตรงไปตรงมาเพื่อชี้แจงแถลงไขให้เกิดความชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นผมก็มองไม่เห็นว่าปัญหานี้จะคลี่คลายหรือจะยุติได้อย่างไร และในสภาพที่เป็นเช่นนี้สิ่งที่เป็นรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลจะค้นพบตลอดเวลาก็คือว่า บริหารราชการแผ่นดินด้วยความยากลำบาก ขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ แทบจะไม่ได้เพราะว่าความเชื่อถือความเชื่อมั่นมันไม่มี ทางพรรคฝ่ายค้านเองได้พยายามที่จะหาทางออกเรื่องนี้โดยใช้กลไกของรัฐสภา เราถือว่าเมื่อมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความน่าไว้วางใจของรัฐบาล มาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญก็บัญญัติเอาไว้ชัดครับว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของผู้แทนราษฎร มีสิทธิ์เข้าชื่อเสนอมติของเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางที่พรรคฝ่ายค้านประกาศแล้วก็เราเข้าใจดีครับว่า เงื่อนไขจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ซึ่งก็หมายความว่า 200 เสียง ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันมีรวมกันเพียง 124 เสียง ก็ขาดไปถึง 76 เสียงครับ การที่เราตัดสินใจว่าเราจะยื่นมติก็หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องได้รับเสียงเพิ่มเติมในการมาลงชื่อในญัตติของเราซึ่งผมก็เรียนว่าแน่นอนครับ โดยปกติในทางการเมืองคงจะเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นได้ยาก แต่ว่าที่พรรคฝ่ายค้านได้เลือกใช้วิธีนี้ก็เพราะว่านายกรัฐมนตรีเองเคยพูดจากับประชาชนว่าถ้ามันมีปัญหาในเรื่องของการตรวจสอบและเสียงของฝ่ายค้านไม่พอก็พร้อมที่จะอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดของตัวเองมาลงชื่อในมติไม่ไว้วางใจ ฉะนั้นข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่มาบอกว่าฝ่ายค้านกำลังคิดจะไปทำอะไรที่แปลกประหลาดทำอะไรนอกระบบเนี่ยไม่ใช่ครับ อยู่บนพื้นฐานของกติกาของรัฐธรรมนูญและอยู่บนพื้นฐานของหลักที่นายกรัฐมนตรีได้เคยพูดกับประชาชนไว้เอง เอาหล่ะครับวันนี้ท่านนายกฯ ก็ไปปรารภในครม.นะครับ ยังไม่ได้ยินในการให้สัมภาษณ์อย่างชัด ๆ ในการจะปฏิเสธว่าจะขอใช้หลักการนี้กับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ แต่ไม่ใช่กับนายกรัฐมนตรี ผมก็คิดว่าเป็นข้ออ้างซึ่งฟังยาก
ถ้าสามารถที่จะอนุญาตและเสนอเองว่าสมาชิกในพรรคการเมืองของตัวเองสามารถที่จะเข้าชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในสังกัดพรรคเดียวกันได้ และไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดแปลก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อวัฒนธรรมทางการเมืองหรือทำลายวัฒนธรรมทางการเมือง ทำไมวิธีนี้จะใช้กับตัวท่านนายกรัฐมนตรีไม่ได้ อันนี้คือข้อเท็จจริงที่เป็นที่มาของการที่เราเสนอแนวทางนี้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้ใครแหกโผ แหกมติครับ เมื่อวานนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จึงได้ไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่าขอทวงคำพูดสัจจะหลักการตรงนี้เพื่อที่จะให้กระบวนการของรัฐสภา คือสภาผู้แทนราษฏรตรวจสอบนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่เป็นคำถามข้อสงสัยของพี่น้องประชาชนในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นญัตติการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเราก็ได้ดำเนินการร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมขออนุญาตที่จะใช้เวลาอ่านที่จะทำให้เห็นว่าเราพยายามที่จะดึงเรื่องที่ตรงประเด็นที่สุดที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาปัจจุบันให้เข้าไปพูดจากันในสภาผู้แทนราษฎรครับมติเขียนอย่างนี้ครับ
นับตั้งแต่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศติดต่อกันมาเป็นระยะเวลารวม ๕ ปีเศษ ได้ปรากฎพฤติกรรมในการบริหารราชการแผ่นดินที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะนำพาชาติไปสู่ความวิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้สะสมอำนาจในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการที่ถือเป็นการทำลายล้างเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ด้วยการควบรวมพรรคการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้สามารถมีเสียงส.ส.สนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนกระทั่งฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้ความเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและกลไกทางกฎหมายในมือควบคุมคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาในสังกัดของตนเองจนไม่สามารถแสดงบทบาทและหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันยังใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการพิทักษ์ปกป้อง อำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว จนมีสภาพไม่ต่างไปจากพนักงานบริษัทหรือทาสในเรือนเบี้ย ทำให้รัฐธรรมนูญหลายหมวด หลายมาตราไม่อาจมีผลบังคับใช้ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรจึงกลายเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่มีอำนาจเหนือระบบทุกระบบไปโดยปริยาย
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรได้ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีสั่งการบังคับบัญชาข้าราชการประจำให้ทำหน้าที่จัดการฝ่ายตรงข้ามในทางการเมืองเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ไปจนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรต่าง ๆ จนองค์กรเหล่านั้นขาดความเป็นอิสระต้องทำตามคำบงการชี้นำของผู้มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงฝ่ายเดียว
ตลอดเวลา 5 ปีเศษ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร บริหารราชการแผ่นดินแบบลุแก่อำนาจ เอาอำนาจเป็นธรรมไม่คำนึงถึงหลักประเพณีปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ยอมรับและเคารพสิทธิเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยการใช้อำนาจอย่างไร้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความยั้งคิด ไม่คำนึงถึงความถูกต้องทำนองคลองธรรม
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ครอบงำการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และวงศ์ตระกูล ใช้กลไกอำนาจรัฐและอำนาจทุนเข้าแทรกแซง ครอบงำ และคุกคามสื่อสารมวลชน ปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่กระทบต่ออำนาจและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองและครอบครัว รวมทั้งยังปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธินุษยชนต่อกลุ่มชนต่าง ๆ ในสังคมจนถูกนานาชาติตำหนิและตีแผ่ประณามไปทั่วโลก
เมื่อมีผู้ทักท้วง วิพากษ์วิจารณ์ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้พฤติกรรมอำนาจบาตรใหญ่ ในแบบนักเลงโตข่มขุ่ กรรโชก ตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย เต็มไปด้วยโมหจริตโดยอาศัยช่องทางสื่อสารมวลชนที่ควบคุมไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ นำเสนอข้อมูลด้านเดียว โดยไม่แยแสต่อเสียงตำหนิใด ๆ
ร้ายยิ่งกว่านั้นยังพบว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยอำนาจการกุมเสียงข้างมากในระบบรัฐสภา กระทำการอันมิบังควรผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายกรรมหลายวาระ และยังบังอาจจาบจ้วงกล่าวกระทบพระบรมเดชานาพแห่งพระมหากษัตริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่พสกนิกรเป็นอย่างมาก
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังบังอาจใช้อำนาจรัฐออกนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยใช้เงื่อนไขระเบียบกฎหมายมาสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองและพวกพ้อง การแก้ไขกฎหมาย การออกกฎหมาย การแก้ไขสัญญาสัปทาน การตกลงกับต่างประเทศ โดยมีผลประโยชน์ส่วนตนทับซ้อนกับผลประโยชน์ของประเทศ แต่เลือกที่จะเอื้อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัวและพวกพ้อง โดยการแอบอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ของชาติ ส่งผลให้ประเทศชาติเสียหาย อาทิ การออก พรก. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต การแก้สัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม การแก้ไข พรบ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมการเจรจาทำความตกลงเขตการค้าแบบทวิภาคี หรือเอฟทีเอ ซึ่งเป็นการเจรจาเพื่อทำการตกลงเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศคู่เจรจา ทำให้เกิดความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชนทั่วไปว่า เป็นการฉ้อฉลเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติไปแลกกับต่างชาติเพื่อเอื้อต่อธุรกิจของครอบครัวนายกรัฐมนตรีและเครือญาติ เป็นต้น
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังมีพฤติการทำผิดกฎหมาย จงใจใช้อำนาจหน้าที่กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อาทิ กรณีทำผิดกฎหมายการจัดการหุ้นส่วนรัฐมนตรี และมาตรา 209 ของรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์มีพฤติการณ์ปกปิดทรัพย์สินเป็นต้น
ในขณะที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร โฆษณาต่อสาธารณชนผ่านทางสื่อมวลชนด้วยการสร้างภาพความเป็นผู้นำที่รักชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมจะนำพาประเทศไทยไปแข่งขันการพัฒนาในทุกด้านกับต่างประเทศ แต่พฤติกรรมกลับตงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตลอดเวลา 5 ปีเศษบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่นี้เป็นเครื่องมือในการสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของครอบครัวและญาติพี่น้องเป็นหลักจนสามารถเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในธุรกิจของตัวเองได้จำนวนมหาศาลเป็นการทำลายหลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาลแห่งระบบธุรกิจลงอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุดพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ปรากฎชัดเจนในกรณีการขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานการสื่อสาร ธุรกิจสื่อสารมวลชน สายการบิน สัมปทาน ดาวเทียมเหนือน่านฟ้าไทย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ครอบครัวและเครือญาติของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้รับผลประโยชน์ถึง 73,000 ล้านบาท แต่จากกรณีดังกล่าวกลับทำให้ประเทศต้องเสียประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างมหาศาล รวมทั้งเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาถือครองทรัพยากรสาธารณะของชาติ ได้สร้างความคับข้องใจอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนทั่วประเทศ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยง การเสียภาษีของธุรกิจครอบครัว ด้วยการอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย การฝ่าฝืนกฎหมาย และการกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการใช้กฎหมายที่ตนเองได้กระทำผิดแล้วอย่างชัดแจ้ง ดังกรณี การจัดตั้งบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด เพื่อนำหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไปหาผลประโยชน์ด้วยวิธีการอันสลับซับซ้อน
ไม่เพียงแต่ความเสียหารของชาติจะเพิ่มทับทวีขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่ยกมาข้างต้นเท่านั้น แต่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังบริหารประเทศผิดพลาดอย่างร้ายแรง จนประเทศตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียบูรณภาพเหนือดินแดน ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย และขาดความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความผิดพลาดร้ายแรงดังกล่าวนี้มีรูปธรรมเด่นชัด จากกรณีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปีและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด
พฤติกรรมทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่ขาดจิตสำนึกประชาธิปไตยอย่างรุนแรง มองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ จึงทำทุกอย่างให้ได้อำนาจและดำรงอยู่ในอำนาจเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัว ในการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าของครอบครัวและวงศ์ตระกูล การตัดสินใจขายหุ้นของธุรกิจครอบครัวให้กับกลุ่มธุรกิจต่างชาติ ได้รับผลกำไรมูลค่ามหาศาล โดยใช้วิธีการอันสลับซับซ้อน ยอกย้อน เพื่อหาช่องทางกฎหมายมารองรับการซื้อขายให้ชอบธรรมโดยไม่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐนับเป็นแบบอย่างที่แลวร้าย สร้างบรรทัดฐานที่เห็นแก่ตัวมากกกว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อย่างที่สังคมไทยไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พวกข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังมีรายชื่อข้างท้ายหนังสือนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรจึงขอเสนอฐัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่จำเป็นต้องใช้การดำเนินการทางรัฐสภา ซึ่งหากมิได้ใช้กระบวนการดังกล่าวนี้แล้วพวกข้าพเจ้าเกรงว่า การดำรงตำแหน่งต่อไปของนายกรัฐมนตรีจะกลายเป็นชนวนเหตุอันอาจนำไปสู่การต่อต้าน การเผชิญหน้าทางสังคมอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนได้ ทั้งนี้เพราะที่มาของปัญหาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจที่สะสม ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ดำรงตำแหน่งซึ่งต่อเนื่องกันถึง 5 ปีเศษทั้งสิ้นอย่างปราศจากข้อสงสัย
ดังนั้น จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดกรุณาบรรจุญัตตินี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทำหน้าที่อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยต่อไป พร้อมกันนี้ พวกข้าพเจ้าขอเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 201 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
นี่คือเนื้อหาสาระของญัตติครับ ที่เราเห็นว่าตรงกันสภาพปัญหาบ้านเมืองที่ต้องการคลี่คลายมากที่สุด และจะเป็นวิธีการที่จะทำให้ระบบรัฐสภา สามารถเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา ฉะนั้นถ้าท่านผู้ฟัง พี่น้องประชาชนเห็นว่าเนื้อหาสาระและกระบวนการนี้เป็นสิ่งที่พึงจะเกิดขึ้น ก็คงจะต้องเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีที่จะรักษาคำพูดในหลักการที่จะสนับสนุนฝ่ายค้านให้มีการตรวจสอบด้วยการอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดของรัฐบาลสามารถที่จะมาเข้าชื่อเพื่อเสนอญัตติส่วนเมื่ออภิปรายแล้วจะลงมติเป็นอย่างไรนั้นก็คงจะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งครับ
ผมเรียนว่าขณะนี้ทางรัฐบาลไม่มีท่าทีในการตอบสนองตรงนี้อยู่ แต่กลับไปมีมติที่จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 213 ครับซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่าในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังวุฒิสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายไม่ได้
ท่านผู้ฟังและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ การใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 213 ไม่ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐมนตรีโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีออกมาย้ำครับว่าประเด็นที่จะออกมาอภิปรายนั้นรัฐบาลเป็นผู้กำหนด ที่สำคัญก็คือว่าเมื่อถูกสอบถามว่าจะอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีหรือแม้แต่เรื่องของการซื้อขายหุ้นได้หรือไม่ ท่านรองนายกฯ กลับบอกว่า จะไม่เข้าข่ายตามมาตรา 213 แต่มาแนะหรือมาชี้ช่องว่าถ้าผู้พูด รู้จักวิธีที่จะพูดก็คงจะพูดได้ ผมขอเรียนครับว่า พวกเราซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านอยากปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ปัญหาอยู่ที่ไหนเราต้องแก้ที่นั่น เมื่อปัญหาอยู่ที่ตรงตัวนายกรัฐมนตรีการนำเรื่องเข้าสภา ญัตติต้องเป็นเรื่องของการอภิปรายนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบ ผมไม่คิดว่ารัฐมนตรีท่านใดในคณะรัฐมนตรีจะสามารถตอบคำถามในเรื่องที่อยู่ในใจคนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีได้ ผมไม่คิดว่าจะมีรัฐมนตรีท่านใดที่จะสามารถตอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัวของนายกรัฐมนตรีซึ่งมีการเปลี่ยนมือและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ นี่คือประเด็นที่ทำให้เรามองว่ารัฐบาลเปิดสภาเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อลดกระแส หรือเพื่อซื้อเวลาซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามต่อไปว่าในที่สุดแล้วกระบวนการที่จะเกิดขึ้นนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร
ท่านผู้ฟังที่เคารพครับความจริงขณะนี้ก็ใกล้เวลาที่จะเปิดสายโทรศัพท์แล้วครับ แต่ผมขอเรียนเพิ่มเติมอีกนิดเดียวครับ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ไปดำเนินการหลายเรื่อง ซึ่งดูจะเป็นความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น เช่นในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีความพยายามก่อนที่จะมาพูดถึงการเปิดสภาว่า รัฐบาลจะรับเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปทางการเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงการปฏิรูปทางการเมืองกระบวนการกลไลที่สำคัญที่สุดก็คือการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญและให้ประชาชนมีส่วนร่วมเข้ามาในการเขียน หรือในการแก้รัฐธรรมนูญได้ ที่ฝ่ายค้านได้นำเสนอมาในเชิงความคิดและยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าได้รับการปฏิเสธจากส่วนของพรรครัฐบาลเอง แต่ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาจู่ ๆ รัฐบาลก็บอกว่าจะรับเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วก็จะใช้กระบวนการซึ่งยอกย้อนเสียเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปวิจัยซึ่งจริง ๆ แล้วบรรดาครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง คณาจารย์ที่เกี่ยวข้องก็คงพูดชัดเจนแล้วว่าในระยะเวลา 2 เดือนคงวิจัยไม่ได้ ทำได้แต่การรวบรวมข้อคิดข้อเสนอที่เคยมีมาและทำการวิเคราะห์เบื้องต้นแต่เสร็จจากนั้นแล้วรัฐบาลบอกว่าจะเอาข้อคิดหรือว่าข้อสรุปเหล่านี้ไปประชาพิจารณ์ หรือไปประชามติ ในประเด็นกว้าง ๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้บอกกับประชาชนว่ากระบวนการทั้งหมดไม่ส่งผลในทางปฏิบัติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่อาจผูกมัดคณะรัฐมนตรี ไม่อาจผูกมัดรัฐสภาและไม่อาจที่จะทำให้รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติมได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างของความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น และลดกระแส จริง ๆ แล้วเดิมทีความพยายามตรงนี้ไม่แม้แต่ไปดูกฎหมาย คือจุดประเด็นเพื่อจะไปลงประชามติกันในวันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ลืมไปดูว่าโดยเงื่อนไขของกฎหมายทำไม่ได้ เพราะว่าระยะเวลาเมื่อมาประกาศวันนี้ไม่เพียงพออย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสัปดาห์นี้ด้วยเวลาที่จำกัดนะครับ ความจริงมีเรื่องที่อยากจะพูดคุยเพิ่มเติมที่สืบเนื่องมาจากการขายหุ้น ในครอบครัวหรือว่าปัญหาการซุกหุ้นที่อาจจะมีหรือไม่เพราะว่าขณะนี้ก็ปรากฎข้อเท็จจริงเพิ่มเติมขึ้นมามากมาย อาจจะต้องยกยอดไปในสัปดาห์หน้า แต่ว่าสั้น ๆ ก็คือว่าพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช ที่ไปตั้งอยู่ในหมู่เกาะซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงิน ก็ปรากฎว่ามีบริษัทอีกบริษัทหนึ่งครับซึ่งปรากฎขึ้นมาชื่อว่าบริษัท วินมาร์ค ที่ได้เข้ามาซื้อหุ้นและในที่สุดได้มีการโอนหุ้นกลับมายังครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเคยปฏิเสธมาตลอดว่าบริษัทนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านแต่ว่าพฤติกรรมหลายอย่างในการตัดสินใจทางธุรกิจของบริษัทนี้ครับ ทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น และที่สำคัญครับ ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่าบริษัทนี้กับบริษัทแอมเพิล ริช ที่ท่านนายกฯ ยอมรับว่าเป็นของท่านหรือต่อมาโอนมาให้บุตรของท่านได้ไปจดทะเบียนและใช้ที่อยู่เดียวกัน เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้ก็เป็นประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านยังคงติดตามต่อเนื่องและสัปดาห์นี้ก็ยังคงจะไปยื่นหนังสือเพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างถูกต้องสมบูรณ์ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และในส่วนของ กลต. ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามการทำงานของฝ่ายค้านและสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดต่อไป ผมเรียนว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็ตามขอให้ได้ยึดมั่นในกรอบของรัฐธรรมนูญขอให้ยึดมั่นในกรอบของกฎหมายเพื่อที่จะทำให้สังคมของเราสามารถฟันฝ่าสภาพปัญหาของการเมืองและบ้านเมืองในช่วงนี้ไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2549--จบ--
สัปดาห์นี้ก็คงจะต้องคุยกันต่อครับในเรื่องของสภาพปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นซึ่งในขณะนี้ก็มีหลายต่อหลายประเด็นซึ่งอยู่ในความสนใจและก็อาจจะมีความสับสนกันอยู่ไม่น้อยนะครับ สิ่งหนึ่งซึ่งผมอยากจะท้าวความก็คือว่าผมเองเป็นผู้ที่ได้แสดงความคิดเห็นแสดงทัศนะมาโดยตลอดครับว่า ปัญหาทางการเมืองนั้นในช่วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ถ้าหากว่าทางรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาลจะได้ยอมรับและส่งเสริมแนวทางของการทำงานในวิถีทางประชาธิปไตยของฝ่ายต่าง ๆ ของสังคม แต่ว่าด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในหลาย ๆ เวที ในหลาย ๆ โอกาสทำให้เกิดความรู้สึกกดดัน ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และเมื่อมีการดำเนินการในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินก็ดี หรือการประพฤติปฏิบัติของนายกรัฐมนตรีก็ดี และคณะรัฐมนตรีก็ดีที่ประชาชนมีความเคลือบแคลงมีความสงสัยที่ผ่านมาปัญหาก็คือมีการสกัดกั้นกระบวนการของการตรวจสอบมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นและพัฒนามาโดยลำดับนี้ผมก็อยากจะยืนยันว่ามีสาเหตุมาจากตรงนี้
พรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันโดยตลอดด้วยความเป็นห่วงว่าปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นถ้าหากว่าไม่เข้าใจถึงรากฐานของปัญหาแล้วและมีความพยายามที่จะเบี่ยงเบนและพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในวิถีทางที่ผิดก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาของเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลาย สัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งสัปดาห์ผมอยากจะเรียนว่า ไม่เพียงเฉพาะพี่น้องประชาชนคนไทย หรือสื่อสารมวลชนเท่านั้นที่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ผมเองได้รับการติดต่อจากสถานทูตครับมีเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศ รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาของต่างประเทศที่เดินทางมา ก็มาพบกับผมเพื่อที่จะขอทัศนะ ขอความเห็นให้เรามองถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์ว่าแนวโน้มต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร รวมไปถึงสื่อมวลชนจากต่างประเทศซึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้บรรยากาศบ้านเมืองนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่วนหนึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของฝ่ายต่าง ๆ เฉพาะในส่วนของนักลงทุน แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นครับในสภาวะที่ตัวผู้นำรัฐบาลถูกตั้งคำถามไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริยธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องและเรื่องอื่น ๆ ที่ตามมาโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทหลายบริษัทที่ทำธุรกิจที่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ และผู้ซื้อนั้นก็เป็นต่างประเทศ ก็ทำให้ปัญหานี้อยู่ในใจของพี่น้องประชาชนและก็ถ้าไม่เผชิญกับปัญหาตรงนี้อย่างตรงไปตรงมาเพื่อชี้แจงแถลงไขให้เกิดความชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นผมก็มองไม่เห็นว่าปัญหานี้จะคลี่คลายหรือจะยุติได้อย่างไร และในสภาพที่เป็นเช่นนี้สิ่งที่เป็นรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลจะค้นพบตลอดเวลาก็คือว่า บริหารราชการแผ่นดินด้วยความยากลำบาก ขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ แทบจะไม่ได้เพราะว่าความเชื่อถือความเชื่อมั่นมันไม่มี ทางพรรคฝ่ายค้านเองได้พยายามที่จะหาทางออกเรื่องนี้โดยใช้กลไกของรัฐสภา เราถือว่าเมื่อมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความน่าไว้วางใจของรัฐบาล มาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญก็บัญญัติเอาไว้ชัดครับว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของผู้แทนราษฎร มีสิทธิ์เข้าชื่อเสนอมติของเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางที่พรรคฝ่ายค้านประกาศแล้วก็เราเข้าใจดีครับว่า เงื่อนไขจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่าไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ซึ่งก็หมายความว่า 200 เสียง ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านในปัจจุบันมีรวมกันเพียง 124 เสียง ก็ขาดไปถึง 76 เสียงครับ การที่เราตัดสินใจว่าเราจะยื่นมติก็หมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องได้รับเสียงเพิ่มเติมในการมาลงชื่อในญัตติของเราซึ่งผมก็เรียนว่าแน่นอนครับ โดยปกติในทางการเมืองคงจะเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นได้ยาก แต่ว่าที่พรรคฝ่ายค้านได้เลือกใช้วิธีนี้ก็เพราะว่านายกรัฐมนตรีเองเคยพูดจากับประชาชนว่าถ้ามันมีปัญหาในเรื่องของการตรวจสอบและเสียงของฝ่ายค้านไม่พอก็พร้อมที่จะอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดของตัวเองมาลงชื่อในมติไม่ไว้วางใจ ฉะนั้นข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่มาบอกว่าฝ่ายค้านกำลังคิดจะไปทำอะไรที่แปลกประหลาดทำอะไรนอกระบบเนี่ยไม่ใช่ครับ อยู่บนพื้นฐานของกติกาของรัฐธรรมนูญและอยู่บนพื้นฐานของหลักที่นายกรัฐมนตรีได้เคยพูดกับประชาชนไว้เอง เอาหล่ะครับวันนี้ท่านนายกฯ ก็ไปปรารภในครม.นะครับ ยังไม่ได้ยินในการให้สัมภาษณ์อย่างชัด ๆ ในการจะปฏิเสธว่าจะขอใช้หลักการนี้กับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ แต่ไม่ใช่กับนายกรัฐมนตรี ผมก็คิดว่าเป็นข้ออ้างซึ่งฟังยาก
ถ้าสามารถที่จะอนุญาตและเสนอเองว่าสมาชิกในพรรคการเมืองของตัวเองสามารถที่จะเข้าชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในสังกัดพรรคเดียวกันได้ และไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดแปลก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อวัฒนธรรมทางการเมืองหรือทำลายวัฒนธรรมทางการเมือง ทำไมวิธีนี้จะใช้กับตัวท่านนายกรัฐมนตรีไม่ได้ อันนี้คือข้อเท็จจริงที่เป็นที่มาของการที่เราเสนอแนวทางนี้ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้ใครแหกโผ แหกมติครับ เมื่อวานนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านก็จึงได้ไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่าขอทวงคำพูดสัจจะหลักการตรงนี้เพื่อที่จะให้กระบวนการของรัฐสภา คือสภาผู้แทนราษฏรตรวจสอบนายกรัฐมนตรีในประเด็นที่เป็นคำถามข้อสงสัยของพี่น้องประชาชนในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นญัตติการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเราก็ได้ดำเนินการร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมขออนุญาตที่จะใช้เวลาอ่านที่จะทำให้เห็นว่าเราพยายามที่จะดึงเรื่องที่ตรงประเด็นที่สุดที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาปัจจุบันให้เข้าไปพูดจากันในสภาผู้แทนราษฎรครับมติเขียนอย่างนี้ครับ
นับตั้งแต่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศติดต่อกันมาเป็นระยะเวลารวม ๕ ปีเศษ ได้ปรากฎพฤติกรรมในการบริหารราชการแผ่นดินที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะนำพาชาติไปสู่ความวิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้สะสมอำนาจในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยวิธีการที่ถือเป็นการทำลายล้างเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ด้วยการควบรวมพรรคการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้สามารถมีเสียงส.ส.สนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนกระทั่งฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้ความเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและกลไกทางกฎหมายในมือควบคุมคณะรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาในสังกัดของตนเองจนไม่สามารถแสดงบทบาทและหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันยังใช้บุคคลเหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการพิทักษ์ปกป้อง อำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว จนมีสภาพไม่ต่างไปจากพนักงานบริษัทหรือทาสในเรือนเบี้ย ทำให้รัฐธรรมนูญหลายหมวด หลายมาตราไม่อาจมีผลบังคับใช้ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรจึงกลายเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่มีอำนาจเหนือระบบทุกระบบไปโดยปริยาย
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรได้ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีสั่งการบังคับบัญชาข้าราชการประจำให้ทำหน้าที่จัดการฝ่ายตรงข้ามในทางการเมืองเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่กระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ ไปจนถึงการปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรต่าง ๆ จนองค์กรเหล่านั้นขาดความเป็นอิสระต้องทำตามคำบงการชี้นำของผู้มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงฝ่ายเดียว
ตลอดเวลา 5 ปีเศษ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร บริหารราชการแผ่นดินแบบลุแก่อำนาจ เอาอำนาจเป็นธรรมไม่คำนึงถึงหลักประเพณีปฏิบัติในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ยอมรับและเคารพสิทธิเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยการใช้อำนาจอย่างไร้ความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความยั้งคิด ไม่คำนึงถึงความถูกต้องทำนองคลองธรรม
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ครอบงำการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการใช้ทรัพย์สินของทางราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน และวงศ์ตระกูล ใช้กลไกอำนาจรัฐและอำนาจทุนเข้าแทรกแซง ครอบงำ และคุกคามสื่อสารมวลชน ปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่กระทบต่ออำนาจและผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองและครอบครัว รวมทั้งยังปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธินุษยชนต่อกลุ่มชนต่าง ๆ ในสังคมจนถูกนานาชาติตำหนิและตีแผ่ประณามไปทั่วโลก
เมื่อมีผู้ทักท้วง วิพากษ์วิจารณ์ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ก็ใช้พฤติกรรมอำนาจบาตรใหญ่ ในแบบนักเลงโตข่มขุ่ กรรโชก ตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย เต็มไปด้วยโมหจริตโดยอาศัยช่องทางสื่อสารมวลชนที่ควบคุมไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ นำเสนอข้อมูลด้านเดียว โดยไม่แยแสต่อเสียงตำหนิใด ๆ
ร้ายยิ่งกว่านั้นยังพบว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยอำนาจการกุมเสียงข้างมากในระบบรัฐสภา กระทำการอันมิบังควรผ่านกระบวนการทางกฎหมายหลายกรรมหลายวาระ และยังบังอาจจาบจ้วงกล่าวกระทบพระบรมเดชานาพแห่งพระมหากษัตริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่พสกนิกรเป็นอย่างมาก
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังบังอาจใช้อำนาจรัฐออกนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยใช้เงื่อนไขระเบียบกฎหมายมาสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองและพวกพ้อง การแก้ไขกฎหมาย การออกกฎหมาย การแก้ไขสัญญาสัปทาน การตกลงกับต่างประเทศ โดยมีผลประโยชน์ส่วนตนทับซ้อนกับผลประโยชน์ของประเทศ แต่เลือกที่จะเอื้อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัวและพวกพ้อง โดยการแอบอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์ของชาติ ส่งผลให้ประเทศชาติเสียหาย อาทิ การออก พรก. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต การแก้สัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม การแก้ไข พรบ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมการเจรจาทำความตกลงเขตการค้าแบบทวิภาคี หรือเอฟทีเอ ซึ่งเป็นการเจรจาเพื่อทำการตกลงเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศคู่เจรจา ทำให้เกิดความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชนทั่วไปว่า เป็นการฉ้อฉลเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติไปแลกกับต่างชาติเพื่อเอื้อต่อธุรกิจของครอบครัวนายกรัฐมนตรีและเครือญาติ เป็นต้น
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังมีพฤติการทำผิดกฎหมาย จงใจใช้อำนาจหน้าที่กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย อาทิ กรณีทำผิดกฎหมายการจัดการหุ้นส่วนรัฐมนตรี และมาตรา 209 ของรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์มีพฤติการณ์ปกปิดทรัพย์สินเป็นต้น
ในขณะที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร โฆษณาต่อสาธารณชนผ่านทางสื่อมวลชนด้วยการสร้างภาพความเป็นผู้นำที่รักชาติ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมจะนำพาประเทศไทยไปแข่งขันการพัฒนาในทุกด้านกับต่างประเทศ แต่พฤติกรรมกลับตงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตลอดเวลา 5 ปีเศษบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่นี้เป็นเครื่องมือในการสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของครอบครัวและญาติพี่น้องเป็นหลักจนสามารถเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ในธุรกิจของตัวเองได้จำนวนมหาศาลเป็นการทำลายหลักคุณธรรม จริยธรรม และหลักธรรมาภิบาลแห่งระบบธุรกิจลงอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุดพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ปรากฎชัดเจนในกรณีการขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสัมปทานการสื่อสาร ธุรกิจสื่อสารมวลชน สายการบิน สัมปทาน ดาวเทียมเหนือน่านฟ้าไทย เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ทำให้ครอบครัวและเครือญาติของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้รับผลประโยชน์ถึง 73,000 ล้านบาท แต่จากกรณีดังกล่าวกลับทำให้ประเทศต้องเสียประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างมหาศาล รวมทั้งเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาถือครองทรัพยากรสาธารณะของชาติ ได้สร้างความคับข้องใจอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนทั่วประเทศ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยง การเสียภาษีของธุรกิจครอบครัว ด้วยการอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย การฝ่าฝืนกฎหมาย และการกดดันให้เจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นการใช้กฎหมายที่ตนเองได้กระทำผิดแล้วอย่างชัดแจ้ง ดังกรณี การจัดตั้งบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด เพื่อนำหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไปหาผลประโยชน์ด้วยวิธีการอันสลับซับซ้อน
ไม่เพียงแต่ความเสียหารของชาติจะเพิ่มทับทวีขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่ยกมาข้างต้นเท่านั้น แต่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ยังบริหารประเทศผิดพลาดอย่างร้ายแรง จนประเทศตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียบูรณภาพเหนือดินแดน ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย และขาดความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความผิดพลาดร้ายแรงดังกล่าวนี้มีรูปธรรมเด่นชัด จากกรณีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปีและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด
พฤติกรรมทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่ขาดจิตสำนึกประชาธิปไตยอย่างรุนแรง มองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของเครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจ จึงทำทุกอย่างให้ได้อำนาจและดำรงอยู่ในอำนาจเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัว ในการปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจการค้าของครอบครัวและวงศ์ตระกูล การตัดสินใจขายหุ้นของธุรกิจครอบครัวให้กับกลุ่มธุรกิจต่างชาติ ได้รับผลกำไรมูลค่ามหาศาล โดยใช้วิธีการอันสลับซับซ้อน ยอกย้อน เพื่อหาช่องทางกฎหมายมารองรับการซื้อขายให้ชอบธรรมโดยไม่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐนับเป็นแบบอย่างที่แลวร้าย สร้างบรรทัดฐานที่เห็นแก่ตัวมากกกว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อย่างที่สังคมไทยไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
พวกข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังมีรายชื่อข้างท้ายหนังสือนี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรจึงขอเสนอฐัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่จำเป็นต้องใช้การดำเนินการทางรัฐสภา ซึ่งหากมิได้ใช้กระบวนการดังกล่าวนี้แล้วพวกข้าพเจ้าเกรงว่า การดำรงตำแหน่งต่อไปของนายกรัฐมนตรีจะกลายเป็นชนวนเหตุอันอาจนำไปสู่การต่อต้าน การเผชิญหน้าทางสังคมอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนได้ ทั้งนี้เพราะที่มาของปัญหาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากพฤติกรรมอันไม่น่าไว้วางใจที่สะสม ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ดำรงตำแหน่งซึ่งต่อเนื่องกันถึง 5 ปีเศษทั้งสิ้นอย่างปราศจากข้อสงสัย
ดังนั้น จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดกรุณาบรรจุญัตตินี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทำหน้าที่อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยต่อไป พร้อมกันนี้ พวกข้าพเจ้าขอเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 201 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
นี่คือเนื้อหาสาระของญัตติครับ ที่เราเห็นว่าตรงกันสภาพปัญหาบ้านเมืองที่ต้องการคลี่คลายมากที่สุด และจะเป็นวิธีการที่จะทำให้ระบบรัฐสภา สามารถเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา ฉะนั้นถ้าท่านผู้ฟัง พี่น้องประชาชนเห็นว่าเนื้อหาสาระและกระบวนการนี้เป็นสิ่งที่พึงจะเกิดขึ้น ก็คงจะต้องเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีที่จะรักษาคำพูดในหลักการที่จะสนับสนุนฝ่ายค้านให้มีการตรวจสอบด้วยการอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดของรัฐบาลสามารถที่จะมาเข้าชื่อเพื่อเสนอญัตติส่วนเมื่ออภิปรายแล้วจะลงมติเป็นอย่างไรนั้นก็คงจะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งครับ
ผมเรียนว่าขณะนี้ทางรัฐบาลไม่มีท่าทีในการตอบสนองตรงนี้อยู่ แต่กลับไปมีมติที่จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 213 ครับซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่าในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังวุฒิสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายไม่ได้
ท่านผู้ฟังและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ การใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 213 ไม่ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐมนตรีโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีออกมาย้ำครับว่าประเด็นที่จะออกมาอภิปรายนั้นรัฐบาลเป็นผู้กำหนด ที่สำคัญก็คือว่าเมื่อถูกสอบถามว่าจะอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีหรือแม้แต่เรื่องของการซื้อขายหุ้นได้หรือไม่ ท่านรองนายกฯ กลับบอกว่า จะไม่เข้าข่ายตามมาตรา 213 แต่มาแนะหรือมาชี้ช่องว่าถ้าผู้พูด รู้จักวิธีที่จะพูดก็คงจะพูดได้ ผมขอเรียนครับว่า พวกเราซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านอยากปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ปัญหาอยู่ที่ไหนเราต้องแก้ที่นั่น เมื่อปัญหาอยู่ที่ตรงตัวนายกรัฐมนตรีการนำเรื่องเข้าสภา ญัตติต้องเป็นเรื่องของการอภิปรายนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบ ผมไม่คิดว่ารัฐมนตรีท่านใดในคณะรัฐมนตรีจะสามารถตอบคำถามในเรื่องที่อยู่ในใจคนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีได้ ผมไม่คิดว่าจะมีรัฐมนตรีท่านใดที่จะสามารถตอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัวของนายกรัฐมนตรีซึ่งมีการเปลี่ยนมือและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ นี่คือประเด็นที่ทำให้เรามองว่ารัฐบาลเปิดสภาเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อลดกระแส หรือเพื่อซื้อเวลาซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามต่อไปว่าในที่สุดแล้วกระบวนการที่จะเกิดขึ้นนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร
ท่านผู้ฟังที่เคารพครับความจริงขณะนี้ก็ใกล้เวลาที่จะเปิดสายโทรศัพท์แล้วครับ แต่ผมขอเรียนเพิ่มเติมอีกนิดเดียวครับ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่าความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ไปดำเนินการหลายเรื่อง ซึ่งดูจะเป็นความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น เช่นในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีความพยายามก่อนที่จะมาพูดถึงการเปิดสภาว่า รัฐบาลจะรับเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปทางการเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงการปฏิรูปทางการเมืองกระบวนการกลไลที่สำคัญที่สุดก็คือการเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญและให้ประชาชนมีส่วนร่วมเข้ามาในการเขียน หรือในการแก้รัฐธรรมนูญได้ ที่ฝ่ายค้านได้นำเสนอมาในเชิงความคิดและยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าได้รับการปฏิเสธจากส่วนของพรรครัฐบาลเอง แต่ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาจู่ ๆ รัฐบาลก็บอกว่าจะรับเรื่องนี้มาพิจารณาแล้วก็จะใช้กระบวนการซึ่งยอกย้อนเสียเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบอกให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไปวิจัยซึ่งจริง ๆ แล้วบรรดาครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง คณาจารย์ที่เกี่ยวข้องก็คงพูดชัดเจนแล้วว่าในระยะเวลา 2 เดือนคงวิจัยไม่ได้ ทำได้แต่การรวบรวมข้อคิดข้อเสนอที่เคยมีมาและทำการวิเคราะห์เบื้องต้นแต่เสร็จจากนั้นแล้วรัฐบาลบอกว่าจะเอาข้อคิดหรือว่าข้อสรุปเหล่านี้ไปประชาพิจารณ์ หรือไปประชามติ ในประเด็นกว้าง ๆ แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้บอกกับประชาชนว่ากระบวนการทั้งหมดไม่ส่งผลในทางปฏิบัติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่อาจผูกมัดคณะรัฐมนตรี ไม่อาจผูกมัดรัฐสภาและไม่อาจที่จะทำให้รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติมได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างของความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น และลดกระแส จริง ๆ แล้วเดิมทีความพยายามตรงนี้ไม่แม้แต่ไปดูกฎหมาย คือจุดประเด็นเพื่อจะไปลงประชามติกันในวันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ลืมไปดูว่าโดยเงื่อนไขของกฎหมายทำไม่ได้ เพราะว่าระยะเวลาเมื่อมาประกาศวันนี้ไม่เพียงพออย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสัปดาห์นี้ด้วยเวลาที่จำกัดนะครับ ความจริงมีเรื่องที่อยากจะพูดคุยเพิ่มเติมที่สืบเนื่องมาจากการขายหุ้น ในครอบครัวหรือว่าปัญหาการซุกหุ้นที่อาจจะมีหรือไม่เพราะว่าขณะนี้ก็ปรากฎข้อเท็จจริงเพิ่มเติมขึ้นมามากมาย อาจจะต้องยกยอดไปในสัปดาห์หน้า แต่ว่าสั้น ๆ ก็คือว่าพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช ที่ไปตั้งอยู่ในหมู่เกาะซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงิน ก็ปรากฎว่ามีบริษัทอีกบริษัทหนึ่งครับซึ่งปรากฎขึ้นมาชื่อว่าบริษัท วินมาร์ค ที่ได้เข้ามาซื้อหุ้นและในที่สุดได้มีการโอนหุ้นกลับมายังครอบครัวของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเคยปฏิเสธมาตลอดว่าบริษัทนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านแต่ว่าพฤติกรรมหลายอย่างในการตัดสินใจทางธุรกิจของบริษัทนี้ครับ ทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น และที่สำคัญครับ ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่าบริษัทนี้กับบริษัทแอมเพิล ริช ที่ท่านนายกฯ ยอมรับว่าเป็นของท่านหรือต่อมาโอนมาให้บุตรของท่านได้ไปจดทะเบียนและใช้ที่อยู่เดียวกัน เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้ก็เป็นประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านยังคงติดตามต่อเนื่องและสัปดาห์นี้ก็ยังคงจะไปยื่นหนังสือเพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างถูกต้องสมบูรณ์ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และในส่วนของ กลต. ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามการทำงานของฝ่ายค้านและสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดต่อไป ผมเรียนว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็ตามขอให้ได้ยึดมั่นในกรอบของรัฐธรรมนูญขอให้ยึดมั่นในกรอบของกฎหมายเพื่อที่จะทำให้สังคมของเราสามารถฟันฝ่าสภาพปัญหาของการเมืองและบ้านเมืองในช่วงนี้ไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 ก.พ. 2549--จบ--