วันนี้(14 ส.ค.49)ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าวาระประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการสร้างนโยบาย โดยประชาชน เพื่อ ประชาชน เพราะวาระประชาชนที่พรรคนำเสนอเกิดจากการศึกษาวิจัยสำรวจความต้องการของประชาชน โดยหลักการกำหนดวาระประชาชน ประกอบด้วย 6 ด้าน 1.ประชาชนต้องมาก่อน 2.บอกวิกฤติเป็นโอกาส เพราะ5 ปี ของรัฐบาลทักษิณมีวิกฤติเกิดขึ้นหลายเรื่อง พรรคจึงนำเอาวิกฤติทั้งหลายมาเป็นโอกาสให้ประชาชน 3.เปลี่ยนความกลัวเป็นความหวัง เพราะการบริหารประเทศของรัฐบาลทักษิณ ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความกลัว โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพ พรรคจึงพยามเปลี่ยนความหวาดกลัวมาเป็นความหวัง 4. ทุกหลักการมีเป้ามหมายชัดเจน จึงมีคำกล่าวว่าผ่าวิกฤติอย่างมีเป้าหมาย 5.เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่คำนึงถึงผลระยะยาว 6.วาระประชาชนจะไม่เป็นประชาชนนิยม จะไม่ทำให้ประชาชนอ่อนแอ “ความช่วยเหลือใดๆที่เรานำไปเพื่อประชาชน ต้องไม่สูญเปล่า เช่นกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง จะไม่ทำให้คนอ่อนแอ และไม่สูญเปล่า”นายองอาจกล่าว
ด้านม.ล.อภิมลคล โสณกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงธรรมาภิบาลเศรษฐกิจของรัฐบาลยุคทักษิณว่า วันนี้ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจเกิดจากธรรมาภิบาลในตัวนายกฯบกพร่องมากกว่า ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีความอึมครึมในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของนายกฯอย่างเห็นได้ชัด ปัญหาธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจได้ลุกลามออกไปเรื่อยๆ เห็นได้จากระดับกระทรวง กรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ล้วนเกิดวิกฤตปัญหาความน่าเชื่อถือมีหลายกรณีที่รัฐบาลดำเนินการส่อไปในความไม่โปร่งใส
“ผมยกตัวอย่างเช่นการควบรวมธนาคารทหารไทย การอุ้มทหารไทยในการเพิ่มทุน นักลงทุนต่างชาติและในประเทศไทยย่อมมีคำถามว่า มีความเป็นธรรมและมีความโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นยังมีอีกหลายกรณีกระทรวงพาณิชย์ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนในกรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปเปอร์เรชั่น แม้แต่กระทรวงการคลังวันนี้มองเห็นได้ชัดว่าขาดวินัยการคลังอย่างสิ้นเชิง การเปิดเผยข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตัวเลขจีดีพี การเปิดเผยข้อมูลทางด้านเงินคงคลังก็ดี วันนี้นักลงทุนไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเลขใดเป็นตัวเลขจริง ตัวเลขใดเป็นตัวเลขเท็จ” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า ปัญหาธรรมาภิบาลถือได้ว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ หากปล่อยให้ยังอยู่ต่อไปจะทำให้นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล เศรษฐกิจของประเทศไทย และจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ เป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้ขอให้นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาดูให้ดีว่าปัญหาเศรษฐกิจมาจากไม่ความน่าเชื่อถืออย่างไร ให้มีการปรับโครงสร้างความโปร่งใสสร้างระบบที่เป็นธรรม ตนเชื่อว่าวิธีนี้จะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยได้ในอนาคต
ส่วนกรณีที่คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยออกมาโจมตีวาระประชาชนด้านการลดค่าครองชีพโดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานของพรรคประชาธิปัตย์นั้น รองโฆษกพรรค ปชป.ให้ความเห็นว่า ถ้าพวกเราย้อนกลับไปดูเมื่อปี 2548 รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทยได้ตรึงราคาน้ำมันส่งสัญญาณการค้าที่บิดเบือนส่งผลให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยจนกระทั่งในวันนี้มีหนี้กองทุนมียังคงเหลือชำระกว่า 60,000 ล้านบาท สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอนั้นบอกว่าหากการตรึงราคาน้ำมันในนลักษณะนั้นคือการสร้างภาระให้กับประชาชนรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า ในปี 2548 ก่อนการเลือกตั้งเห็นได้ว่าการตรึงราคาน้ำมันซึ่งสร้างภาระจนถึงทุกวันนี้ทำให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 ทั้งๆที่ราตาน้ำมันเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นต่างหากที่สนับสนุนให้คนใช้อย่างฟุ่มเฟือย สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอคือต้องการให้รัฐบาลเข้ามารับผิดชอบในภาระที่ได้สร้างให้กับประชาชน ไม่ใช่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เช่นเดียวกันในเรื่องของราคาค่าไฟฟ้า
“พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอว่า สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนได้ต้องหันไปดูว่าทำไมเราถึงเสนออย่างนั้นเป็นนโยบายที่จะลด แลก แจก แถม สนับสนุนให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่ต้องดูว่าในการดำเนินงานของรัฐบาลเมื่อมีการปรับอัตราค้าไฟฟ้าเดือนตุลาคมปี 48 มีการปรับเกณฑ์การเงินเพื่อผลตอบแทนเพราะหวังว่าจะมีการกระจายหุ้นจึงทำให้มุมมองการปรับปรุงค่าไฟฟ้าในครั้งนั้นมองในมุมของนักลงทุนเป็นหลักอยากให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น วันนี้ยังไม่มีการกระจายให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะปรับเกณฑ์นี้ลงไปเป็นเกณฑ์เดิมเป็นรัฐวิสาหกิจรับใช้พี่น้องประชาชน” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาแสดงความหละหลวมอย่าชัดเจนในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเพราะหวังจะกระจายให้ มีกำไรมากๆ ผู้ลงทุนได้รับกำไร แต่พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่า สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ ถ้าหากเราเข้าไปดูแลกำกับประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจอย่างเหมาะสม เช่นเดียวกับกับกรณีของก๊าซหุงต้มแอลพีจีไม่ใช่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกำหนดราคาไว้เพียงไม่กี่บริษัทที่ไม่ทราบว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวกับทางรัฐบาลหรือไม่ มีความใกล้ชิดกับรัฐมนตรีท่านใดหรือไม่
“พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่ากำไรส่วนนี้ควรเป็นของพี่น้องประชาชนทุกๆคนควรนำกำไรส่วนนี้มาหักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นกับพี่น้องประชาชน ผมชี้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดและทำอย่างพรรคไทยรักไทย ไม่ได้คิดให้ประชาชนใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่ส่งสัญญาณให้ประชาชนเข้าใจถึงราคาที่เหมาะสม พยายามสร้างธุกริจพลังงานที่มีประสิทธิภาพ มีการแข่งขัน มีการกำกับดูแลที่ดีมากกว่า” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ส.ค. 2549--จบ--
ด้านม.ล.อภิมลคล โสณกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงธรรมาภิบาลเศรษฐกิจของรัฐบาลยุคทักษิณว่า วันนี้ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจเกิดจากธรรมาภิบาลในตัวนายกฯบกพร่องมากกว่า ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีความอึมครึมในการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของนายกฯอย่างเห็นได้ชัด ปัญหาธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจได้ลุกลามออกไปเรื่อยๆ เห็นได้จากระดับกระทรวง กรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ล้วนเกิดวิกฤตปัญหาความน่าเชื่อถือมีหลายกรณีที่รัฐบาลดำเนินการส่อไปในความไม่โปร่งใส
“ผมยกตัวอย่างเช่นการควบรวมธนาคารทหารไทย การอุ้มทหารไทยในการเพิ่มทุน นักลงทุนต่างชาติและในประเทศไทยย่อมมีคำถามว่า มีความเป็นธรรมและมีความโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นยังมีอีกหลายกรณีกระทรวงพาณิชย์ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนในกรณีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปเปอร์เรชั่น แม้แต่กระทรวงการคลังวันนี้มองเห็นได้ชัดว่าขาดวินัยการคลังอย่างสิ้นเชิง การเปิดเผยข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตัวเลขจีดีพี การเปิดเผยข้อมูลทางด้านเงินคงคลังก็ดี วันนี้นักลงทุนไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเลขใดเป็นตัวเลขจริง ตัวเลขใดเป็นตัวเลขเท็จ” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า ปัญหาธรรมาภิบาลถือได้ว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ หากปล่อยให้ยังอยู่ต่อไปจะทำให้นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล เศรษฐกิจของประเทศไทย และจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ เป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้ขอให้นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาดูให้ดีว่าปัญหาเศรษฐกิจมาจากไม่ความน่าเชื่อถืออย่างไร ให้มีการปรับโครงสร้างความโปร่งใสสร้างระบบที่เป็นธรรม ตนเชื่อว่าวิธีนี้จะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยได้ในอนาคต
ส่วนกรณีที่คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยออกมาโจมตีวาระประชาชนด้านการลดค่าครองชีพโดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานของพรรคประชาธิปัตย์นั้น รองโฆษกพรรค ปชป.ให้ความเห็นว่า ถ้าพวกเราย้อนกลับไปดูเมื่อปี 2548 รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทยได้ตรึงราคาน้ำมันส่งสัญญาณการค้าที่บิดเบือนส่งผลให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยจนกระทั่งในวันนี้มีหนี้กองทุนมียังคงเหลือชำระกว่า 60,000 ล้านบาท สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอนั้นบอกว่าหากการตรึงราคาน้ำมันในนลักษณะนั้นคือการสร้างภาระให้กับประชาชนรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า ในปี 2548 ก่อนการเลือกตั้งเห็นได้ว่าการตรึงราคาน้ำมันซึ่งสร้างภาระจนถึงทุกวันนี้ทำให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 ทั้งๆที่ราตาน้ำมันเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นต่างหากที่สนับสนุนให้คนใช้อย่างฟุ่มเฟือย สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอคือต้องการให้รัฐบาลเข้ามารับผิดชอบในภาระที่ได้สร้างให้กับประชาชน ไม่ใช่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เช่นเดียวกันในเรื่องของราคาค่าไฟฟ้า
“พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอว่า สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนได้ต้องหันไปดูว่าทำไมเราถึงเสนออย่างนั้นเป็นนโยบายที่จะลด แลก แจก แถม สนับสนุนให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่ต้องดูว่าในการดำเนินงานของรัฐบาลเมื่อมีการปรับอัตราค้าไฟฟ้าเดือนตุลาคมปี 48 มีการปรับเกณฑ์การเงินเพื่อผลตอบแทนเพราะหวังว่าจะมีการกระจายหุ้นจึงทำให้มุมมองการปรับปรุงค่าไฟฟ้าในครั้งนั้นมองในมุมของนักลงทุนเป็นหลักอยากให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น วันนี้ยังไม่มีการกระจายให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะปรับเกณฑ์นี้ลงไปเป็นเกณฑ์เดิมเป็นรัฐวิสาหกิจรับใช้พี่น้องประชาชน” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาแสดงความหละหลวมอย่าชัดเจนในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจเพราะหวังจะกระจายให้ มีกำไรมากๆ ผู้ลงทุนได้รับกำไร แต่พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่า สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ ถ้าหากเราเข้าไปดูแลกำกับประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจอย่างเหมาะสม เช่นเดียวกับกับกรณีของก๊าซหุงต้มแอลพีจีไม่ใช่เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกำหนดราคาไว้เพียงไม่กี่บริษัทที่ไม่ทราบว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวกับทางรัฐบาลหรือไม่ มีความใกล้ชิดกับรัฐมนตรีท่านใดหรือไม่
“พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่ากำไรส่วนนี้ควรเป็นของพี่น้องประชาชนทุกๆคนควรนำกำไรส่วนนี้มาหักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นกับพี่น้องประชาชน ผมชี้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดและทำอย่างพรรคไทยรักไทย ไม่ได้คิดให้ประชาชนใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่ส่งสัญญาณให้ประชาชนเข้าใจถึงราคาที่เหมาะสม พยายามสร้างธุกริจพลังงานที่มีประสิทธิภาพ มีการแข่งขัน มีการกำกับดูแลที่ดีมากกว่า” รองโฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ส.ค. 2549--จบ--