นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ เป็นขี้เหนียวเงินส่วนตัว แต่หน้าใหญ่กับการใช้เงินของประเทศ เห็นได้จากการที่ครอบครัวนายกฯขายหุ้นในได้ 73,000 ล้าน ซึ่งก่อนนายกฯ เข้ามารับตำแหน่งมีมูลค่าทรัพย์สิน 2 หมื่นล้าน แต่ภายหลังเข้ามารับตำแหน่งเป็นนายกฯ ส่วนต่างของทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมา 5 หมื่นล้าน ซึ่งเห็นได้ว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ย่อมมีการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจในครอบครัวจนมูลค่าสูงขึ้นมากถึงขนาดนี้ หากเป็นบริษัทเอกชนทั่วไปเชื่อว่าไม่น่าจะมีความสามารถทำให้มูลค่าเพิ่มได้สูงขนาดนี้
เมื่อมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมูลค่าสูงขนาดนี้ ซึ่งแทนที่นายกฯจะปล่อยไปตามระบบคือเสียภาษีให้กับประเทศ แต่กับจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อคิดหาช่องทางหรือช่องว่างของกฎหมายที่จะเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีให้กับประเทศชาติ ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่วันนี้ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มเงินรายได้ของประเทศ โดยรัฐบาลตั้งเป้าในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ร้านขายก๋วยเตี๊ยวที่เคยเสียภาษีปีละ 4,000 ก็ต้องเสียภาษีแป็นปีละ 5,000 บาท หรือ กรณีบุคคลที่ทำงานรับเงินเดือน เสียภาษีเท่าใดก็ต้องเสียเป็นจำนวนเดิม หรือแม่ค้าในตลาดที่ไม่เคยเสียภาษีก็ได้รับการประเมินภาษี หรือให้เก็บภาษีเพิ่มมากขึ้น
แต่รายได้ของครอบครัวนายกฯ นายกฯจะไม่ยอมเสียแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นการเสียเงิน เพื่อเกิดประโยชน์กับประเทศก็ตาม ตรงนี้เป็นการสะท้อนการบริหารงานในระบบดูโอแทค ที่นายกฯเคยอ้างอิงหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้มีความหมายอย่างที่นายกฯตั้งเป้าไว้ แต่กลับเป็นระบบดูโอแทค ที่พวกพ้องของนายกฯ ไม่ต้องเสียภาษี
‘ในขณะเดียวกันเวลาที่นายกฯบริหารประเทศมักใช้เงินงบประมาณโดยขาดความรอบคอบ และขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณ จนนำไปสู่นโยบายล้มเหลวหลายเรื่อง กองทุนหมู่บ้าน โครงการกรุงเทพเมืองแฟร์ชั่น บัตรอิลิคการ์ด เงินที่สูญเสียจากการทุจริตคอรัปชั่นต่างๆ ซึ่งนายกฯพูดเองเสมอว่าในการที่จะบริหารเพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าต้องสูญเสียเงินที่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงานผิดพลาด เช่นโครงการกล้ายาง โครงการรับจำนำข้าว ลำไย เงินหาเสียงในทัวร์นกขมิ้น เงินที่เสียไปกับการทุจริตซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่เป็นผลประโยชน์ของนายกฯและครอบครัว นายกฯจะคิดอย่างรอบคอบ แต่อะไรก็ตามที่เป็นเงินของแผ่นดิน นายกฯกับใช้อย่างขาดความรอบคอบและระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ’ นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค. 2549--จบ--
เมื่อมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมูลค่าสูงขนาดนี้ ซึ่งแทนที่นายกฯจะปล่อยไปตามระบบคือเสียภาษีให้กับประเทศ แต่กับจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อคิดหาช่องทางหรือช่องว่างของกฎหมายที่จะเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีให้กับประเทศชาติ ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่วันนี้ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเพิ่มเงินรายได้ของประเทศ โดยรัฐบาลตั้งเป้าในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ร้านขายก๋วยเตี๊ยวที่เคยเสียภาษีปีละ 4,000 ก็ต้องเสียภาษีแป็นปีละ 5,000 บาท หรือ กรณีบุคคลที่ทำงานรับเงินเดือน เสียภาษีเท่าใดก็ต้องเสียเป็นจำนวนเดิม หรือแม่ค้าในตลาดที่ไม่เคยเสียภาษีก็ได้รับการประเมินภาษี หรือให้เก็บภาษีเพิ่มมากขึ้น
แต่รายได้ของครอบครัวนายกฯ นายกฯจะไม่ยอมเสียแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นการเสียเงิน เพื่อเกิดประโยชน์กับประเทศก็ตาม ตรงนี้เป็นการสะท้อนการบริหารงานในระบบดูโอแทค ที่นายกฯเคยอ้างอิงหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้มีความหมายอย่างที่นายกฯตั้งเป้าไว้ แต่กลับเป็นระบบดูโอแทค ที่พวกพ้องของนายกฯ ไม่ต้องเสียภาษี
‘ในขณะเดียวกันเวลาที่นายกฯบริหารประเทศมักใช้เงินงบประมาณโดยขาดความรอบคอบ และขาดความระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณ จนนำไปสู่นโยบายล้มเหลวหลายเรื่อง กองทุนหมู่บ้าน โครงการกรุงเทพเมืองแฟร์ชั่น บัตรอิลิคการ์ด เงินที่สูญเสียจากการทุจริตคอรัปชั่นต่างๆ ซึ่งนายกฯพูดเองเสมอว่าในการที่จะบริหารเพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าต้องสูญเสียเงินที่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงานผิดพลาด เช่นโครงการกล้ายาง โครงการรับจำนำข้าว ลำไย เงินหาเสียงในทัวร์นกขมิ้น เงินที่เสียไปกับการทุจริตซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่เป็นผลประโยชน์ของนายกฯและครอบครัว นายกฯจะคิดอย่างรอบคอบ แต่อะไรก็ตามที่เป็นเงินของแผ่นดิน นายกฯกับใช้อย่างขาดความรอบคอบและระมัดระวังในการใช้เงินงบประมาณของประเทศ’ นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 25 ม.ค. 2549--จบ--