กรุงเทพ--21 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวานนี้ (20 มิถุนายน 2549) ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการเป็นประธานพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย ณ กรุงบากู ดังนี้
1. ประเทศไทยได้แต่งตั้งให้นาย Suad Fataliyev ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย นาย Fataliyev เป็นบุคคลที่ได้รับการไว้วางใจจากรัฐบาลไทยให้ดูแลและคุ้มครองคนไทยและผลประโยชน์ไทยในอาเซอร์ไบจาน ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการาซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมอาเซอร์ไบจาน โดยนาย Fataliyev เป็นบุคคลที่มีสถานะได้รับการยอมรับ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญ รวมทั้งประธานาธิดีอาเซอร์ไบจาน นับเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่งสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง ในพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ นอกจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยแล้ว ยังมีนาย Samid Seidov ประธานคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของรัฐสภาอาเซอร์ไบจานเข้าร่วมด้วย
2. ดร.กันตธีร์ฯ กล่าวถึงการเข้าพบหารือกับนาย Ilham Aliyev ประธานาธิบดี และ นาย Elmar Mammadyarov รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2549 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือ โดยฝ่ายอาเซอร์ไบจานมีแผนจะเปิดสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาค
3. ดร.กันตธีร์ฯ ได้กล่าวถึงโอกาสของไทยในอาเซอร์ไบจานซึ่งมีอยู่สูง ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานสูงถึงร้อยละ 30 มีน้ำมันและแหล่งพลังงานมหาศาลที่จะส่งต่อไปที่กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง สาขาที่ไทยน่าจะสามารถมาลงทุนได้คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ซึ่งฝ่ายอาเซอร์ไบจานได้แจ้งว่า ยินดีให้ประเทศไทยเข้าร่วมการประมูลการสร้างถนน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารไทยด้วย
4. ประเทศอาเซอร์ไบจานนับเป็นประเทศอดีตสหภาพโซเวียตประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม OIC ซึ่งเป็นการเสริมบทบาทในเวทีนี้ ประจวบกับจังหวะที่ OIC กำลังปฏิรูปองค์กรเพื่อเน้นการพัฒนา การแก้ไขปัญหายุคปัจจุบัน และการส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
5. สำหรับการประชุม OIC ครั้งนี้ ไม่มีเรื่องประเทศไทยในระเบียบวาระหลัก แต่จะมีรายงานหรือร่างมติที่อาจเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในประเด็นชุมชนมุสลิมและชนกลุ่มน้อยมุสลิมในประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก OIC ซึ่งในส่วนนี้ นาย Ekmeleddin Ihaanoglu เลขาธิการ OIC ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในภาคใต้ รวมทั้งในกรณีที่มีการวางระเบิดเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และ OIC ก็เข้าใจสถานการณ์ และมีความเห็นว่าเป็นเรื่องภายในประเทศ และไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา หากแต่เป็นการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้ก่อความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ OIC ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าที่ใดในโลก เนื่องจากว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่รักสันติ ยึดสายกลาง (Moderation) และสนับสนุนการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่เห็นด้วยกับที่คนบางกลุ่มใช้ความรุนแรงและอ้างศาสนาอิสลามในทางที่ผิด อีกทั้ง OIC ก็ประสงค์จะมีส่วนร่วมในการต่อต้านการก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวทางและนโยบายของ ประเทศไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวานนี้ (20 มิถุนายน 2549) ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการเป็นประธานพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย ณ กรุงบากู ดังนี้
1. ประเทศไทยได้แต่งตั้งให้นาย Suad Fataliyev ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ไทย นาย Fataliyev เป็นบุคคลที่ได้รับการไว้วางใจจากรัฐบาลไทยให้ดูแลและคุ้มครองคนไทยและผลประโยชน์ไทยในอาเซอร์ไบจาน ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการาซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมอาเซอร์ไบจาน โดยนาย Fataliyev เป็นบุคคลที่มีสถานะได้รับการยอมรับ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญ รวมทั้งประธานาธิดีอาเซอร์ไบจาน นับเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่งสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง ในพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ นอกจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยแล้ว ยังมีนาย Samid Seidov ประธานคณะกรรมาธิการด้านการต่างประเทศของรัฐสภาอาเซอร์ไบจานเข้าร่วมด้วย
2. ดร.กันตธีร์ฯ กล่าวถึงการเข้าพบหารือกับนาย Ilham Aliyev ประธานาธิบดี และ นาย Elmar Mammadyarov รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2549 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงความประสงค์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือ โดยฝ่ายอาเซอร์ไบจานมีแผนจะเปิดสถานเอกอัครราชทูตในประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาค
3. ดร.กันตธีร์ฯ ได้กล่าวถึงโอกาสของไทยในอาเซอร์ไบจานซึ่งมีอยู่สูง ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานสูงถึงร้อยละ 30 มีน้ำมันและแหล่งพลังงานมหาศาลที่จะส่งต่อไปที่กลุ่มประเทศในเอเชียกลาง สาขาที่ไทยน่าจะสามารถมาลงทุนได้คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ซึ่งฝ่ายอาเซอร์ไบจานได้แจ้งว่า ยินดีให้ประเทศไทยเข้าร่วมการประมูลการสร้างถนน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารไทยด้วย
4. ประเทศอาเซอร์ไบจานนับเป็นประเทศอดีตสหภาพโซเวียตประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม OIC ซึ่งเป็นการเสริมบทบาทในเวทีนี้ ประจวบกับจังหวะที่ OIC กำลังปฏิรูปองค์กรเพื่อเน้นการพัฒนา การแก้ไขปัญหายุคปัจจุบัน และการส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
5. สำหรับการประชุม OIC ครั้งนี้ ไม่มีเรื่องประเทศไทยในระเบียบวาระหลัก แต่จะมีรายงานหรือร่างมติที่อาจเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในประเด็นชุมชนมุสลิมและชนกลุ่มน้อยมุสลิมในประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก OIC ซึ่งในส่วนนี้ นาย Ekmeleddin Ihaanoglu เลขาธิการ OIC ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในภาคใต้ รวมทั้งในกรณีที่มีการวางระเบิดเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และ OIC ก็เข้าใจสถานการณ์ และมีความเห็นว่าเป็นเรื่องภายในประเทศ และไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา หากแต่เป็นการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือให้ก่อความรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ OIC ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าที่ใดในโลก เนื่องจากว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่รักสันติ ยึดสายกลาง (Moderation) และสนับสนุนการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ไม่เห็นด้วยกับที่คนบางกลุ่มใช้ความรุนแรงและอ้างศาสนาอิสลามในทางที่ผิด อีกทั้ง OIC ก็ประสงค์จะมีส่วนร่วมในการต่อต้านการก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้ตรงกับแนวทางและนโยบายของ ประเทศไทย
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-