1 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
ในเดือนพฤษภาคม 2548 ดัชนีการอุปโภคดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน(เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของ ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องจาก 88.7 ในเดือนเมษายนมาอยู่ที่ 87.9 ในเดือนพฤษภาคม
สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะลดลงตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ ซึ่งลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.4 และ 2.8 ตามลำดับ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน เบนซินที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 11.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ยานพาหนะโดยรวมเร่งตัวขึ้นตามปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (จากค่าปรับฤดูกาลและเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน) พบว่าเครื่องชี้ ส่วนใหญ่ยังมีทิศทางชะลอลง
2 การลงทุนภาคเอกชน
ในเดือนพฤษภาคม 2548 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน* (เบื้องต้น) อยู่ที่ระดับ 89.3 ขยายตัวร้อยละ 9.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรเป็นสำคัญสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวตามมูลค่านำเข้าเครื่องจักร ณ ราคาคงที่ และปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 11.4 และ 37.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามลำดับสำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 ขณะที่พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลมีแนวโน้มชะลอลง
อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจาก 52.5 ในเดือนก่อน มาอยู่ที่ 50.6
หมายเหตุ: ธปท. ได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณดัชนีการลงทุนภาคเอกชนใหม่ เพื่อให้สามารถสะท้อนภาวะการลงทุนภาคเอกชนได้ดีขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) ดัชนีฯ คำนวณมาจากเครื่องชี้ 5 รายการ ได้แก่ เครื่องชี้ด้านเครื่องมือเครื่องจักร 3 รายการ ประกอบด้วย มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และมูลค่าการจำหน่ายเครื่องมือเครื่องจักรในประเทศ ณ ราคาคงที่ และเครื่องชี้ด้านการก่อสร้างอีก 2 รายการ ประกอบด้วย ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ และพื้นที่รับอนุญาต ก่อสร้างในเขตเทศบาล
2) เปลี่ยนวิธีการคำนวณดัชนีฯ จากเดิมที่เป็น Composite Index ซึ่งถ่วงน้ำหนักองค์ประกอบของเครื่องชี้ให้เปลี่ยนแปลงไปตามวิธี Minimum distance square มาเป็นการกำหนดให้น้ำหนักองค์ประกอบคงที่และหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามวิธีการของ Foundation for International Business and Economic Research (FIBER) (ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการจัดทำดัชนีการบริโภคภาคเอกชน)
3 ภาคการคลัง 1
รายได้รัฐบาล เดือนพฤษภาคม รัฐบาลมีรายได้ จัดเก็บ 225.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.0 โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 และรายได้ ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7
รายได้ภาษีขยายตัวในทุกฐานภาษี โดยภาษีที่จัดเก็บ จากฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 21.9 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ร้อยละ 23.3 เนื่องจากผลประกอบการของภาคธุรกิจในปี 2547 อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขยายตัวร้อยละ 16.6 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่อยู่ในระดับที่สูงสำหรับภาษีที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.2 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ19.9 ส่วนภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ขณะเดียวกันภาษีที่จัดเก็บจากฐานการค้าระหว่างประเทศขยายตัวร้อยละ 6.3 ตามอากรขาเข้าที่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม
รายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยรายได้นำส่งที่สำคัญในเดือนนี้คือ การนำส่งกำไรของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 9.9พันล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2.0 พันล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย 1.2 พันล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง 1.0 พันล้านบาท และรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 1.0 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ในรอบ 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บรวม 957.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.0 ซึ่งเมื่อหักการถอนคืนภาษีจะทำให้รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 841.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.7 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (1,200 พันล้านบาท) ทั้งสิ้น 53.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 6.8
ดุลเงินสด ในเดือนพฤษภาคม รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.4 พันล้านบาท โดยที่รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ในประเทศ 0.4พันล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ 4.3 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 30.5 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 6.2 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในเดือนพฤษภาคม 2548 ดัชนีการอุปโภคดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน(เบื้องต้น) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของ ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และมูลค่าสินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า ณ ราคาคงที่ เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องจาก 88.7 ในเดือนเมษายนมาอยู่ที่ 87.9 ในเดือนพฤษภาคม
สำหรับเครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะลดลงตามปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ ซึ่งลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 7.4 และ 2.8 ตามลำดับ สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน เบนซินที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 11.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
เครื่องชี้ในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ยานพาหนะโดยรวมเร่งตัวขึ้นตามปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้ม (จากค่าปรับฤดูกาลและเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 3 เดือน) พบว่าเครื่องชี้ ส่วนใหญ่ยังมีทิศทางชะลอลง
2 การลงทุนภาคเอกชน
ในเดือนพฤษภาคม 2548 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน* (เบื้องต้น) อยู่ที่ระดับ 89.3 ขยายตัวร้อยละ 9.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรเป็นสำคัญสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวตามมูลค่านำเข้าเครื่องจักร ณ ราคาคงที่ และปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 11.4 และ 37.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามลำดับสำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.0 ขณะที่พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลมีแนวโน้มชะลอลง
อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจาก 52.5 ในเดือนก่อน มาอยู่ที่ 50.6
หมายเหตุ: ธปท. ได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณดัชนีการลงทุนภาคเอกชนใหม่ เพื่อให้สามารถสะท้อนภาวะการลงทุนภาคเอกชนได้ดีขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1) ดัชนีฯ คำนวณมาจากเครื่องชี้ 5 รายการ ได้แก่ เครื่องชี้ด้านเครื่องมือเครื่องจักร 3 รายการ ประกอบด้วย มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และมูลค่าการจำหน่ายเครื่องมือเครื่องจักรในประเทศ ณ ราคาคงที่ และเครื่องชี้ด้านการก่อสร้างอีก 2 รายการ ประกอบด้วย ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ และพื้นที่รับอนุญาต ก่อสร้างในเขตเทศบาล
2) เปลี่ยนวิธีการคำนวณดัชนีฯ จากเดิมที่เป็น Composite Index ซึ่งถ่วงน้ำหนักองค์ประกอบของเครื่องชี้ให้เปลี่ยนแปลงไปตามวิธี Minimum distance square มาเป็นการกำหนดให้น้ำหนักองค์ประกอบคงที่และหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามวิธีการของ Foundation for International Business and Economic Research (FIBER) (ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการจัดทำดัชนีการบริโภคภาคเอกชน)
3 ภาคการคลัง 1
รายได้รัฐบาล เดือนพฤษภาคม รัฐบาลมีรายได้ จัดเก็บ 225.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.0 โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 และรายได้ ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7
รายได้ภาษีขยายตัวในทุกฐานภาษี โดยภาษีที่จัดเก็บ จากฐานรายได้ขยายตัวร้อยละ 21.9 จากระยะเดียวกันปีก่อนตามการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ร้อยละ 23.3 เนื่องจากผลประกอบการของภาคธุรกิจในปี 2547 อยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขยายตัวร้อยละ 16.6 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการจ้างงานที่อยู่ในระดับที่สูงสำหรับภาษีที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคขยายตัวร้อยละ 12.2 โดยภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ19.9 ส่วนภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ขณะเดียวกันภาษีที่จัดเก็บจากฐานการค้าระหว่างประเทศขยายตัวร้อยละ 6.3 ตามอากรขาเข้าที่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าการนำเข้าที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม
รายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ โดยรายได้นำส่งที่สำคัญในเดือนนี้คือ การนำส่งกำไรของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 9.9พันล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2.0 พันล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย 1.2 พันล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง 1.0 พันล้านบาท และรายได้จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 1.0 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ในรอบ 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บรวม 957.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.0 ซึ่งเมื่อหักการถอนคืนภาษีจะทำให้รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม 841.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.7 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ (1,200 พันล้านบาท) ทั้งสิ้น 53.7 พันล้านบาท หรือร้อยละ 6.8
ดุลเงินสด ในเดือนพฤษภาคม รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.4 พันล้านบาท โดยที่รัฐบาลชำระคืนเงินกู้ในประเทศ 0.4พันล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ 4.3 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 30.5 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 6.2 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--