นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รองโฆษกศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายวาระประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์ในด้านขนส่งมวลชน ว่ารู้สึกยินดีกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่คิดนโยบายที่น่าสนใจออกาได้หลังจากที่โอ้อวดโวหารมานาน ว่า พรรคประชาธิปัตย์คิดว่าก่อนที่นายจักรภพจะเข้ามาสู่วงการการเมืองนั้น ดูเหมือนจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเป็นนักวิชาการที่น่าจะทำประโยชน์กับประเทศชาติได้ แต่เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้ว ก็รู้สึกว่านายจักรภพเปลี่ยนไปมาก พรรคประชาธิปัตย์คิดว่าคนที่เป็นแปลงไปน่าจะเป็นนายจักรภพมากกว่า
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นนำเสนอ นโยบายต่อประชาชนมาตลอดและอยากจะให้นายจักรภพกลับไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ หรือสมาชิกพรรคไทยรักไทย ว่าแต่ละพรรคที่คนเหล่นั้นเคยอยู่มา มีนโยบายอะไรกันบ้าง และถ้านายจักรภพจะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายวาระประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ควรใช้สาระมากกว่าโวหารน้ำเน่ามากระแนะกระแหน และวาระประชาชนในเรื่องระบบขนส่งมวลชนนั้นเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้จริง ไม่ใช่หวังคะแนนนิยมเฉพาะหน้าแต่ต้องการให้เกิดประโยชน์ กลับประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน นายกรณ์ จาติกวนิชย์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมในเรื่องความแตกต่างระหว่างนโยบายขนส่งมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย ว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นตั้งนโยบายโดยดูว่าประชาชนเดินทางในเส้นทางใด แต่ทางพรรคไทยรักไทยไม่ได้ดูว่า เมื่อลงทุนไปแล้วผลตอบแทนจะได้มาสู่ประชาชนอย่างไร ทางพรรคไทยรักไทย ไม่สนับสนุน ที่จะขยายเส้นทางต่อของรถไฟฟ้า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์แล้วว่ามีผลตอบแทนสูงสุด
พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอว่าต้องทำให้รถไฟฟ้าใต้ดินต่อกันเป็นเส้นทางวงกลม และต่อกับรถไฟฟ้าข้างบนเพื่อที่จะนำคนรอบนอกเข้ามาสู่กรุงเทพ และพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีนโยบายที่จะใช้งบประมาณอย่างมีเหตุผล เพราะทางพรรคไทยรักไทยมีข้อเสนอที่ว่าต้องใช้เงิน 7.5หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อกิจการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนมาเป็นของรัฐ และบอกว่าจะไม่ให้มีการสัมปทานอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่าจะยังให้เอกชนเป็นผู้บริหารอยู่ แต่รัฐบาลมีสิทธิ์ในการกำหนดค่าโดยสารได้ อยากถามว่าเงิน 7.5หมื่นล้านบาทที่ไปซื้อกิจการนั้นได้ประโยชน์อะไร เพราะเงินตรงนี้ไปลงทุนได้อีกเส้นทางอย่างน้อยอีกหนึ่งเส้นทาง
และเรื่องอัตราค่าโดยสารรัฐบาลออกมาอ้าง การนำเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าทำได้ โดยอ้างราคาในอนาคต ทำไมไม่ตอบคำถามว่าสิ่งที่ทำให้เรื่องค่าโดยสารลดลงทำได้ทันที ทำไมไม่ทำ การที่ประชาชนต้องรถไฟฟ้าสองต่อละต้องเสียเงินสองต่อ ทำไมไม่ทำเป็นระบบตั๋วโดยสารรวม ซึ่งทำได้เลยถ้ามีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ส.ค. 2549--จบ--
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นนำเสนอ นโยบายต่อประชาชนมาตลอดและอยากจะให้นายจักรภพกลับไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ หรือสมาชิกพรรคไทยรักไทย ว่าแต่ละพรรคที่คนเหล่นั้นเคยอยู่มา มีนโยบายอะไรกันบ้าง และถ้านายจักรภพจะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายวาระประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ควรใช้สาระมากกว่าโวหารน้ำเน่ามากระแนะกระแหน และวาระประชาชนในเรื่องระบบขนส่งมวลชนนั้นเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้จริง ไม่ใช่หวังคะแนนนิยมเฉพาะหน้าแต่ต้องการให้เกิดประโยชน์ กลับประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน นายกรณ์ จาติกวนิชย์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมในเรื่องความแตกต่างระหว่างนโยบายขนส่งมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย ว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นตั้งนโยบายโดยดูว่าประชาชนเดินทางในเส้นทางใด แต่ทางพรรคไทยรักไทยไม่ได้ดูว่า เมื่อลงทุนไปแล้วผลตอบแทนจะได้มาสู่ประชาชนอย่างไร ทางพรรคไทยรักไทย ไม่สนับสนุน ที่จะขยายเส้นทางต่อของรถไฟฟ้า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์แล้วว่ามีผลตอบแทนสูงสุด
พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอว่าต้องทำให้รถไฟฟ้าใต้ดินต่อกันเป็นเส้นทางวงกลม และต่อกับรถไฟฟ้าข้างบนเพื่อที่จะนำคนรอบนอกเข้ามาสู่กรุงเทพ และพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีนโยบายที่จะใช้งบประมาณอย่างมีเหตุผล เพราะทางพรรคไทยรักไทยมีข้อเสนอที่ว่าต้องใช้เงิน 7.5หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อกิจการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนมาเป็นของรัฐ และบอกว่าจะไม่ให้มีการสัมปทานอีก แต่พรรคประชาธิปัตย์เสนอว่าจะยังให้เอกชนเป็นผู้บริหารอยู่ แต่รัฐบาลมีสิทธิ์ในการกำหนดค่าโดยสารได้ อยากถามว่าเงิน 7.5หมื่นล้านบาทที่ไปซื้อกิจการนั้นได้ประโยชน์อะไร เพราะเงินตรงนี้ไปลงทุนได้อีกเส้นทางอย่างน้อยอีกหนึ่งเส้นทาง
และเรื่องอัตราค่าโดยสารรัฐบาลออกมาอ้าง การนำเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าทำได้ โดยอ้างราคาในอนาคต ทำไมไม่ตอบคำถามว่าสิ่งที่ทำให้เรื่องค่าโดยสารลดลงทำได้ทันที ทำไมไม่ทำ การที่ประชาชนต้องรถไฟฟ้าสองต่อละต้องเสียเงินสองต่อ ทำไมไม่ทำเป็นระบบตั๋วโดยสารรวม ซึ่งทำได้เลยถ้ามีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ส.ค. 2549--จบ--