คลังส่งซิก “บาท” ถึง 37 หนุนส่งออกฟื้นศก.โต

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 21, 2006 14:35 —กรมส่งเสริมการส่งออก

          รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายปรีดิยาธร  เทวกุล และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมหมาย  ภาษี ให้ความเห็นว่า มาตรการของแบงก์ชาติที่กำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ในวงเงินตั้งแต่ 20,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวน 30 % ยกเว้นเงินทุนไหลเข้าที่เป็นเงินลงทุนโดยตรงและเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่ต้องหักการสำรองไว้ 30 % นั้น  จะทำให้เงินบาทสามารถอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ แต่หากไม่ใช้มาตรการดังกล่าวค่าเงินบาทจะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  และเห็นว่าแบงก์ชาติควรจะใช้มาตรการดังกล่าวต่อไปอีกระยะ จนกว่าจะมีมาตรการใหม่ที่ถาวร เพื่อเข้ามาดูแลค่าเงินบาท โดยไม่มีผลข้างเคียงกับภาคอื่น ๆ และมาตรการนี้คงอยู่ไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะมั่นใจได้ ตอนนี้เฮดจ์ฟันด์ก็ยังวนเวียนตามประเทศต่าง ๆ  ดังนั้น หากแบงก์ชาติจะถอนมาตรการนี้ ก็จะต้องมีมาตรการที่ถาวรและไม่เกิดผลข้างเคียงมาใช้ และได้รับการยืนยันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าหลังผ่อนปรนมาตรการให้เฉพาะตลาดหุ้นนั้น จะมีการตรวจสอบเส้นทางการลงทุนของนักลงทุน เพื่อป้องกันปัญหาการนำเงินลงทุนไปเก็งกำไรในค่าเงิน
นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของเงินบาทวานนี้ (20 ธค.) ยังเคลื่อนไหวในช่วงกว้างแต่สถานการณ์การซื้อขายมีความผันผวนน้อยลง เมื่อเทียบกับ 2 วันที่ผ่านมาโดยเปิดตลาดที่ระดับ 35.65-35.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายวานนี้ไม่หนาแน่นมากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกได้เข้ามาทำธุรกรรมตั้งแต่ช่วง 2 วันที่ผ่านมาเป็นจำนวนมากไปแล้ว
ประเด็นวิเคราะห์
ภาคการส่งออกเป็นภาคสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต หากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีมาตรการควบคุมการเก็งกำไรค่าเงินบาทของนักลงทุนต่างชาติ อาจจะทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบจนไม่สามารถกู้คืนกลับได้ อย่างไรก็ตาม ในแง่ของตลาดทุนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่หลังจากผ่อนคลายมาตรการดัชนีหุ้นก็ปรับตัวดีขึ้น
ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ