วันนี้ (20 ส.ค.49) เวลา 14.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี อ้างในรายการนายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชนเมื่อวานนี้ (19 ส.ค.49) ว่า รัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วยการยกตัวเลขที่บิดเบือนมาแสดงว่า สถิติที่แทบทุกตัวที่พ.ต.ท.ทักษิณหยิบขึ้นมาอ้างอิงเมื่อวานนั้เป็นสถิติที่บิดเบือนโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่าง การส่งออกที่เพิ่มขึ้น หรือการอ้างถึงอัตราการท่องเที่ยวในเมืองไทยเพิ่มขึ้นเป็นการหยิบยกสถิติที่ไม่สะท้อนถึงสภาพปัญหาของอุตสาหกรรมส่งออกและอุตสาหกรรมของประเทศไทย
นายกรณ์ เปิดเผยต่อไปว่า แม้ว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นก็จริงแต่ว่าส่วนแบ่งตลาดไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมอื่นๆของประเทศไทยก็ลดลงตลอดในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเกษตร ยกตัวอย่างเทียบระหว่างปี 2544 กับ ปี 2547 ส่วนแบ่งตลาดโลกของไทยลดลงจาก 2.2% ลงมาเหลือ 2.0 % แม้ว่าอัตราการส่งออกดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของประเทศอื่นๆทั่วโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าประเทศไทยนั่นคือสาเหตุที่ส่วนแบ่งการตลาดของไทยลดลง เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมหลักๆอื่นๆส่วนใหญ่ของประเทศไทยส่วนแบ่งการตลาดของไทยก็ลดลงเช่นเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่เป็นประเทศคู่ค้า ประเทศคู่แข่งของไทย
“ฉะนั้น การวัดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของไทยนั้นจะต้องวัดในลักษณะของการเปรียบเทียบ เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นไดว่า ไทยด้อยกว่าประเทศคู่แข่งของไทยเกือบทุกกรณี แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเช่นเดียวกันจะอ้างสถิตินักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคนต่อปีก็ตาม แต่เมื่อดูในแง่ของส่วนแบ่งตลอดท่องเที่ยวโลกแม้แต่รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยว (นายประชา มาลีนนท์) ก็ตระหนักดีในแง่ของข้อเท็จจริงว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยได้ลดลงจาก 9.3 % ลงมาเหลือราวๆ 8.6 % ของปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีในช่วงระหว่างปี 2544 — 2547 สรุปง่ายๆคือ นักท่องเที่ยวในโลกมีเพิ่มขึ้นก็จริง แต่มาร์เก็ตแชร์ของไทยลดลงชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพทางการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยที่ด้อยลงในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ เปิดเผยต่อไปว่า ตนยังไม่ได้พูดถึงรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวซึ่งลดลงอย่างชัดเจนในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าทางรัฐบาลจะมีนโยบายที่จะเพิ่มรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยว แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีสาระเพื่อที่จะนำมาสู่วิธีแก้ไขประสิทธิภาพของ อุตสาหกรรมหลักๆ ของไทยได้
ส่วนกรณีตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าจาก 200 จุด มายืนอยู่ที่ 700 จุดแล้วอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายกรณ์ให้ความเห็นว่า เมื่อเปรียเบทียบกับประเทศคู่แข่งประเทศเพื่อบ้านเกือบทุกประเทศ สถิติการเพิ่มขึ้นของดัชนีหลักทรัพย์ไทยนั้นไม่ได้ดีเด่นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นตลาดหลักทัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตลาดหนึ่งในเอเชียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเป็นลักษณะของการหยิบสถิติขึ้นมาบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกกรณีหนึ่ง
ส่วนกรณีหนี้สาธารณะที่รักษาการนายกฯ อ้างว่า ถึงแม้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจีดีพีแล้วลดลงจากราวๆ 50 % เหลือ 41% นายกรณ์ ให้ความเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่า สิ่งที่คุณทักษิณไม่ไดพูดถึงคือหนี้สาธารณะที่อยู่นอกระบบงบประมาณ ซึ่งตรงนี้ถ้านำเข้ามาบวกรวมกับหนี้สาธารณะตัวเลขที่พ.ต.ท.ทักษิณหยิบขึ้นมาอ้างเมื่อวานนี้ก็จะแสดงให้เห็นถึงหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับใกล้ 50 % มากกว่า 41 % ตามการอ้างของพ.ต.ท.ทักษิณ
“ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวดัชนีทั้งหมด สถิติทั้งหมดที่คุณทักษิณพูดถึงนั้นมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร ตรงนี้ผมคิดว่า ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนในแง่ของผลงานการบริหารเศรษฐกิจรัฐบาลไทยรักไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจนมากที่สุด” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตนจะเปรียบเทียบดูง่ายๆว่า ปี 2544 ปราชนโดยรวมในประเทศมีรายได้ต่อหัวต่อเดือนอยู่ที่ 12,185 บาท เทียบกับค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อคนต่อเดือนในปี 2544 อยู่ที่ 10,000 บาท พูดถึงรายได้ที่มากกว่ารายจ่ายในปี 2544 เท่ากับ 2,160 บาทต่อคน ในปีนั้นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้พูดถึงคือ อีกส่วนหนึ่งของบัญชีบุคคลคือหนี้สินในปี 2544 หนี้ครัวเรือนมีมูลค่าโดยเฉลี่ย 68,000 บ. ต่อครัวเรือน เท่ากับส่วนต่างระหว่างรายได้ที่สูงกว่ารายจ่ายในปีนั้น เทียบกับหนี้ต่อครัวเรือนที่มีเท่ากับ 30 เท่า หมายความว่า รายได้มากกว่ารายได้ราวๆ 2,100 บาท ในขณะที่หนี้ต่อครัวเรือนราวๆ 68,000 บาท เท่ากับ หนี้มีมากกว่าส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายราว 30 เท่า ที่ยกมาคือปี 2544
“ปี 2547 รายได้เพิ่มขึ้นมาราวๆ 15,000 บาทต่อหัวต่อเดือน รายจ่ายเพิ่มขึ้นมาราวๆ 12,300 บาทต่อหัวต่อเดือนเท่ากับในปี 2547 รายได้มากกว่ารายจ่ายประมาณ 2,600 บาทต่อคนในขณะที่หนี้ต่อครัวเรือนในปี 2547 เพิ่มขึ้นมาจาก 68,000 บาท่อครัวเรือนเป็น 105,000 บาทต่อครัวเรือน เพราะฉะนั้นในปี 2547 รายได้มากกว่ารายจ่าย 2,600 บาท แต่หนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากว่า 105,000 บาท เท่ากับหนี้มากกว่าส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายสูงถึง 40 เท่า ปี 2544 เราเปรียบเทียบให้เห็นว่า ส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายเท่ากับ 30 เท่า แต่ 3 ปีผ่านมาปริมาณหนี้เทียบกับส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าเป็น 40 เท่า” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การอ้างสถิติทางเศรษฐกิจต่างๆนานาของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าประเทศไทยดีขึ้นอย่างโน้น ดีขึ้นอย่างนี้ ส่งออกมาขึ้น นักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่เมื่อมาดูถึงผลลัพธ์ที่มีต่อประชาชนว่า ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้นหรือไม่ ร่ำรวยขึ้นหรือไม่คำตอบที่ชัดเจนก็คือไม่ คำตอบที่ชัดเจนคือ ประชาชนมีความสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรายได้และมีภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และอัตราการขยายตัวของภาระที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติเศรษฐกิจไทย
“ผมดีใจที่คุณทักษิณคงไม่จัดรายการนายกฯ คุยกับประชาชนช่วงวันเสาร์อีกเพราะว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพียงแต่ใช้โอกาสในการที่จะหยิบยกสถิติทางเศรษฐกิจที่บิดเบือนความเป็นจริงมาอ้างผลงานการบริหารเศรษฐกิจของประเทศในช่วงการบริหารปกครองของคุณทักษิณช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่าเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจที่จะมีความพยายามที่จะบิดเบือนความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องในลักษณะนี้”นายกรณ์ กล่าว
ส่วนกรณีการติดตามความคืบหน้าการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปเปอร์ เรชั่นของครอบครัวชินวัตร นายกรณ์ ให้ความเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งเอกสารต่อสำนักงานตลาดหลักทรัพย์ในวันพรุ่งนี้ (21 ส.ค.49) เวลา 13.00 น. เพื่อติดตามคำตอบและข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับการขายหุ้นของคุณทักษิณที่ขายให้กับทางเทมาเส็กและกรณีของหุ้นเอสซี แอสเสทที่ขายให้กับกองทุนวินมาร์ค
นายกรณ์ เปิดเผยถึงสาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนยังรอคำตอบจากพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยอยู่ในแง่ของสถานภาพของพ.ต.ท.ทักษิณหลังการเลือกตั้งว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ทางพรรคก็มองว่าเป็นเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณและทางพรรคไทยรักไทยต้องตัดสินใจเอง แต่เมื่อย้อนไปถึงจุดเรื่มต้นของคำถามนี้ ในแง่ของความชอบธรรม ความเหมาะสมทางจริยธรรมของพ.ต.ท.ทักษิณที่จะลงรักษาตำแหน่งนายกฯนั้น
“จุดเริ่มต้นก็คือคำถามเรื่องของความถูกต้อง เหมาะสม ในกรณีการขายหุ้นทั้งเอสซี แอสเสท วินมาร์คและชินคอร์ปนั่นให้กับเทมาเส็กเองคำถามทั้งหมดนี้จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มี่คำตอบ พรรคประชาธิปัตย์มองว่า เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาแง่ของความเหมาะสมของคุณทักษิณได้ คุณทักษิณเองต้องคำตอบกับคำถามนี้ และก็อย่าลืมว่าคำถามที่นาซึ่งการตัดสินใจยุบสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ คำถามนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนออกมาต่อต้านคุณทักษิณอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงทุกวันนี้” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ ยังเสนอแนะทางออกให้พ.ต.ท.ทักษิณว่า หากสังคมได้รับคำตอบจากคำถามนี้ สังคมก็สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้และให้ความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคก็อยากกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการแสวงหาคำตอบไปหาคำตอบมาให้กับประชาชน คราวนี้ปัญหาสำคัญๆ คืออะไร ในกรณีของแอมเพิล ริชหรือในตัวการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กนั้น และวันนี้ทางนายเกียรติ สิทธิอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค ก็ได้ประกาศจุดยืนในของพรรคในเรื่องที่เกี่ยวกับกรณีกุหลาบแก้วเป็นบริษัทต่างด้าวหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางพรรคประชาธิปัตย์พยายามที่จะตามหาข้อเท็จจริงผ่านทางกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง
“ในเรื่องของการขายหุ้นให้กับเทมาเส็กนั้น คำถามที่ยังมีอยู่กับ กลต.นั้นก็ยังมีอยู่เช่นเคยว่า มีการซุกหุ้นหรือไม่ มีการใช้ข้อมูลภายในหรือไม่ และมีการซื้อขายหุ้นในลักษณะที่หลบหลีกการชำระภาษีตามความถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เรายังรอคำตอบจากทางหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงและเอกสารที่ตนจะนำเสนอต่อ กลต.ในนามของคณะทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะระบุถึงที่มาของคำถาม และรายละเอียดของคำถามเพื่อให้มีคำตอบกับประชาชนที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในกรณีของเอสซี แอสเสทที่ทางคุณทักษิณได้ขายหุ้นให้กับวินมาร์คนั้น เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบแม้แต่นิดเดียวผ่านทางพ.ต.ท.ทักษิณเองและผ่านทางสำนักงาน กลต. และเป็นที่น่าตกใจเมื่อตนได้เห็นข่าวเมื่อ 2 วันก่อนว่าทาง กลต.ถึงกับให้คะแนนทางบริษัท เอสซี แอสเสทในแง่ของธรรมาภิบาลเต็ม 100 คะแนน ทั้งที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเอสซี แอสเสทที่ยังไม่มีความชัดเจนที่พรรคได้ถาม กลต.ไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ
“พรุ่งนี้ ( 21 ส.ค.49) เวลา 13.30 น. ที่ตลาดหลักทรัพย์ ทางตน ในฐานนะตัวแทนคณะทำงานของพรรคก็จะไปยื่นสรุปคำถามที่พรรคมีเกี่ยวกับการขายหุ้นเอสซี แอสเสทโดยคุณทักษิณกับกองทุนวินมาร์คอีกว่า วินมาร์คนั้นมีความสำคัญอย่างไร กับครอบครัวชินวัตร ทำไมวินมาร์คซื้อหุ้นเอสซีแอสเสทจากคุณทักษิณไปแล้วสุดท้ายถึงโอนหุ้นกลับมาให้กับลูกสาวคุณทักษิณโดยละทิ้งโอกาสในการทำทำไรจาการขายหุ้นแอสซี เอสเสทในตลาดหลักทรัพย์ ทำไมกองทุวินมาร์คถึงได้ซื้อหุ้นจากคุณทักษิณไปอีก 4 บริษัทถืออยู่ 4 ปีสุดท้ายก็โอนหุ้นทั้งหมดกลับมาให้กับลูกสาวคุณทักษิณ โดยละทิ้งโอกาสที่จะทำกำไรจากการซื้อหุ้นทั้ง 4 บริษัทนั้นไปเช่นเดียวกัน” นายกรณ์ตั้งข้อสังเกตและ กล่าวย้ำว่า คำถามทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบให้กับประชาชนเพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าคุณทักษิณมีความเหมาะสมทางด้านกฎหมายหรือจริยธรรมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต่อไปหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 ส.ค. 2549--จบ--
นายกรณ์ เปิดเผยต่อไปว่า แม้ว่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นก็จริงแต่ว่าส่วนแบ่งตลาดไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมอื่นๆของประเทศไทยก็ลดลงตลอดในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเกษตร ยกตัวอย่างเทียบระหว่างปี 2544 กับ ปี 2547 ส่วนแบ่งตลาดโลกของไทยลดลงจาก 2.2% ลงมาเหลือ 2.0 % แม้ว่าอัตราการส่งออกดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนั้นอัตราการเพิ่มขึ้นของประเทศอื่นๆทั่วโลกมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าประเทศไทยนั่นคือสาเหตุที่ส่วนแบ่งการตลาดของไทยลดลง เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมหลักๆอื่นๆส่วนใหญ่ของประเทศไทยส่วนแบ่งการตลาดของไทยก็ลดลงเช่นเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่เป็นประเทศคู่ค้า ประเทศคู่แข่งของไทย
“ฉะนั้น การวัดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของไทยนั้นจะต้องวัดในลักษณะของการเปรียบเทียบ เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นไดว่า ไทยด้อยกว่าประเทศคู่แข่งของไทยเกือบทุกกรณี แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเช่นเดียวกันจะอ้างสถิตินักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคนต่อปีก็ตาม แต่เมื่อดูในแง่ของส่วนแบ่งตลอดท่องเที่ยวโลกแม้แต่รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยว (นายประชา มาลีนนท์) ก็ตระหนักดีในแง่ของข้อเท็จจริงว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยได้ลดลงจาก 9.3 % ลงมาเหลือราวๆ 8.6 % ของปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีในช่วงระหว่างปี 2544 — 2547 สรุปง่ายๆคือ นักท่องเที่ยวในโลกมีเพิ่มขึ้นก็จริง แต่มาร์เก็ตแชร์ของไทยลดลงชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพทางการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยที่ด้อยลงในช่วง 4 — 5 ปีที่ผ่านมา” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ เปิดเผยต่อไปว่า ตนยังไม่ได้พูดถึงรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวซึ่งลดลงอย่างชัดเจนในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าทางรัฐบาลจะมีนโยบายที่จะเพิ่มรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยว แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีสาระเพื่อที่จะนำมาสู่วิธีแก้ไขประสิทธิภาพของ อุตสาหกรรมหลักๆ ของไทยได้
ส่วนกรณีตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าจาก 200 จุด มายืนอยู่ที่ 700 จุดแล้วอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายกรณ์ให้ความเห็นว่า เมื่อเปรียเบทียบกับประเทศคู่แข่งประเทศเพื่อบ้านเกือบทุกประเทศ สถิติการเพิ่มขึ้นของดัชนีหลักทรัพย์ไทยนั้นไม่ได้ดีเด่นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นตลาดหลักทัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตลาดหนึ่งในเอเชียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเป็นลักษณะของการหยิบสถิติขึ้นมาบิดเบือนข้อเท็จจริงอีกกรณีหนึ่ง
ส่วนกรณีหนี้สาธารณะที่รักษาการนายกฯ อ้างว่า ถึงแม้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจีดีพีแล้วลดลงจากราวๆ 50 % เหลือ 41% นายกรณ์ ให้ความเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่า สิ่งที่คุณทักษิณไม่ไดพูดถึงคือหนี้สาธารณะที่อยู่นอกระบบงบประมาณ ซึ่งตรงนี้ถ้านำเข้ามาบวกรวมกับหนี้สาธารณะตัวเลขที่พ.ต.ท.ทักษิณหยิบขึ้นมาอ้างเมื่อวานนี้ก็จะแสดงให้เห็นถึงหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับใกล้ 50 % มากกว่า 41 % ตามการอ้างของพ.ต.ท.ทักษิณ
“ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวดัชนีทั้งหมด สถิติทั้งหมดที่คุณทักษิณพูดถึงนั้นมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างไร ตรงนี้ผมคิดว่า ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนในแง่ของผลงานการบริหารเศรษฐกิจรัฐบาลไทยรักไทยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจนมากที่สุด” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ตนจะเปรียบเทียบดูง่ายๆว่า ปี 2544 ปราชนโดยรวมในประเทศมีรายได้ต่อหัวต่อเดือนอยู่ที่ 12,185 บาท เทียบกับค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อคนต่อเดือนในปี 2544 อยู่ที่ 10,000 บาท พูดถึงรายได้ที่มากกว่ารายจ่ายในปี 2544 เท่ากับ 2,160 บาทต่อคน ในปีนั้นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้พูดถึงคือ อีกส่วนหนึ่งของบัญชีบุคคลคือหนี้สินในปี 2544 หนี้ครัวเรือนมีมูลค่าโดยเฉลี่ย 68,000 บ. ต่อครัวเรือน เท่ากับส่วนต่างระหว่างรายได้ที่สูงกว่ารายจ่ายในปีนั้น เทียบกับหนี้ต่อครัวเรือนที่มีเท่ากับ 30 เท่า หมายความว่า รายได้มากกว่ารายได้ราวๆ 2,100 บาท ในขณะที่หนี้ต่อครัวเรือนราวๆ 68,000 บาท เท่ากับ หนี้มีมากกว่าส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายราว 30 เท่า ที่ยกมาคือปี 2544
“ปี 2547 รายได้เพิ่มขึ้นมาราวๆ 15,000 บาทต่อหัวต่อเดือน รายจ่ายเพิ่มขึ้นมาราวๆ 12,300 บาทต่อหัวต่อเดือนเท่ากับในปี 2547 รายได้มากกว่ารายจ่ายประมาณ 2,600 บาทต่อคนในขณะที่หนี้ต่อครัวเรือนในปี 2547 เพิ่มขึ้นมาจาก 68,000 บาท่อครัวเรือนเป็น 105,000 บาทต่อครัวเรือน เพราะฉะนั้นในปี 2547 รายได้มากกว่ารายจ่าย 2,600 บาท แต่หนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากว่า 105,000 บาท เท่ากับหนี้มากกว่าส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายสูงถึง 40 เท่า ปี 2544 เราเปรียบเทียบให้เห็นว่า ส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายเท่ากับ 30 เท่า แต่ 3 ปีผ่านมาปริมาณหนี้เทียบกับส่วนต่างระหว่างรายได้กับรายจ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าเป็น 40 เท่า” นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า การอ้างสถิติทางเศรษฐกิจต่างๆนานาของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าประเทศไทยดีขึ้นอย่างโน้น ดีขึ้นอย่างนี้ ส่งออกมาขึ้น นักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่เมื่อมาดูถึงผลลัพธ์ที่มีต่อประชาชนว่า ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้นหรือไม่ ร่ำรวยขึ้นหรือไม่คำตอบที่ชัดเจนก็คือไม่ คำตอบที่ชัดเจนคือ ประชาชนมีความสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรายได้และมีภาระทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และอัตราการขยายตัวของภาระที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติเศรษฐกิจไทย
“ผมดีใจที่คุณทักษิณคงไม่จัดรายการนายกฯ คุยกับประชาชนช่วงวันเสาร์อีกเพราะว่า 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพียงแต่ใช้โอกาสในการที่จะหยิบยกสถิติทางเศรษฐกิจที่บิดเบือนความเป็นจริงมาอ้างผลงานการบริหารเศรษฐกิจของประเทศในช่วงการบริหารปกครองของคุณทักษิณช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่าเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจที่จะมีความพยายามที่จะบิดเบือนความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องในลักษณะนี้”นายกรณ์ กล่าว
ส่วนกรณีการติดตามความคืบหน้าการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปเปอร์ เรชั่นของครอบครัวชินวัตร นายกรณ์ ให้ความเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งเอกสารต่อสำนักงานตลาดหลักทรัพย์ในวันพรุ่งนี้ (21 ส.ค.49) เวลา 13.00 น. เพื่อติดตามคำตอบและข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับการขายหุ้นของคุณทักษิณที่ขายให้กับทางเทมาเส็กและกรณีของหุ้นเอสซี แอสเสทที่ขายให้กับกองทุนวินมาร์ค
นายกรณ์ เปิดเผยถึงสาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนยังรอคำตอบจากพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยอยู่ในแง่ของสถานภาพของพ.ต.ท.ทักษิณหลังการเลือกตั้งว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ทางพรรคก็มองว่าเป็นเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณและทางพรรคไทยรักไทยต้องตัดสินใจเอง แต่เมื่อย้อนไปถึงจุดเรื่มต้นของคำถามนี้ ในแง่ของความชอบธรรม ความเหมาะสมทางจริยธรรมของพ.ต.ท.ทักษิณที่จะลงรักษาตำแหน่งนายกฯนั้น
“จุดเริ่มต้นก็คือคำถามเรื่องของความถูกต้อง เหมาะสม ในกรณีการขายหุ้นทั้งเอสซี แอสเสท วินมาร์คและชินคอร์ปนั่นให้กับเทมาเส็กเองคำถามทั้งหมดนี้จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มี่คำตอบ พรรคประชาธิปัตย์มองว่า เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาแง่ของความเหมาะสมของคุณทักษิณได้ คุณทักษิณเองต้องคำตอบกับคำถามนี้ และก็อย่าลืมว่าคำถามที่นาซึ่งการตัดสินใจยุบสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ คำถามนี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนออกมาต่อต้านคุณทักษิณอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงทุกวันนี้” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ ยังเสนอแนะทางออกให้พ.ต.ท.ทักษิณว่า หากสังคมได้รับคำตอบจากคำถามนี้ สังคมก็สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้และให้ความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคก็อยากกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการแสวงหาคำตอบไปหาคำตอบมาให้กับประชาชน คราวนี้ปัญหาสำคัญๆ คืออะไร ในกรณีของแอมเพิล ริชหรือในตัวการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กนั้น และวันนี้ทางนายเกียรติ สิทธิอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรค ก็ได้ประกาศจุดยืนในของพรรคในเรื่องที่เกี่ยวกับกรณีกุหลาบแก้วเป็นบริษัทต่างด้าวหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทางพรรคประชาธิปัตย์พยายามที่จะตามหาข้อเท็จจริงผ่านทางกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง
“ในเรื่องของการขายหุ้นให้กับเทมาเส็กนั้น คำถามที่ยังมีอยู่กับ กลต.นั้นก็ยังมีอยู่เช่นเคยว่า มีการซุกหุ้นหรือไม่ มีการใช้ข้อมูลภายในหรือไม่ และมีการซื้อขายหุ้นในลักษณะที่หลบหลีกการชำระภาษีตามความถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เรายังรอคำตอบจากทางหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงและเอกสารที่ตนจะนำเสนอต่อ กลต.ในนามของคณะทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะระบุถึงที่มาของคำถาม และรายละเอียดของคำถามเพื่อให้มีคำตอบกับประชาชนที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในกรณีของเอสซี แอสเสทที่ทางคุณทักษิณได้ขายหุ้นให้กับวินมาร์คนั้น เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบแม้แต่นิดเดียวผ่านทางพ.ต.ท.ทักษิณเองและผ่านทางสำนักงาน กลต. และเป็นที่น่าตกใจเมื่อตนได้เห็นข่าวเมื่อ 2 วันก่อนว่าทาง กลต.ถึงกับให้คะแนนทางบริษัท เอสซี แอสเสทในแง่ของธรรมาภิบาลเต็ม 100 คะแนน ทั้งที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเอสซี แอสเสทที่ยังไม่มีความชัดเจนที่พรรคได้ถาม กลต.ไปแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ
“พรุ่งนี้ ( 21 ส.ค.49) เวลา 13.30 น. ที่ตลาดหลักทรัพย์ ทางตน ในฐานนะตัวแทนคณะทำงานของพรรคก็จะไปยื่นสรุปคำถามที่พรรคมีเกี่ยวกับการขายหุ้นเอสซี แอสเสทโดยคุณทักษิณกับกองทุนวินมาร์คอีกว่า วินมาร์คนั้นมีความสำคัญอย่างไร กับครอบครัวชินวัตร ทำไมวินมาร์คซื้อหุ้นเอสซีแอสเสทจากคุณทักษิณไปแล้วสุดท้ายถึงโอนหุ้นกลับมาให้กับลูกสาวคุณทักษิณโดยละทิ้งโอกาสในการทำทำไรจาการขายหุ้นแอสซี เอสเสทในตลาดหลักทรัพย์ ทำไมกองทุวินมาร์คถึงได้ซื้อหุ้นจากคุณทักษิณไปอีก 4 บริษัทถืออยู่ 4 ปีสุดท้ายก็โอนหุ้นทั้งหมดกลับมาให้กับลูกสาวคุณทักษิณ โดยละทิ้งโอกาสที่จะทำกำไรจากการซื้อหุ้นทั้ง 4 บริษัทนั้นไปเช่นเดียวกัน” นายกรณ์ตั้งข้อสังเกตและ กล่าวย้ำว่า คำถามทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบให้กับประชาชนเพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าคุณทักษิณมีความเหมาะสมทางด้านกฎหมายหรือจริยธรรมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต่อไปหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 20 ส.ค. 2549--จบ--