นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุมีการปล่อยข่าวลือป้ายสีรัฐบาลว่าจะมีการโอนย้ายทหารในจังหวัดมาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในรายการ “นายกฯทักษิณพบประชาชน”ว่า แม้นายกฯจะยืนยันว่าเป็นเอกสารปลอม ซึ่งตนมองว่าไม่ว่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่เห็นว่าเป็นการนำมาพูดเพื่อหวังจุดกระแสสร้างข่าวเพื่อกลบข่าวการออกมาขับไล่นายกรัฐมนตรีมากกว่าที่จะประสงค์ปฏิเสธข่าวนี้ เพราะแม้แต่คนระดับผู้บัญชาการทหารบกยังบอกว่าเป็นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ ไม่มีความเป็นจริงใด ๆ ทั้งสิ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ใครก็ตามที่ทำใบปลิวออกมาแค่เพื่อต้องการสร้างความปั่นป่วนแต่นายกฯกลับสนใจและให้ความเชื่อขนาดนำมากล่าวในรายการนายกฯพบประชาชนได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงอาจจะมีคนในรัฐบาลเกี่ยวข้องและนำไปให้นายกฯพูด แต่ก็ไม่สามารถให้สังคมหันมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้แทนที่จะออกมาชุมนุมขับไล่ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ได้
“นายกฯ มักจะนำเรื่องต่างๆ มากลบกระแสข่าว เช่น การซื้อขายสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลเพื่อกลบการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านหรือการปล่อยข่าวลือบนรถแท็กซี่ และครั้งนี้ก็คงเป็นลูกไม้ตื้นๆ ของนายกฯ เพื่อเบี่ยงเบนกระแสสังคมให้เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์นี้ แต่คิดว่าคงไม่มีใครหลงกลอีกแล้ว” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวว่า นอกจากนี้นายกฯ ยังมีการพูดถึงการเชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีการหยิบยกคำสอนของศาสนาพุทธเพื่อพยายามชี้ให้เห็นว่ามีการเปิดกว้างและการเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นปัญญา รวมถึงยืนยันว่าไม่ได้เชิญมาเพื่อการเมืองแต่เชิญมาเพื่อบ้านเมืองนั้น ตนมองว่านายกฯไม่ได้ทำเพื่อบ้านเมืองอย่างที่อ้างแต่เชิญมาเพื่อแก้เกมทางการเมืองอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อนและไม่ได้กำหนดว่าจะมีทิศทางอย่างไรเป็นการหารืออย่างกว้างๆ เพื่อให้แต่ละมหาวิทยาลัยไปศึกษาวิจัยโดยให้งบไปมหาวิทยาลัยละ 10-20 ล้านบาท ซึ่งการจัดทำวิจัยเรื่องรัฐธรรมนูญควรจะให้ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด ถ่วงเวลาให้สังคมหันมาสนใจในเรื่องนี้มากกว่าที่จะออกมาขับไล่นายกฯ ดังนั้นที่อ้างว่าไม่ได้เชิญมาเพื่อการเมืองนั้นเป็นการโกหกหน้าตาย
“นายกฯหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาผิดเวลา เพราะประชาชนไม่ได้สนใจมากเท่ากับการขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ จึงถือเป็นการสายเกินไปและถ้ายังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะที่มีนายกฯและรัฐบาลชุดนี้อยู่ก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการแก้เพื่อไปลดทอนอำนาจเบ็ดเสร็จของนายกฯไม่ให้เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระหรือมีอิทธิพลต่อวุฒิสภา เชื่อว่าเสียงข้างมากของนายกฯ คงไม่ปล่อยให้รัฐธรรมนูญผ่านสภาออกมาได้ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าอธิการบดีจะศึกษาอย่างไร ตราบใดที่นายกฯยังอยู่ การแก้รัฐธรรมนูญก็คือละครฉากหนึ่งเท่านั้นคงไม่สามารถได้รัฐธรรมนูญตามที่มุ่งหวังอย่างแน่นอน” นายองอาจระบุ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวว่า นับแต่มีกระแสขับไล่เกิดขึ้นนายกฯ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรในการบริหารแผ่นดินเลย มีแต่จะพยายามหาวิธีรักษาอำนาจความเป็นนายกฯให้อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ทำงานเพื่อต่ออายุตัวเองและรัฐบาลชุดนี้ มากกว่าประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนด้วยหลายวิธีการเช่น 1. พูดปด เช่น กรณีการหุ้นชินคอร์ป ที่ไม่ได้มีการชี้แจงตอบคำถามต่อประชาชนตรงไปตรงมา แต่พยายามให้ตนเองและคนในรัฐบาลเล่นเล่ห์เพทุบายที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนมากขึ้นทุกวัน
2.ลดกระแส โดยพยายามคิดค้นวิธีการมาลดกระแสที่ถูกขับไล่ เช่น ทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินให้รับคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา กลับมาเป็นผู้ว่าสตง.ทั้งที่ไม่เคยมีเจตนาหาทางออกเลย หรือการแก้รัฐธรรมนูญที่ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ขอเป็นเจ้าภาพ แต่กลับมาเสนอทำประชามติ ประชาพิจารณ์ เมื่อไม่สำเร็จก็โยนเงินให้มหาวิทยาลัยไปทำวิจัย
3. แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น มีการเรียกประชุมกลุ่มแท็กซี่ แจกรถแท็กซี่กับบางคน การเรียกประชุม ขสมก. หรือจัดรายการแก้ปัญหาความยากจนที่ อ.อาจสามารถ โดยบอกว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหา แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งล่าสุดพยายามเรียกประชุมจะขึ้นค่าแรงให้กับผู้ใช้แรงงาน และ 4. ท้าทายประชาชน โดยนายกฯได้กล่าวหาด้วยคำพูดหยาบคายใส่ร้ายผู้มาชุมนุมว่าเป็นพวกกุ๊ย แทรกแซงสื่อมวลชนโดยเฉพาะข่าวการขับไล่นายกฯ ที่ออกมาน้อยกว่าการจัดม๊อบเชลียร์ และการให้ข้าราชการซี 6 สั่งระงับการออกอากาศของสถานีวิทยุคลื่น 94 ที่สำคัญคือการสั่ง ส.ส. พรรคไทยรักไทยจัดคนมาเชียร์รัฐบาลในวันที่ 3 มี.ค.นี้ถือเป็นการท้าทายประชาชนอย่างมาก
“อยากเปรียบรัฐบาลเหมือนไม้แห้งที่พร้อมจะติดไฟง่าย ไม่มีความชุ่มชื้น ไม่มั่นคง หรือแข็งแรงเพียงพอและถ้ามีไม้แห้งด้วยกันในรัฐบาลมาเสียดสีย่อมเกิดประกายไฟลุกไหม้ง่ายขึ้นเท่านั้น สภาพของรัฐบาลขณะนี้ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง การปรับครม.ที่มีข่าวว่าจะเกิดขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมสภา คงไม่ใช่การปรับเพื่อให้ประสิทธิภาพการบริหารงานดีขึ้น แต่เพื่อลดกระแสความไม่พอใจความเป็นกบฎในพรรคไทยรักไทยมากกว่า เพราะมีข่าวว่ามีการเอาหัวหน้าวังต่าง ๆ ไปอยู่ในตำแหน่งรมต.ที่เกรดดีกว่าเดิม จึงเป็นการปรับเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมากบฎหรือป้องกันปัญหาภายในไม่ให้ลุกลามสู่ภายนอกเท่านั้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประกาศจะร่วมชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ.ด้วย นายองอาจกล่าวว่า พล.ต.จำลองเป็นบุคลากรที่สำคัญทางการเมืองคนหนึ่งการออกมาเคลื่อนไหวย่อมก่อให้เกิดผลสะท้อนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มากก็น้อย เพราะภาพของพล.ต.จำลอง ไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงและไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง การออกมาต่อต้านนายกฯ คงจะมีข้อมูลเชิงลึกพอสมควรหรืออาจตัดสินใจได้ว่าถึงวันนี้จุดยืนใดจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่อยู่ในพรรคไทยรักไทยจะมีความคิดเช่นนี้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าคนดี ๆ อยู่ในพรรคไทยรักไทยไม่ได้ เช่น นายคณิต ณ นคร นายธีระภัทร เสรีรังสรรค์ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ร่วมกันก่อตั้งพรรคก็ได้ลาออกไป
นายองอาจ กล่าวว่า วันนี้พล.ต.จำลองซึ่งเป็นที่ปรึกษานายกฯและเป็นคนดึง พ.ต.ท.ทักษิณมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ท่านคงได้ประจักษ์ความจริงแล้วว่าวันเวลาของ พ.ต.ท.ทักษิณสิ้นสุดลงแล้ว จึงออกมาประกาศชัดเจนว่าไม่สามารถให้พ.ต.ท.ทักษิณได้เป็นนายกฯอีกต่อไป
“ ผมเชื่อว่า พล.ต.จำลองคงไม่ใช่คนสุดท้ายในรัฐบาลชุดนี้ที่จะออกมาประกาศจุดยืนและคงจะมีทยอยออกมาเรื่อยๆ ตราบใดที่พ.ต.ท.ทักษิณยังใช้วิธีการเหล่านี้ ” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ก.พ. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตว่า ใครก็ตามที่ทำใบปลิวออกมาแค่เพื่อต้องการสร้างความปั่นป่วนแต่นายกฯกลับสนใจและให้ความเชื่อขนาดนำมากล่าวในรายการนายกฯพบประชาชนได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงอาจจะมีคนในรัฐบาลเกี่ยวข้องและนำไปให้นายกฯพูด แต่ก็ไม่สามารถให้สังคมหันมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้แทนที่จะออกมาชุมนุมขับไล่ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ได้
“นายกฯ มักจะนำเรื่องต่างๆ มากลบกระแสข่าว เช่น การซื้อขายสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลเพื่อกลบการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านหรือการปล่อยข่าวลือบนรถแท็กซี่ และครั้งนี้ก็คงเป็นลูกไม้ตื้นๆ ของนายกฯ เพื่อเบี่ยงเบนกระแสสังคมให้เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์นี้ แต่คิดว่าคงไม่มีใครหลงกลอีกแล้ว” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวว่า นอกจากนี้นายกฯ ยังมีการพูดถึงการเชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีการหยิบยกคำสอนของศาสนาพุทธเพื่อพยายามชี้ให้เห็นว่ามีการเปิดกว้างและการเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นปัญญา รวมถึงยืนยันว่าไม่ได้เชิญมาเพื่อการเมืองแต่เชิญมาเพื่อบ้านเมืองนั้น ตนมองว่านายกฯไม่ได้ทำเพื่อบ้านเมืองอย่างที่อ้างแต่เชิญมาเพื่อแก้เกมทางการเมืองอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาก่อนและไม่ได้กำหนดว่าจะมีทิศทางอย่างไรเป็นการหารืออย่างกว้างๆ เพื่อให้แต่ละมหาวิทยาลัยไปศึกษาวิจัยโดยให้งบไปมหาวิทยาลัยละ 10-20 ล้านบาท ซึ่งการจัดทำวิจัยเรื่องรัฐธรรมนูญควรจะให้ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด ถ่วงเวลาให้สังคมหันมาสนใจในเรื่องนี้มากกว่าที่จะออกมาขับไล่นายกฯ ดังนั้นที่อ้างว่าไม่ได้เชิญมาเพื่อการเมืองนั้นเป็นการโกหกหน้าตาย
“นายกฯหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาผิดเวลา เพราะประชาชนไม่ได้สนใจมากเท่ากับการขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ จึงถือเป็นการสายเกินไปและถ้ายังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะที่มีนายกฯและรัฐบาลชุดนี้อยู่ก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการแก้เพื่อไปลดทอนอำนาจเบ็ดเสร็จของนายกฯไม่ให้เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระหรือมีอิทธิพลต่อวุฒิสภา เชื่อว่าเสียงข้างมากของนายกฯ คงไม่ปล่อยให้รัฐธรรมนูญผ่านสภาออกมาได้ ดังนั้นเห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าอธิการบดีจะศึกษาอย่างไร ตราบใดที่นายกฯยังอยู่ การแก้รัฐธรรมนูญก็คือละครฉากหนึ่งเท่านั้นคงไม่สามารถได้รัฐธรรมนูญตามที่มุ่งหวังอย่างแน่นอน” นายองอาจระบุ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวว่า นับแต่มีกระแสขับไล่เกิดขึ้นนายกฯ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรในการบริหารแผ่นดินเลย มีแต่จะพยายามหาวิธีรักษาอำนาจความเป็นนายกฯให้อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ทำงานเพื่อต่ออายุตัวเองและรัฐบาลชุดนี้ มากกว่าประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนด้วยหลายวิธีการเช่น 1. พูดปด เช่น กรณีการหุ้นชินคอร์ป ที่ไม่ได้มีการชี้แจงตอบคำถามต่อประชาชนตรงไปตรงมา แต่พยายามให้ตนเองและคนในรัฐบาลเล่นเล่ห์เพทุบายที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนมากขึ้นทุกวัน
2.ลดกระแส โดยพยายามคิดค้นวิธีการมาลดกระแสที่ถูกขับไล่ เช่น ทำหนังสือถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินให้รับคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา กลับมาเป็นผู้ว่าสตง.ทั้งที่ไม่เคยมีเจตนาหาทางออกเลย หรือการแก้รัฐธรรมนูญที่ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ขอเป็นเจ้าภาพ แต่กลับมาเสนอทำประชามติ ประชาพิจารณ์ เมื่อไม่สำเร็จก็โยนเงินให้มหาวิทยาลัยไปทำวิจัย
3. แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น มีการเรียกประชุมกลุ่มแท็กซี่ แจกรถแท็กซี่กับบางคน การเรียกประชุม ขสมก. หรือจัดรายการแก้ปัญหาความยากจนที่ อ.อาจสามารถ โดยบอกว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหา แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งล่าสุดพยายามเรียกประชุมจะขึ้นค่าแรงให้กับผู้ใช้แรงงาน และ 4. ท้าทายประชาชน โดยนายกฯได้กล่าวหาด้วยคำพูดหยาบคายใส่ร้ายผู้มาชุมนุมว่าเป็นพวกกุ๊ย แทรกแซงสื่อมวลชนโดยเฉพาะข่าวการขับไล่นายกฯ ที่ออกมาน้อยกว่าการจัดม๊อบเชลียร์ และการให้ข้าราชการซี 6 สั่งระงับการออกอากาศของสถานีวิทยุคลื่น 94 ที่สำคัญคือการสั่ง ส.ส. พรรคไทยรักไทยจัดคนมาเชียร์รัฐบาลในวันที่ 3 มี.ค.นี้ถือเป็นการท้าทายประชาชนอย่างมาก
“อยากเปรียบรัฐบาลเหมือนไม้แห้งที่พร้อมจะติดไฟง่าย ไม่มีความชุ่มชื้น ไม่มั่นคง หรือแข็งแรงเพียงพอและถ้ามีไม้แห้งด้วยกันในรัฐบาลมาเสียดสีย่อมเกิดประกายไฟลุกไหม้ง่ายขึ้นเท่านั้น สภาพของรัฐบาลขณะนี้ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง การปรับครม.ที่มีข่าวว่าจะเกิดขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมสภา คงไม่ใช่การปรับเพื่อให้ประสิทธิภาพการบริหารงานดีขึ้น แต่เพื่อลดกระแสความไม่พอใจความเป็นกบฎในพรรคไทยรักไทยมากกว่า เพราะมีข่าวว่ามีการเอาหัวหน้าวังต่าง ๆ ไปอยู่ในตำแหน่งรมต.ที่เกรดดีกว่าเดิม จึงเป็นการปรับเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นมากบฎหรือป้องกันปัญหาภายในไม่ให้ลุกลามสู่ภายนอกเท่านั้น” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประกาศจะร่วมชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ.ด้วย นายองอาจกล่าวว่า พล.ต.จำลองเป็นบุคลากรที่สำคัญทางการเมืองคนหนึ่งการออกมาเคลื่อนไหวย่อมก่อให้เกิดผลสะท้อนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มากก็น้อย เพราะภาพของพล.ต.จำลอง ไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงและไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง การออกมาต่อต้านนายกฯ คงจะมีข้อมูลเชิงลึกพอสมควรหรืออาจตัดสินใจได้ว่าถึงวันนี้จุดยืนใดจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่อยู่ในพรรคไทยรักไทยจะมีความคิดเช่นนี้ ที่ผ่านมาจะเห็นว่าคนดี ๆ อยู่ในพรรคไทยรักไทยไม่ได้ เช่น นายคณิต ณ นคร นายธีระภัทร เสรีรังสรรค์ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ร่วมกันก่อตั้งพรรคก็ได้ลาออกไป
นายองอาจ กล่าวว่า วันนี้พล.ต.จำลองซึ่งเป็นที่ปรึกษานายกฯและเป็นคนดึง พ.ต.ท.ทักษิณมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ท่านคงได้ประจักษ์ความจริงแล้วว่าวันเวลาของ พ.ต.ท.ทักษิณสิ้นสุดลงแล้ว จึงออกมาประกาศชัดเจนว่าไม่สามารถให้พ.ต.ท.ทักษิณได้เป็นนายกฯอีกต่อไป
“ ผมเชื่อว่า พล.ต.จำลองคงไม่ใช่คนสุดท้ายในรัฐบาลชุดนี้ที่จะออกมาประกาศจุดยืนและคงจะมีทยอยออกมาเรื่อยๆ ตราบใดที่พ.ต.ท.ทักษิณยังใช้วิธีการเหล่านี้ ” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ก.พ. 2549--จบ--