วันนี้ 31 มี.ค. 49 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน นี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประเมินว่าคงไม่ต้องคำนึงถึงผลของการเลือกตั้ง เป็นที่ชัดเจนว่าถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 2 นี้ พรรคไทยรักไทยคงจะเป็นเสียงข้างมากอาจจะเรียกได้ว่า 500 เสียง ยกเว้นในบางเขตเลือกตั้งที่อาจจะได้รับเลือกไม่ถึง 20 % และรวมทั้งปาร์ตี้ลิสต์ที่จะขาดไป 1 คนเพราะฉะนั้นในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะติดตามดูหลังจากนี้คือหลังจากการเลือกตั้งไปแล้วจะมีความพยายามที่จะอาศัยการบิดเบือนรัฐธรรมนูญและกฏหมาย เพื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ รวมทั้งหลังจากนั้นแล้วก็คงจะมีความพยายามที่จะเลือกรับรองนายกรัฐมนตรีให้ได้ เพื่อที่จะได้มีอำนาจในการบริหารประเทศนี้ต่อไปและเพื่อที่จะให้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนต่อไปเป็นท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตหลายรูปแบบ โดยได้เริ่มมีการทุจริตตั้งแต่ก่อนการลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยการพยายามสนับสนุนเงินทองให้ผู้สมัครพรรคเล็ก ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้ กกต. ยังคงไม่มีการดำเนินการใด ๆ ชัดเจนว่าจะลงโทษผู้สมัครพรรคเล็กและผู้ให้การสนับสนุนเงินทองกับพรรคเล็กอย่างไร ปัญหานี้ยังคงดำรงอยู่
ปัญหาที่จะตามมาอีกส่วนหนึ่งคือ การดำเนินการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายกรณีตั้งแต่การซื้อเสียง รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐ ขณะนี้ทางพรรคฯ ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีการใช้อำนาจรัฐกันในหลาย ๆ พื้นที่ โดยเป้าหมายพื้นที่ที่จะมีการใช้อำนาจรัฐและการซื้อเสียงมาก คงจะเป็นเขตพื้นที่ที่มีผู้สมัครคนเดียว 272 เขตทั่วประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครซึ่งมี 20 เขตที่มีผู้สมัครคนเดียว ส่วนภาคกลางคงจะเป็นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี รวมทั้งสระแก้ว ส่วนภาคใต้นั้นเขตที่มีผู้สมัครคนเดียวจำนวน 35 เขต ซึ่งทั้งหมดจะเป็นเขตที่มีการใช้อำนาจรัฐและมีการซื้อเสียงเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์คงจะต้องพยายามจับตาดูความพยายามที่จะมีการโกงการเลือกตั้งในเขตต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อให้ได้เสียงมากกว่า 20% ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องยอมรับว่าในหลาย ๆ พื้นที่ที่ได้ไปตรวจสอบดูนั้นค่อนข้างยากที่จะหาประจักษ์พยานหลักฐานใด ๆ เพราะว่าในหลายพื้นที่ที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องการใช้เงินในการซื้อเสียงนั้น ก็มีการกระทำล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นควรจะต้องมีการจับตาดูว่าในวันเลือกตั้งจะมีการใช้อำนาจรัฐอีกหรือไม่
“พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมั่นว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ความไม่พอใจของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่จะพบเห็นพฤติกรรมของการไม่สุจริตยุติธรรม จะมีมากขึ้นประกอบกับ การไม่สุจริตต่างๆ มากขึ้นด้วยเช่น การใช้เงินจ้างพรรคเล็กสมัครโดยที่คุณสมบัติไม่ครบในหลาย ๆ พื้นที่ซึ่งยังไม่ได้รับความกระจ่างก็จะมาบวกกับความไม่พอใจในช่วงของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะทำให้เป็นการเพิ่มดีกรีร้อนแรงทางการเมืองให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นคงต้องไปจับตาดูว่าจะมีการบิดเบือน หรือมีความพยายามที่จะใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นประโยชน์ในการที่จะเปิดประชุมสภาฯ ไปจนถึงขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่จะนำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน หากรัฐบาลรักษาการณ์ชุดปัจจุบันคาดหมายว่าจะได้เสียง 500 เสียงในครั้งนี้ ยกเว้นเขตปาร์ตี้ลิสต์ที่ได้ลาออกไป และบางเขตที่จะได้ไม่ถึง 20% คงจะต้องพยายามทำทุกวิถีทาง” นายองอาจ กล่าว
จากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี พยายามชี้ให้เห็นว่าวันที่ 2 เมษายนการเมืองจะเข้าสู่ระบบนั้น ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังมองไม่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าไปสู่ระบบได้ เพราะปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่พอใจในตัวท่านนายกรัฐมนตรี ความไม่พอใจรัฐบาล และความไม่พอใจในระบอบทักษิณ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังไม่ได้รับการดำเนินการให้ลุล่วงไปได้ ปัญหาต่าง ๆ ยังคงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้การเลือกตั้งหลังวันที่ 2 เมษายน การที่จะทำให้ประเทศชาติเข้าสู่ระบบนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
“ระบบที่จะถูกทำให้เกิดขึ้นหลังวันที่ 2 นั้นจะเป็นเพียงระบบจอมปลอม ที่ดำเนินการจัดการโดยนายกรัฐมนตรีและคณะเท่านั้นเอง คงไม่ใช่ระบบที่ถูกต้องชอบธรรมเพราะฉะนั้นท่านนายกฯเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำตามกติกาหลังวันที่ 2 เมษา คงเป็นเรื่องยากเพราะในขณะที่เรียกร้องให้เคารพกติกาแต่ 5 ปีที่ผ่านมาที่เราทราบกันดีว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ได้เคารพกติกา ไม่ว่าการมีอิทธิพลเหนือวุฒิสมาชิก การแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือการเลี่ยงภาษีกรณีขายหุ้นชินคอร์ป ส่วนที่ท่านนายกฯอ้างว่าผู้คนที่ชุมนุมกันตามที่ต่างๆนั้นมากล่าวหาท่านอย่างผิด ๆ และไม่ฟังคำชี้แจงของท่านนายกฯ ต้องการเรียนท่านนายกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านท่านนายกฯขณะนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวันในเชิงคุณภาพ เห็นได้ว่ากลุ่มวิชาชีพ ครูอาจารย์เกือบทุกภาคส่วนของสังคม ได้ออกมาคัดค้านระบอบทักษิณ คนเหล่านี้คงไม่ใช่คนที่กล่าวหาใครผิดๆหรือไม่ฟังใครหรือถ้าฟังแล้วทำเป็นไม่เข้าใจอย่างที่นายกฯกล่าวอ้าง เชื่อว่าคนเหล่านี้ได้ฟังแล้วเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านนายกฯไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป รวมถึงคัดค้านไม่ให้ระบอบทักษิณได้เติบโตเข้มแข็งต่อไปในประเทศนี้ คนเหล่านี้จึงรวมตัวกันคัดค้านระบอบทักษิณอย่างเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติโดยเฉพาะในเชิงคุณภาพแทบจะกล่าวได้ว่า กลุ่มบุคคลที่มีคุณภาพในสังคมแทบจะไม่มีกลุ่มใดเห็นด้วยกับท่านนายกรัฐมนตรีในขณะนี้” นายองอาจ กล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 มี.ค. 2549--จบ--
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการทุจริตหลายรูปแบบ โดยได้เริ่มมีการทุจริตตั้งแต่ก่อนการลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยการพยายามสนับสนุนเงินทองให้ผู้สมัครพรรคเล็ก ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้ กกต. ยังคงไม่มีการดำเนินการใด ๆ ชัดเจนว่าจะลงโทษผู้สมัครพรรคเล็กและผู้ให้การสนับสนุนเงินทองกับพรรคเล็กอย่างไร ปัญหานี้ยังคงดำรงอยู่
ปัญหาที่จะตามมาอีกส่วนหนึ่งคือ การดำเนินการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายกรณีตั้งแต่การซื้อเสียง รวมทั้งการใช้อำนาจรัฐ ขณะนี้ทางพรรคฯ ได้รับการแจ้งเบาะแสว่ามีการใช้อำนาจรัฐกันในหลาย ๆ พื้นที่ โดยเป้าหมายพื้นที่ที่จะมีการใช้อำนาจรัฐและการซื้อเสียงมาก คงจะเป็นเขตพื้นที่ที่มีผู้สมัครคนเดียว 272 เขตทั่วประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครซึ่งมี 20 เขตที่มีผู้สมัครคนเดียว ส่วนภาคกลางคงจะเป็นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี รวมทั้งสระแก้ว ส่วนภาคใต้นั้นเขตที่มีผู้สมัครคนเดียวจำนวน 35 เขต ซึ่งทั้งหมดจะเป็นเขตที่มีการใช้อำนาจรัฐและมีการซื้อเสียงเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์คงจะต้องพยายามจับตาดูความพยายามที่จะมีการโกงการเลือกตั้งในเขตต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อให้ได้เสียงมากกว่า 20% ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งต้องยอมรับว่าในหลาย ๆ พื้นที่ที่ได้ไปตรวจสอบดูนั้นค่อนข้างยากที่จะหาประจักษ์พยานหลักฐานใด ๆ เพราะว่าในหลายพื้นที่ที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องการใช้เงินในการซื้อเสียงนั้น ก็มีการกระทำล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นควรจะต้องมีการจับตาดูว่าในวันเลือกตั้งจะมีการใช้อำนาจรัฐอีกหรือไม่
“พรรคประชาธิปัตย์เชื่อมั่นว่าหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ความไม่พอใจของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่จะพบเห็นพฤติกรรมของการไม่สุจริตยุติธรรม จะมีมากขึ้นประกอบกับ การไม่สุจริตต่างๆ มากขึ้นด้วยเช่น การใช้เงินจ้างพรรคเล็กสมัครโดยที่คุณสมบัติไม่ครบในหลาย ๆ พื้นที่ซึ่งยังไม่ได้รับความกระจ่างก็จะมาบวกกับความไม่พอใจในช่วงของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะทำให้เป็นการเพิ่มดีกรีร้อนแรงทางการเมืองให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นคงต้องไปจับตาดูว่าจะมีการบิดเบือน หรือมีความพยายามที่จะใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นประโยชน์ในการที่จะเปิดประชุมสภาฯ ไปจนถึงขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่จะนำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชน หากรัฐบาลรักษาการณ์ชุดปัจจุบันคาดหมายว่าจะได้เสียง 500 เสียงในครั้งนี้ ยกเว้นเขตปาร์ตี้ลิสต์ที่ได้ลาออกไป และบางเขตที่จะได้ไม่ถึง 20% คงจะต้องพยายามทำทุกวิถีทาง” นายองอาจ กล่าว
จากทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี พยายามชี้ให้เห็นว่าวันที่ 2 เมษายนการเมืองจะเข้าสู่ระบบนั้น ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังมองไม่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าไปสู่ระบบได้ เพราะปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่พอใจในตัวท่านนายกรัฐมนตรี ความไม่พอใจรัฐบาล และความไม่พอใจในระบอบทักษิณ ยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังไม่ได้รับการดำเนินการให้ลุล่วงไปได้ ปัญหาต่าง ๆ ยังคงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้การเลือกตั้งหลังวันที่ 2 เมษายน การที่จะทำให้ประเทศชาติเข้าสู่ระบบนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
“ระบบที่จะถูกทำให้เกิดขึ้นหลังวันที่ 2 นั้นจะเป็นเพียงระบบจอมปลอม ที่ดำเนินการจัดการโดยนายกรัฐมนตรีและคณะเท่านั้นเอง คงไม่ใช่ระบบที่ถูกต้องชอบธรรมเพราะฉะนั้นท่านนายกฯเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำตามกติกาหลังวันที่ 2 เมษา คงเป็นเรื่องยากเพราะในขณะที่เรียกร้องให้เคารพกติกาแต่ 5 ปีที่ผ่านมาที่เราทราบกันดีว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ได้เคารพกติกา ไม่ว่าการมีอิทธิพลเหนือวุฒิสมาชิก การแทรกแซงองค์กรอิสระ หรือการเลี่ยงภาษีกรณีขายหุ้นชินคอร์ป ส่วนที่ท่านนายกฯอ้างว่าผู้คนที่ชุมนุมกันตามที่ต่างๆนั้นมากล่าวหาท่านอย่างผิด ๆ และไม่ฟังคำชี้แจงของท่านนายกฯ ต้องการเรียนท่านนายกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านท่านนายกฯขณะนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวันในเชิงคุณภาพ เห็นได้ว่ากลุ่มวิชาชีพ ครูอาจารย์เกือบทุกภาคส่วนของสังคม ได้ออกมาคัดค้านระบอบทักษิณ คนเหล่านี้คงไม่ใช่คนที่กล่าวหาใครผิดๆหรือไม่ฟังใครหรือถ้าฟังแล้วทำเป็นไม่เข้าใจอย่างที่นายกฯกล่าวอ้าง เชื่อว่าคนเหล่านี้ได้ฟังแล้วเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าท่านนายกฯไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป รวมถึงคัดค้านไม่ให้ระบอบทักษิณได้เติบโตเข้มแข็งต่อไปในประเทศนี้ คนเหล่านี้จึงรวมตัวกันคัดค้านระบอบทักษิณอย่างเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติโดยเฉพาะในเชิงคุณภาพแทบจะกล่าวได้ว่า กลุ่มบุคคลที่มีคุณภาพในสังคมแทบจะไม่มีกลุ่มใดเห็นด้วยกับท่านนายกรัฐมนตรีในขณะนี้” นายองอาจ กล่าวในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 มี.ค. 2549--จบ--