บทสรุปผู้บริหาร
ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนมิถุนายน 2549 ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน และภาคการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้และภาษีฐานการบริโภคยังสามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะด้านราคาและการจ้างงานในภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ภายในประเทศมีการขยายตัวในระดับต่ำ อุปสงค์การบริโภคภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยวัดจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง โดยเฉพาะด้านการลงทุนในภาคการก่อสร้าง และการลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีการขยายตัวในระดับต่ำ ด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศพบว่า มูลค่าการส่งออกยังสามารถขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนลดลงจากเดือนก่อนหน้า และทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายนอกและการบริโภคภายในประเทศที่สามารถขยายตัวดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 โดยมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 15.9 ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจถือว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพดีมาก โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 6.0 และมีแนวโน้มที่จะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำ
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2549 ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนมิถุนายน 2549 ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน และภาคการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชน และการนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้ในเดือนมิถุนายนสามารถขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.8 ต่อปีในเดือนก่อน โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 14.7 ต่อปี ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี สำหรับรายได้ภาษีจากฐานการบริโภคในเดือนมิถุนายนยังขยายตัวดีมากที่ร้อยละ 16.9 ต่อปี แม้ว่าจะลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อยที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ต่อปี สะท้อนถึงรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การบริโภคภายในประเทศยังขยายตัวได้ดี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะในภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายนยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 16.8 ต่อปี ด้านการจ้างงานขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 8.5 ต่อปี ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรยังคงสามารถขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน สำหรับเครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่ชะลอลง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปี ชะลอลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี เดือนก่อน สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการในด้านการจ้างงานภาคบริการยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี อย่างไรก็ตามคาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
อุปสงค์การบริโภคภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนทั้งรายได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายในประเทศในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 27.4 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 25.8 ต่อปี สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวที่ร้อยละ 13.9 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 75.2 จุด ซึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านการเมือง ราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2549 ของหลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันการลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลง แต่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดก่อสร้างชะลอตัวลงจากยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤษภาคมกลับมาลดลงอีกครั้งที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคธุรกิจก่อสร้าง นอกจากนี้ เครื่องชี้การลงทุนในหมวดอุปกรณ์และเครื่องจักรนั้น พบว่า แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีอัตราการขยายตัวในระดับ 2 หลัก (Double—digit Growth) อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนมิถุนายนมีสัญญาณของปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการค้าระหว่างประเทศในเดือนมิถุนายนโดยเฉพาะด้านมูลค่าการส่งออกยังสามารถขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าขยายตัวในอัตราชะลอลงจากเดือนก่อน โดยการส่งออก (ตามระบบกรมศุลกากร) มีมูลค่าทั้งสิ้น 10.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 18.0 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้า (ตามระบบกรมศุลกากร) อยู่ที่ 11.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3.0 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลที่ 428 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการขาดดุลที่ลดลงจากเดือนก่อนที่ขาดดุล 646 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกขาดดุล 2.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ในด้านเสถียรภาพทางการคลัง หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 46.4 ของ GDP ณ สิ้นปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 41.7 ของ GDP ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำโดยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ในเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนปรับตัวลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ต่อปีจากร้อยละ 6.2 ในเดือนก่อนหน้า และคาดว่าในครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงหากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพและจากการที่ฐานอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน (เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศลอยตัวราคาค้าปลีกน้ำมันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2548) ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 58.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 52.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 2548 ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนพฤษภาคมขาดดุลจำนวน 935.5 ล้านเหรียญสหรัฐอันเนื่องจากปัจจัยทางฤดูกาล แต่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ยังเกินดุลจำนวน 437.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายนอกที่ขยายตัวดีมาก โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 17.3 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนต่ำ ที่ร้อยละ 3.2 นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ยังสามารถขยายตัวดี โดยวัดจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริโภคภายในประเทศที่ร้อยละ 24 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก โดยวัดจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 ต่อปี เมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 12.3 ต่อปี ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 และยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ยังคงลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 เช่นเดียวกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสะสมในไตรมาสที่ 2 ที่ลดลงร้อยละ 54.8 ต่อปี เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 51.5 ต่อปี
ในด้านเสถียรภาพของไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ถือว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพดีมาก โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 6.0 เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดยประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเท่ากับ 5.1 เดือนของมูลค่าการนำเข้าและ 3.3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ในด้านเสถียรภาพการคลังมีฐานะมั่นคงดีขึ้น โดยหนี้สาธารณะในไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 41.6 ของ GDP โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,228 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 12/2549 27 มิถุนายน 2549--
ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนมิถุนายน 2549 ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน และภาคการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้และภาษีฐานการบริโภคยังสามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะด้านราคาและการจ้างงานในภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ภายในประเทศมีการขยายตัวในระดับต่ำ อุปสงค์การบริโภคภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยวัดจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง โดยเฉพาะด้านการลงทุนในภาคการก่อสร้าง และการลงทุนในอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีการขยายตัวในระดับต่ำ ด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศพบว่า มูลค่าการส่งออกยังสามารถขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนลดลงจากเดือนก่อนหน้า และทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายนอกและการบริโภคภายในประเทศที่สามารถขยายตัวดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 โดยมูลค่าการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 15.9 ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจถือว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพดีมาก โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 6.0 และมีแนวโน้มที่จะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำ
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน 2549 ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนมิถุนายน 2549 ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน และภาคการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชน และการนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้ในเดือนมิถุนายนสามารถขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.8 ต่อปีในเดือนก่อน โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 14.7 ต่อปี ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลขยายตัวร้อยละ 12.4 ต่อปี สำหรับรายได้ภาษีจากฐานการบริโภคในเดือนมิถุนายนยังขยายตัวดีมากที่ร้อยละ 16.9 ต่อปี แม้ว่าจะลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อยที่ขยายตัวร้อยละ 18.2 ต่อปี สะท้อนถึงรายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การบริโภคภายในประเทศยังขยายตัวได้ดี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะในภาคการเกษตรขยายตัวได้ดี โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรเดือนมิถุนายนยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 16.8 ต่อปี ด้านการจ้างงานขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 8.5 ต่อปี ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรยังคงสามารถขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน สำหรับเครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีการขยายตัวต่อเนื่องในอัตราที่ชะลอลง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 7.8 ต่อปี ชะลอลงเล็กน้อยจากที่ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี เดือนก่อน สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการในด้านการจ้างงานภาคบริการยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.7 ต่อปี อย่างไรก็ตามคาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะยังสามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
อุปสงค์การบริโภคภายในประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนทั้งรายได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายในประเทศในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 27.4 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 25.8 ต่อปี สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวที่ร้อยละ 13.9 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 75.2 จุด ซึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านการเมือง ราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2549 ของหลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันการลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลง แต่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในเดือนมิถุนายน โดยเครื่องชี้การลงทุนในหมวดก่อสร้างชะลอตัวลงจากยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤษภาคมกลับมาลดลงอีกครั้งที่ร้อยละ 5.8 ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคธุรกิจก่อสร้าง นอกจากนี้ เครื่องชี้การลงทุนในหมวดอุปกรณ์และเครื่องจักรนั้น พบว่า แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีอัตราการขยายตัวในระดับ 2 หลัก (Double—digit Growth) อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนมิถุนายนมีสัญญาณของปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 4.6 ต่อปี เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 ต่อปีในเดือนก่อนหน้า
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการค้าระหว่างประเทศในเดือนมิถุนายนโดยเฉพาะด้านมูลค่าการส่งออกยังสามารถขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าขยายตัวในอัตราชะลอลงจากเดือนก่อน โดยการส่งออก (ตามระบบกรมศุลกากร) มีมูลค่าทั้งสิ้น 10.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 18.0 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้า (ตามระบบกรมศุลกากร) อยู่ที่ 11.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3.0 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลที่ 428 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการขาดดุลที่ลดลงจากเดือนก่อนที่ขาดดุล 646 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกขาดดุล 2.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ในด้านเสถียรภาพทางการคลัง หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 46.4 ของ GDP ณ สิ้นปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 41.7 ของ GDP ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำโดยอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ในเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายนปรับตัวลดลงอยู่ที่ร้อยละ 5.9 ต่อปีจากร้อยละ 6.2 ในเดือนก่อนหน้า และคาดว่าในครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงหากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพและจากการที่ฐานอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน (เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศลอยตัวราคาค้าปลีกน้ำมันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2548) ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 58.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 52.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 2548 ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนพฤษภาคมขาดดุลจำนวน 935.5 ล้านเหรียญสหรัฐอันเนื่องจากปัจจัยทางฤดูกาล แต่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ยังเกินดุลจำนวน 437.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายนอกที่ขยายตัวดีมาก โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 17.3 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 เพิ่มขึ้นในอัตราที่ค่อนต่ำ ที่ร้อยละ 3.2 นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ยังสามารถขยายตัวดี โดยวัดจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริโภคภายในประเทศที่ร้อยละ 24 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลงค่อนข้างมาก โดยวัดจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 ต่อปี เมื่อเทียบกับการขยายตัวร้อยละ 12.3 ต่อปี ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2549 และยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ยังคงลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 เช่นเดียวกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสะสมในไตรมาสที่ 2 ที่ลดลงร้อยละ 54.8 ต่อปี เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วที่ขยายตัวร้อยละ 51.5 ต่อปี
ในด้านเสถียรภาพของไตรมาสที่ 2 ของปี 2549 ถือว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพดีมาก โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 6.0 เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 สำหรับทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดยประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเท่ากับ 5.1 เดือนของมูลค่าการนำเข้าและ 3.3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ในด้านเสถียรภาพการคลังมีฐานะมั่นคงดีขึ้น โดยหนี้สาธารณะในไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 41.6 ของ GDP โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,228 พันล้านบาท
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 12/2549 27 มิถุนายน 2549--