วันนี้(3 พ.ค.)นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าพรรคได้พิจารณาเรื่องนี้เห็นว่าข้อกล่าวหาที่พรรคไทยรักไทยหยิบยกขึ้นน่าจะไม่มีข้อมูลและน้ำหนักเพียงพอและหลายข้อกล่าวหาก็ค่อนข้างเลื่อนลอยไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะเอาผิดถึงขั้นยุบพรรคได้ ทั้งนี้การเสนอไปยังกกต.น่าจะเป็นกลอุบายทางการเมืองเบี่ยงเบนประเด็นการพิจารณาที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศชาติอยู่ในขณะนี้มากกว่า แม้จะมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นอย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้หวั่นไหวต่อคำประกาศในเรื่องการยุบพรรคเพราะเราเชื่อว่าไม่ได้ไปดำเนินการทางการเมืองใดๆที่จะเข้าไปเข้าข่ายต่อการผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่าที่การที่นายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กรรมการบริหารพรรคและคณะทำงานด้านกฎหมายไปยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกรณีที่ให้การเลือกตั้งวันที่2 เม.ย.เป็นโมฆะเป็นการชี้นำคำวินิจฉัยของศาล ว่าการยื่นดังกล่าวเป็นการทำตามสิทธิของพลเมืองไทยในฐานะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อพบว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายมีปัญหาหลายเรื่องและเป็นการเลือกตั้งที่วิปริตผิดธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ที่พรรคจะไปยื่นคำร้องให้ศาลปกครองพิจารณาที่สำคัญคือการดำเนินการของพรรคไม่ได้เป็นการสร้างกระแส หรือชี้นำศาล เพราะศาลย่อมมีดุลพินิจเป็นอิสระที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆ นอกจากนี้การกระทำของพรรคยังช่วยให้ศาลสามารถทำงานได้ เพราะศาลคงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตของประเทศชาติได้ถ้าไม่มีใครก็ตามไปยื่นเรื่อง เพราะอยู่ดีๆศาลจะมาบอกว่าให้คนนั้นคนนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่เป็นโมฆะคงไม่ได้
นายองอาจยืนยันว่าการประกาศส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหากการเลือกตั้งเป็นโมฆะไม่ใช่เป็นการรู้ล่วงหน้าและคงไม่มีใครรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้าของศาลได้ เพราะพรรคประกาศตั้งแต่ศาลยังไม่ได้เริ่มต้นพิจารณาคำร้อง แต่เราประกาศทันทีหนึ่งวันหลังจากได้รับกระแสพระราชดำรัสที่ให้ศาลเข้ามามีส่วนแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ ฉะนั้นแนวทางที่จะช่วยแก้ไขวิกฤตได้ทางหนึ่งคือการทำตามคำสั่งศาลและปฏิบัติตามกระแสพระราชดำรัสอย่างจริงจัง หากมองว่าพรรครู้ล่วงหน้าคิดว่าทุกพรรคการเมืองก็คงรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้าเช่นกัน เพราะพรรคชาติไทยก็ประกาศเตรียมความพร้อมถึงขนาดแต่งตั้งให้นายประพัฒน์ โพธสุธน เลขาธิการพรรคเป็นผอ.เลือกตั้งในส่วนของพรรคไทยรักไทยก็ให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประกาศให้สส.ของพรรคเตรียมความพร้อมที่จะรองรับการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกพรรคต้องเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
“การที่พรรคประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ที่เคยบอกว่าจะไม่ลงสมัครจนกว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองใหม่ และพรรคเห็นว่าหลังจากได้ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้วไม่ควรที่บุคคลใดในประเทศหรือพรรคการเมืองใดจะรักษาจุดยืนหรือเงื่อนไขของตัวเองตามที่ประกาศไว้ล่วงหน้าพระกระแสพระราชดำรัสเป็นสิ่งสูงสุดที่ทุกคนต้องน้อมรับนำไปปฏิบัติ” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ไม่อยากให้ใครคิดถึงประโยชน์ของตัวเองแม้จะยอมรับว่าพรรคอยากลงเลือกตั้งหลังปฏิรูปการเมืองแล้วและการลงเลือกตั้งครั้งนี้จะลำบาก เพราะกกต.ยังเป็นชุดเดิม สภาพการณ์ต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่พรรคลงเลือกตั้งเพราะอยากมีส่วนร่วมในการแก้วิกฤติ
ส่วนทีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระบุว่าจะมีการชุมนุมกันอีกหากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหลังเลือกตั้งนั้น นายองอาจ กล่าวว่า พันธมิตรมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมาตลอดว่าไม่สามารถยอมรับพ.ต.ท.ทักษิณได้อีกต่อไป และไม่ได้เรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณเว้นวรรคแต่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ประกาศเว้นวรรคตัวเอง ทั้งนี้หลังปฏิรูปการเมืองแล้วทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และทุกฝ่ายน่าจะยอมรับได้
เมื่อถามว่าพรรคจะชูเรื่องการปฏิรูปการเมืองในการเลือกตั้งหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เรื่องนี้น่าเป็นแนวนโยบายของทุกพรรคที่จะให้สัญญาประชาคมหรือสัตยาบันกับประชาชนทั้งประเทศว่าหลังเลือกตั้งครั้งใหม่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่เอแบคโพลระบุว่าประชาชนในกทม.และปริมณฑลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นการเมืองและอยากให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนายกฯแทนนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยควรรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่ารู้สึกอย่างไรต่อนายกฯ เพราะพรรคไทยรักไทยประกาศตลอดเวลาว่าเป็นพรรคที่รับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งผลสำรวจที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าประชาชนรู้ทันระบอบทักษิณมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 พ.ค. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่าที่การที่นายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค กรรมการบริหารพรรคและคณะทำงานด้านกฎหมายไปยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกรณีที่ให้การเลือกตั้งวันที่2 เม.ย.เป็นโมฆะเป็นการชี้นำคำวินิจฉัยของศาล ว่าการยื่นดังกล่าวเป็นการทำตามสิทธิของพลเมืองไทยในฐานะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อพบว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายมีปัญหาหลายเรื่องและเป็นการเลือกตั้งที่วิปริตผิดธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ที่พรรคจะไปยื่นคำร้องให้ศาลปกครองพิจารณาที่สำคัญคือการดำเนินการของพรรคไม่ได้เป็นการสร้างกระแส หรือชี้นำศาล เพราะศาลย่อมมีดุลพินิจเป็นอิสระที่จะพิจารณาเรื่องต่างๆ นอกจากนี้การกระทำของพรรคยังช่วยให้ศาลสามารถทำงานได้ เพราะศาลคงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตของประเทศชาติได้ถ้าไม่มีใครก็ตามไปยื่นเรื่อง เพราะอยู่ดีๆศาลจะมาบอกว่าให้คนนั้นคนนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่เป็นโมฆะคงไม่ได้
นายองอาจยืนยันว่าการประกาศส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหากการเลือกตั้งเป็นโมฆะไม่ใช่เป็นการรู้ล่วงหน้าและคงไม่มีใครรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้าของศาลได้ เพราะพรรคประกาศตั้งแต่ศาลยังไม่ได้เริ่มต้นพิจารณาคำร้อง แต่เราประกาศทันทีหนึ่งวันหลังจากได้รับกระแสพระราชดำรัสที่ให้ศาลเข้ามามีส่วนแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ ฉะนั้นแนวทางที่จะช่วยแก้ไขวิกฤตได้ทางหนึ่งคือการทำตามคำสั่งศาลและปฏิบัติตามกระแสพระราชดำรัสอย่างจริงจัง หากมองว่าพรรครู้ล่วงหน้าคิดว่าทุกพรรคการเมืองก็คงรู้คำวินิจฉัยล่วงหน้าเช่นกัน เพราะพรรคชาติไทยก็ประกาศเตรียมความพร้อมถึงขนาดแต่งตั้งให้นายประพัฒน์ โพธสุธน เลขาธิการพรรคเป็นผอ.เลือกตั้งในส่วนของพรรคไทยรักไทยก็ให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประกาศให้สส.ของพรรคเตรียมความพร้อมที่จะรองรับการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกพรรคต้องเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
“การที่พรรคประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ที่เคยบอกว่าจะไม่ลงสมัครจนกว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองใหม่ และพรรคเห็นว่าหลังจากได้ฟังกระแสพระราชดำรัสแล้วไม่ควรที่บุคคลใดในประเทศหรือพรรคการเมืองใดจะรักษาจุดยืนหรือเงื่อนไขของตัวเองตามที่ประกาศไว้ล่วงหน้าพระกระแสพระราชดำรัสเป็นสิ่งสูงสุดที่ทุกคนต้องน้อมรับนำไปปฏิบัติ” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ไม่อยากให้ใครคิดถึงประโยชน์ของตัวเองแม้จะยอมรับว่าพรรคอยากลงเลือกตั้งหลังปฏิรูปการเมืองแล้วและการลงเลือกตั้งครั้งนี้จะลำบาก เพราะกกต.ยังเป็นชุดเดิม สภาพการณ์ต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่พรรคลงเลือกตั้งเพราะอยากมีส่วนร่วมในการแก้วิกฤติ
ส่วนทีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยระบุว่าจะมีการชุมนุมกันอีกหากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหลังเลือกตั้งนั้น นายองอาจ กล่าวว่า พันธมิตรมีจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนมาตลอดว่าไม่สามารถยอมรับพ.ต.ท.ทักษิณได้อีกต่อไป และไม่ได้เรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณเว้นวรรคแต่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ประกาศเว้นวรรคตัวเอง ทั้งนี้หลังปฏิรูปการเมืองแล้วทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น และทุกฝ่ายน่าจะยอมรับได้
เมื่อถามว่าพรรคจะชูเรื่องการปฏิรูปการเมืองในการเลือกตั้งหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เรื่องนี้น่าเป็นแนวนโยบายของทุกพรรคที่จะให้สัญญาประชาคมหรือสัตยาบันกับประชาชนทั้งประเทศว่าหลังเลือกตั้งครั้งใหม่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่เอแบคโพลระบุว่าประชาชนในกทม.และปริมณฑลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเล่นการเมืองและอยากให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนายกฯแทนนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยควรรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่ารู้สึกอย่างไรต่อนายกฯ เพราะพรรคไทยรักไทยประกาศตลอดเวลาว่าเป็นพรรคที่รับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งผลสำรวจที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าประชาชนรู้ทันระบอบทักษิณมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 พ.ค. 2549--จบ--