เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (6ก.ย.49) ที่ชั้น 3 ตึก 100 ปี ฯ พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงข่าวถึงงบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชนของพรรคด้านต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนว่า วาระประชาชนที่ได้มีการนำเสนอไป ผ่านกระบวนการของการศึกษาเป็นอย่างดีและรอบครอบทุกขั้นตอน มั่นใจได้ว่าสิ่งที่พรรคฯได้ประกาศไปทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณแต่อย่างใด พรรคยืนยัน ว่าวาระประชาชนทำจริง ทำได้ เพราะมีหลักการว่าประชาชนต้องมาก่อน
คำต่อคำ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แถลงข่าว งบประมาณที่จะใช้ในนโยบายวาระประชาชน
ณ ห้องประชุมชั้น 3 ตึก 100 ปี เสนีย์ ปราโมช วันที่ 6 กันยายน 2549 เวลา 9.30 น.
พี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพ พี่น้องประชาชนที่ได้ติดตามเรื่องของวาระประชาชน พยายามดูว่ามีสื่อเทียมแทรกอยู่หรือเปล่า วันนี้เนี่ยเป็นวันที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะนำเสนอข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของวาระประชาชนเพราะว่ามาช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่พรรคได้นำเสนอเรื่องของวาระประชาชนไปเนี่ยก็พบว่ามีคำถามที่เกิดขึ้นจากหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกก็อาจจะมีความไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอว่า จะดำเนินการผลักดันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสาธารณสุขนั้นเนี่ย สามารถที่จะ ปฏิบัติได้หรือไม่หรือมีวิธีการอย่างไร ต่อมาเมื่อได้มีการอธิบายเป็นการเฉพาะเรื่อง เช่น เรื่องราคาน้ำมัน เรื่องก๊าซหุงต้ม เรื่องค่าไฟฟ้า หรือเรื่องอื่นๆเนี่ยก็เป็นที่เข้าใจชัดเจนมากขึ้น แต่ว่าก็ยังคงมีเสียงสะท้อนความห่วงใยว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราต้องการผลักดันเนี่ยในเรื่องของปัญหาภาระงบประมาณจะทำให้การผลักดันวาระประชาชนเนี่ยทำได้จริงหรือไม่นะครับ
วันนี้ เราต้องการที่จะให้ทุกฝ่ายได้เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนว่า วาระประชาชนที่ได้มีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้เนี่ยผ่านกระบวนการของการศึกษาเป็นอย่างดีและทำให้ทุกคนได้สบายใจเมื่อเห็นตัวเลขนะคับว่า สิ่งที่เราพูดทั้งหมดเนี่ยเป็นสิ่งที่สามารถผลักดันได้ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณแต่อย่างใด งั้นวันนี้สาระสำคัญบรรทัดสุดท้ายก็คือว่า เราขอยืนยันนะครับว่าวาระประชาชนทำจริง ทำได้ วารประชาชนซึ่งมีหลังการในเรื่องของประชาชนต้องมาก่อนบวกกับการบริหารจัดการของผู้นำแนวใหม่จะเป็นหนทางในการที่จะคลี่คลายวิกฤตประชาชนซึ่งมีวิกฤตความสามัคคี วิกฤตค่าครองชีพ ความยากจน วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขันวิกฤตจริยธรรมเพื่อนำไปสู่ในเรื่องของเศรษฐกิฐคุณภาพและสังคมคุณธรรม
ผมอยากจะไล่เรียงไปนะครับว่าจากวาระประชาชนด้านการแก้ไขปัญหาความยากจนก็ดี วาระประชาชนในเรื่องการศึกษาก็ดี วาระประชาชนในเรื่องของสาธารณสุขก็ดีนั้นเนี่ย ภาระงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายทั้งหลายเนี่ยเป็นอย่างไร
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน
ถ้าเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาความยากจนนะครับ เราจะเห็นว่าในส่วนของการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็ดี เรื่องชของการลดค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้าหรือก๊าซหุงต้มก็ดี ไม่ได้มีผลกระทบต่องบประมาณหรือจากเงินภาษีอากรที่มีการเก็บอยู่ในปัจจุบันแต่ประการใด ผทวนให้เห็นชัดเจนนะครับว่า เรื่องของค่าแรงก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการไตรภาคซึ่งภาครัฐเป็น 1 ใน 3 ฝ่ายและก็ภาครัฐก็ได้มีการศึกษาตัวเลขในแง่ของค่าครองชีพ ในแง่ของปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มองเห็นว่า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำนั้นเนี่ย เป็นเรื่องของการให้ความเป็นธรรมแก้ผู้ใช้แรงงานกับคนทำงานนะครับซึ่งภาระตรงนี้ ถ้าเทียบดูแล้วว่าปรับขึ้นตามค่าเงินเฟ้อก็ดี ต่อผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นก็ดีเนี่ย เราได้ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายนายจ้าง ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในสาขาที่ใช้แรงงานค่อนข้างมากก็ยอมรับในเรื่องของหลักการของความเป็นธรรมและก็เชื่อครับว่าการปรับตัวเนี่ยก็สามารถที่จะกระทำได้ เรื่องราคาน้ำมันจากเดิมซึ่งมีหลายฝ่ายเข้าใจว่าจะไปมีการแทรกแซงกลไกตลาดอะไรต่างๆ ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายขณะนี้ความจริงก็เป็นที่ปรากฎชัดแจ้งแล้วว่า ค่าน้ำมันที่เราใช้จ่ายหรือซื้ออยู่ทุกวันเนี่ยมันมาจากการบิดเบือนที่เกิดขึ้นจากหนี้ที่ก่อขึ้นโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันนะครับ ซึ่งการจะแก้ปัญหาตรงนี้ก็คือการเปลี่ยนวิธีการบริหารการจัดการหนี้ของกองทุนน้ำมัน โดยการใช้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท.นะครับ ผลักดันให้มีการจ่ายค่าปันผลในอัตราซึ่งว่าตามจริงก็คือเป็นอัตราปกติ อัตราสากลของบริษัทขนาดนี้ กำไรขนาดนี้นะครับจาก 30 เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ก็จะสามารถที่จะบริหารจัดการหนี้ในกองทุนน้ำมันได้ในระยะเวลาอันใกล้นะครับแล้วก็จะทำให้เป็นการลดภาระพี่น้องประชาชน
ผมเรียนว่าจากเดิม บางฝ่ายที่พยายามออกมาคัดค้านสุดท้ายเนี่ยซุ่มเสียงก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนะครับแม้กระทั่งยอมรับว่า ปตท.จำเป็นต้องส่งเงินเข้ารัฐมากขึ้นนะครับ และก็ ปตท.เองผมก็มีความมั่นใจว่าจากแนวทางที่เราทำนั้นจะไม่ได้อ่อนแอลงเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามการจัดสัดส่วนหนี้ต่อทุน การจัดสัดส่วนรูปแบบการใช้เงินลงทุนเนี่ยจะทำให้มีวินัยและก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น ค่าไฟเป็นเรื่องการการปรับสูตรค่าไฟฐาน หรือแม้กระทั่งบางส่วนของ ft ซึ่งมีการบิดเบือนอาจจะส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการแปรรูปซึ่งผิดกฎหมายนะครับอย่างที่ศาลปกครองชี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็สามารถที่จะปรับได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ก๊าซหุงต้มก็เป็นเรื่องของการที่เราจะมีการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมใหม่จากกำไรที่เพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันสำหรับผู้ส่งออก เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เนี่ยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณหรือจากภาษีอาการที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันแม้แต่บาทเดียว
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนสำหรับกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
สำหรับกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงนะครับซึ่งเราจะเริ่มต้นเนี่ยได้พิจารณาแล้วเห็นว่า งบประมาณที่เริ่มจ้นเนี่ยน่าจะอยู่ที่วงเงิน 24,000 ล้านบาทซึ่งเราถือว่าเป็นงบที่จะใส่ลงไปแล้วเนื่องจากวิธีการบริหารจัดการเงินอย่างนี้เนี่ย เราไม่ได้ทำแบบประชานิยมจะต้องมีการติดตามประเมินความสอดคล้องของโครงการต่อหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเนี่ยเราก็จะมาประเมินเมื่อมีการดำเนินการไประยะหนึ่งนะครับว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มวงเงินหรือไม่ แต่เราค่อนข้างมั่นใจครับ ขณะนี้ว่าการเริ่มต้นอยู่ที่ 24,000 ล้านบาทเนี่ยสมเหตุสมผล
ในเรื่องของวาระด้านการศึกษาบวกกับเรื่องนมและเรื่องอาหารเสริมเด็ก เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องที่เราพร้อมจะลงทุนอย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคน และนโยบายที่เราได้มีการดำเนินการศึกษามาเราดูจากปัญหาที่ชัดเจนก็คือว่าถ้าเด็กไม่ได้รับการพัฒนาตั้งแต่เด็กสมองไม่พร้อมนั่นจะเป็นความสูญเสียโอกาสเด็กของเราและของประเทศมากที่สุด เพราะว่าหลังจากพ้นก่อนวัยเรียนไปแล้วต่อให้พัฒนาดีอย่างไรไอคิวเด็กก็จะเพิ่มขึ้นน้อยมาก ก็จำเป็นจะต้องลงทุนตรงนี้ เราก็ดูเอาตัวเลขก่อนว่าตั้งแต่ที่อยู่ในครรภ์ ปีหนึ่งมีคนท้องประมาณ 9 แสนคน ก็คูณนมกล่องเข้าไปโดยเฉลี่ยก็ 270 วัน ที่จะดูแลกันก็ได้เงินออกมาในส่วนของกองเกิน และเด็กเล็ก 6 ล้านกว่าคนก็คูณ 365 วัน แล้วนมกล่องซึ่งคำนวณอยู่ที่ 5.65 สตางค์ ก็จะออกมาเป็นทั้งสิ้น 14,000 ล้านบาท สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กถ้าจำได้ปัจจุบันเรามีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป้าหมายที่ประกาศไปก็คืออยากจะเพิ่มขึ้นมาอีก 4,000 ศูนย์ เพราะฉะนั้นถ่า 4 ปีก็ปีละ 1,000 แห่ง เราจะลงทุนปีละ 1,000 แห่ง 1 ล้านต่อแห่ง ก็เป็นปีละ 1,000 ล้านบาท ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จะไปประจำศูนย์นั้นก็จะแยกในศูนย์ที่มีอยู่แล้วก็ไปเพิ่มค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งคำนวณอยู่ว่ารับอยู่ประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ก็เพิ่มเป็น 7,000 ก็เพิ่มรายละ 3,000 ก็คูณ 12 เดือน คูณ 10 14,000 ศูนย์ 5 คน ส่วนศูนย์ใหม่ที่จะเปิดขึ้นมาก็เพิ่มเข้าไป 7,000 บาท ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน ก็คำนวนเป็นเงินออกมา นอกจากนั้นก็จะมีการปรับปรุงศูนย์ต่าง ๆ เพิ่มเข้าไปอีกอันนี้ให้ไปอีก 370 ล้าน รวมแล้วก็เป็น 5,780 ล้าน งบประมาณที่คำนวณออกมาก็หมายความว่าด้านการศึกษาที่จ่ายครั้งเดียวคือ 9,600 ล้าน และที่จ่ายทุกปีจะเพิ่มขึ้น 28,440 ล้าน
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนด้านสุขภาพ
มาเรื่องสุขภาพตรงนี้ก็จะเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของคุณภาพ ของระบบหลักประกันสุขภาพโดยเฉพาะที่พูดกันเรื่อง 30 บาท ปัญหาเรื่องคุณภาพการรักษา เรื่องยา แล้วก็จะมีโครงการสำคัญของเราคือสาธารณสุขเชิงลุกที่จะมีหมอประจำหมู่บ้าน อสม.ประจำครอบครัว ซึ่งจะมาพร้อม ๆ กับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจจากภาระกิจของบุคลากรด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพเป้าหมายก็คือว่าเงินอุดหนุนต่อหัวต้องเพิ่มเป็น 2,000 บาทต่อปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1,659 บาท ตามที่รัฐบาลได้แถลง ถ้าเราขยายสิทธิ์ของคนในระบบประกันสังคม ให้ครอบคลุมไปยังครอบครัว เราจะลดจำนวนคนที่อยู่ใฝนระบบหลักประกันสุขภาพที่เรียกว่า 30 บาท จาก 47,500,000 คน ไปเป็น 41,700,000 คน ฉะนั้นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจริง ๆ ในการที่จะให้ระบบหลักได้เงิน 2,000 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 4,260 ล้าน และผลเรียนว่าจากผลการศึกษาของ ILO การเพิ่มหรือการขยายสิทธิ์ของคนในครอบครัวในระบบของสังคมไม่กระทบต่อฐานะของกองทุนประกันสังคม อันนี้คือในส่วนของหลักประกันสุขภาพ เราก็จะเติมในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพใส่ไปด้วยเช่นลงทุนอีก 4,000 ล้าน เพื่อพัฒนาความเป็นเลิศของโรงพยาบาล และในส่วนของการที่จะพัฒนาสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาล ตำบล 1,700 แห่ง ก็จะใช้เงินอีกประมาณ 3,400 ล้านบาท ที่นี้ในโครงการที่จะให้หมอ อสม.และบุคลากรด้านสาธารณสุขลงไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านเราก็คำนวนออกมาเป็นรายละเอียดว่าหมอ ทันตแพทย์ เภสัชกร เทคนิคการแพทย์ พยาบาลชนบท อนามัยชนบท รวมทั้งอสม.ที่จะต้องไปปฏิบัติภาระกิจนี้บางส่วนเราก็จะคำนวนเป็นลักษณะของจำนวนหมู่บ้านคูณด้วยจำนวนครั้งที่มีการลงไปปฏิบัติหน้าที่ และค่าใช้จ่ายที่ให้ซึ่งคำนวณซึ่งอาจจะเป็นจากภาระงานคือต่อหัวของคนที่มาใช้บริการ แต่บางกลุ่มเราก็จะให้เป็นลัษณะเป็นค่าตอบแทนรายเดือน อันนี้จะดูรายละเอียดได้จะแตกต่างกันไป และในส่วนของอสม.นั่นก็คือ 600 บาท ต่อเดือน คำนวณออกมาเสร็จสับแล้วเราก็จะพบว่างบประมาณที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพทั้งหมดที่เป็นเงินที่จ่ายครั้งเดียวคือ 4,700 ล้าน และจ่ายทุกปีคือ 15,960 ล้าน จากตัวเลขทั้งหมดที่ได้นำเสนอมาเราจะพบความจริงว่าเงินที่เราใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวจะมีอยู่ประมาณ 41,000 ล้านบาท ซึ่งกว่าครึ่งก็คือกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ผลถือว่าเล็กน้อยมากเทียบกับบรรดาเงินที่ลงไปสู่ระดับชุมชนในปัจจุบันและไม่ได้ก่อให้เกิดความยั่งยืนในเรื่องของการพัฒนา ส่วนเงินที่จะต้องมีการเพิ่มใช้จ่ายทุกปีที่หลายคนห่วงว่าจะเป็นภาระหรือไม่ ทางด้านการศึกษา หรือทางด้านสุขภาพ คือ 44,400 ล้านบาท ถามว่าน 44,400 ล้านบาท ตีเสียว่า 50,000 ล้าน เป็นเงินที่แยะไหม ผมบอกได้เลยสำหรับคนที่ดูแลเรื่องของงบประมาณทุกปีปีละ 1,500,000 ล้านบาท เงิน 50,000 ล้านที่เพิ่มขึ้นต่อปีไม่ใช่เรื่องใหญ่คิดเป็นสัดส่วนงบประมาณก็อาจจะสัก 3 % หรืออะไร เป็นเรื่องซึ่งบริหารจัดการได้ ถามว่าทำไม ลองดูง่าย ๆ ว่ามันมีงบประมาณถ้าเทียบ 50,000 ล้านกับสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งเป็นงบลอย ๆ เป็นงบกลางไม่มีโครงการเลยแต่ละปีท่านจะเห็น ปี 45 58,000 ล้านมากกว่าภาระทั้งหมดที่พูดถึงอยู่ ปี 46 ลดลงมาหน่อย 16,000 ปี 47 จัด 2 รอบ 16,000 ล้านกับ 59,000 ล้าน นี่มากกว่างบด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษาทั้งหมด เงินที่กองไว้ให้นายกทักษิณหาเสียงถ้าเอามาใช้ทำให้เด็กเรียนฟรีได้นานแล้ว ถ้ามาใช้ให้ถูกต้อง ปี 48 23,000 ปี 49 27,000 ทั้งสิ้นเงินที่ซ่อนไว้ในงบกลางรัฐบาลชุดนี้ 200,700 ล้านบาท เพราะฉะนั้นเดี๋ยวผมจะชี้ให้เห็นต่อไปว่าเพียงแค่เรายึดหลักประชาชนต้องมาก่อน
เราไม่ได้พูดถึงการไปเพิ่มเงินอะไร แต่เอาเงินซึ่งไม่ควรใช้มาใช้ในสิ่งที่ควรใช้วาระประชาชนก็ทำได้แล้ว นั่นเฉพาะงบกลางของนายก ปี 49 งบผู้ว่าซีอีโอ 40,000 ล้าน รายการเดียวก็เทียบเคียงได้กับสิ่งที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมดในวาระประชาชนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าหลายท่านจะพอทราบว่าเงินผู้ว่าซีอีโอที่นำไปใช้ก็ไม่ได้มีการศึกษาโครงการ หรือมีหลักการที่ชัดเจน แน่นอนเราไม่พูดว่างบกลางของนายกก็ดีของผู้ว่าก็ดีไร้ประโยชน์ทั้งหมดไม่ใช่ แต่ท่านก็คงจำได้ว่ามีหลายโครงการ ซึ่งเราก็มองไม่เห็นความจำเป็น ซื้อเครื่องบินไว้ใช้สำหรับนายกครม.1,000 กว่าล้าน ถ้าลงไประดับจังหวัดบางจังหวัดเขาเองงบซีอีโอไปใช้ปรับปรุงสนามกอล์ฟ ผมถามเถอะครับเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว ความจำเป็นในโครงการเหล่านี้กับสิ่งที่เราต้องการจะให้ลูกหลานของเราได้ดื่มนมเทียบกับการที่จะให้ลูกหลานเราได้เรียนฟรี เหตุและผลถ้าบอกว่าประชาชนต้องมาก่อนมั่นชัดเจนมากว่าสิ่งนี้ไม่ควรจะถูกมองว่าเป็นภาระ แต่ควรจะถูกมองว่าเป็นสิทธิและต้องได้รับการตอบสนองก่อนสิ่งอื่นใด นอกจากนี้ผมยังได้ไปดูงบประชาสัมพันธ์ของภาครัฐที่ไม่รวมรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปี 45 เป็นต้นมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนี้หน่วยงานรัฐใช้งบประชาสัมพันธ์โฆษณาทั้งหลายปีหนึ่งประมาณ 2,000 กว่าล้านแล้ว รวมมาตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาใช้เงินไปเกือบ 8,000 ล้าน เฉพาะการประชาสัมพันธ์ ซึ่งผมก็เชื่อว่าเรามองเห็นอยู่ทุกวันว่าการประชาสัมพันธ์ในหลายกรณีไม่ได้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชนจะเป็นการโฆษณาเพื่อภาพลักษณ์ของหน่วยงานหรือของรัฐบาลหรือเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมืองเสียมากกว่า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเราสามารถที่จะปรับการจัดลำดับความสำคัญเพื่อที่จะเอามาใช้เพื่อผลักดันวาระประชาชนได้ ที่น่าสนใจนับตั้งแต่มีการปฏิรูประบบราชการเป็นต้นมา ซึ่งคำว่าปฏิรูประบบราชการในที่นี้ก็คือหมายถึงที่รัฐบาลปัจจุบันไปสร้างกระทรวง ทบวง กรม ขึ้นมาใหม่ เราพบว่างบค่าใช้จ่ายประจำซึ่งตัวเลขนี้ไม่รวมเงินเดือน เงินเดือนเราไม่ได้ดูตรงนั้นตัดไปก่อน งบค่าใช้จ่ายประจำได้เพิ่มขึ้นมาจาก 460,000 กว่าล้านมาเป็น 610,000 ล้าน ในช่วงระยะเวลา 3-4 ปี เพิ่มขึ้นมา 150,000 ล้าน ซึ่งเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเรายังมีค่าใช้จ่ายประจำที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่น่าจะเป็น และความจริงก็เป็นตัวฟ้องความล้มเหลวของการปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมา ผมอยากให้เห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งเดียวจะให้ดูบนจอด้วย แต่ว่าเราจะแยกประมาณเป็นงบลงทุนงบเงินเดือน และงบค่าใช้จ่ายประจำจะเห็นว่างบค่าใช้จ่ายประจำเส้นสีชมพูเพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจนหลังจากที่มีการปฏิรูประบบราชการ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องที่มีการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองเราจะเห็นถ้าดูบล๊อกสีชมพูนี่คืองบค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นมาโดยลำดับนับแต่มีการปฏิรูประบบราชการ ผมก็คิดง่าย ๆ ว่าสมมติเราประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำในระบบราชการได้สัก 5% เท่านี้เราก็มีเงินเพิ่มขึ้นมา 30,000 กว่าล้าน เทียบกับวาระประชาชนที่
เราบอกว่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 40,000 ล้าน นี่ก็คือภาพที่ย้ำให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่างบค่าใช้จ่ายประจำเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร ตัวสุดท้ายเราคิดเล่น ๆ ว่าถ้าปัจจุบันมีการทุจริตคอรัปชั่นอยู่ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครในห้องนี้ปฏิเสธ คิดง่าย ๆ ว่า 10% ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนในห้องนี้จะบอกว่าต่ำเกินไปด้วยซ้ำ ก็ยุคนี้เขาพูดกัน 20 30 ผมเอาแค่ 10% 10% ของงบลงทุนถ้าเกิดสูญเสียไปกับการคอรัปชั่นเอาคืนมา ท่านจะเห็นว่าปีหนึ่งคืนมา 30,000 กว่าล้าน ก้คือใกล้เคียงกับงบที่เราจะใช้จ่ายทุกปีในเรื่องของวาระประชาชน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกคนได้สบายใจ และมั่นใจได้เลยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศไปเรื่องของการผลักดันวาระประชาชนที่จะให้เรื่องของการศึกษา เรื่องของการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจะไปกังวนว่าจะไม่มีเงินไปทำของพวกนี้
เราได้ศึกษาชัดเจน เราได้มาพิจารณาดูแล้วว่า เห็นว่าการบริหารจัดการงบประมาณเหล่านี้ ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่า จะต้องไปเพิ่มภาษีมั๊ย ไม่ต้องปทำอะไรเลย เพียงแค่จัดลำดับคตวามสำคัญของการใช้เงินของประชาชน ให้ประชาชนต้องมาก่อน ทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าตกใจ หลังนากนี้ไปประชาธิปัตย์ประกาศวาระประชาชนเพิ่มเติม จะตเองมีการลงทุนในโครงการอื่น เราก็จะมีคำตอบว่าจะลงทุนในโครงการอื่นๆได้อย่างไร เพราะว่าที่ประกาศมาทั้งหมด สามารถบริหารจัดการได้อยู่ในกรอบงบประมาณปัจจุบัน ผมก็ลองเทียบให้เห็นง่ายๆว่า สมมติว่าเราไม่ยอมรับการจัดงบปลางของรัฐบาลทักษิณ นี่ เท่านี้ก็มีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงได้ครบทุกหมู่บ้าน แถมยังให้เด็กอนุบาลถึงม.ปลายได้เรียนฟรีได้ด้วย แล้วงบอย่างเช่นงบกลางของรัฐบาลทักษิณ นอกจากจะผิดในเรื่องของวินัยเรื่องการเงินการคลัง ไม่มีการประเมินโครงการไว้ก่อนแล้ว ยังขัดต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตยด้วย เพาะฝ่ายนิติบัญญัติ คือตัวแทนของประชาชนไม่มีโอกาสได้ตรวจก่อน เลยว่าจะเอาไปใช้จ่ายอะไร ไม่มีงบผู้ว่า CEO ไปทำวาระในเรื่องสุขภาพ เรื่องหลักประกัน ทั้งเรื่องค่าตอบแทน อสม. หมอ พยาบาล อยนามัย และอาหารเสริม ศูนย์เด็กเล็กได้ ไม่มีงบประชาสัมพันธ์ สัก 1,000 ล้าน เอาเงินไปให้เด็กมัธยมเรียนฟรีได้ และแน่นอน การปรับลดงบประจำก็ดี การลดการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ดี ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าวาระประชาชนนั้น ทำจริงและทำได้
ผมเรียนตรงประเด็นสุดท้ายว่า นอกจากเงินงบประมาณที่มีการใช้จ่ายกันอย่างปัจจุบันยังขาดประสิทธิภาพ ขาดการจัดลำดับความสำคัญที่ประชาชนต้องมาก่อนแล้ว ยังมีเงินที่อยู่นอกระบบงบประมาณที่ยังมีการใช้จ่ายกันอีกมากมาย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้กลับเข้ามาสู่ระบบการบริหารจัดการที่ดี ผมยกแค่ตัวอย่างเดียว เงินของกองสลาก ทราบมั๊ยครั้บว่า 72 งวดมีรายได้เข้ามา 28,000 ล้าน ซึ่งมีการใช้จ่ายไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งคือ 1,300 กว่าล้านนี่ก็เป็นอีกเงินก้อนใหญ่ที่หมุนเวียนกันอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเข้ามาบริหารจัดการให้ถูกต้องตามหลักของธรรมาภิบาล แต่ท้ายที่สุดก็ขอย้ำอีกครั้งว่า นโยบายหรือวาระประชาชนที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอ นำเสนอบนพื้นฐานของหลักคิดที่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล คือ 1. เป็นหลักคิดที่ให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ไม่ใช่เป็นหลักคิดของประชานิยม และไม่ต้องการให้เงินงบประมาณเหล่านี้ เป็นเรื่องของการที่จะให้ประชาชนมองว่าผู้นำหรือรัฐบาลเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ แต่เราถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตอบสนองสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนทุกคน แล้วตัวเลขที่ได้ไปศึกษามา ยืนยันว่าทั้งหมดนี้ทำได้ ไม่เกินกำลังของรัฐบาลไทย ไม่ต้องไปเบียดเบียนการเพิ่มภาระให้กับประชาชนในเรื่องของภาษีอากร ทั้งหมดจึงเป็นการยืนยันว่า บางครั้งปัญหาที่สะสม วิกฤติที่เกิดขึ้นเราไม่เคยมาทบทวนตัวเอง เพียงแค่เรามีผู้นำ เพียงแค่เรามีรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับประชาชนอย่างแท้จริง ให้ประชาชนต้องมาก่อน ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่สะสมเป็นวิกฤติเหมือนที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ก็ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ แล้วก็พร้อมที่จะตอบข้อซักถามในประเด็นต่างๆที่ได้นำเสนอ
ตอบคำถามสื่อมวลชน
คำถามที่ 1 .......................
ไม่ได้ให้หมู่ละล้าน คือเราไม่ได้ใช้วิธีการที่จะไปบอกว่าทุกหมู่บ้านได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ว่าเรายึดตัวเลขซึ่งอาจจะสูงว่า กขคจ.เล็กน้อย แล้วก็จะดูตามความจำเป็น เพราะว่าความต้องการและความจำเป็นของแต่ละ หมู่บ้านก็ไม่เท่านเทียมกัน แต่ตัวเลขรวมๆที่เราตั้งขึ้นมา เราคิดวง่าอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล เมื่อเฉลี่ยมาแล้ว หมู่บ้านละ 3 แสนใช่มั๊ยครับ น่าจะ 3 แสน
คำถามที่ 2 ........................
คือในปีงบประมาณ 2549 มีการตั้งบประมาณที่ไม่มีรายละเอียดของโครงการขึ้นมาและก็บอกว่าอยู่ในโครงการผู้ว่า CEO ตั้งขึ้นมา 4 หมื่นกว่าล้าน เราไม่เชื่อในระบบของผู้ว่า CEO เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ไม่ใช้แล้ว จากนี้ไปการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กรนำเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้จ่าย มันต้องมีการวางแผนและมีโครงการมีการศึกษาที่รองรับชัดเจนว่าเป็นงบประมาณที่ลงไปแล้วเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเรายืนยันว่า วาระประชาชนที่นำเสนอไป อันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ได้ประโยชน์จริงๆคือประชาชน
คำถามที่ 3 .........................
งบที่จัดใช่มั๊ยครับ มันไม่มีการจัดงบกลางแบบคุณทักษิณ ไม่มีการจัดงบในลักษณะของผู้ว่า CEO
คำถามที่ 4 ........................
งบกลางที่ทุกรัฐบาล ทุกชุดเขาทำมาด้วยความเรียบร้อยปกติ ยังมีเหมือนเดิม งบกลางคุณทักษิณไม่มี
คำถามที่ 5 ...................
เอาง่ายๆ คืองบกลางจะต้องมีเผื่อเรื่องบำเหน็จบำนาญ เผื่อเรื่องของน้ำท่วมภัยแล้ว อันนี้เหมือนเดิม แต่งบกลางอย่างคุณทักษิณไม่มี ประเภทซื้อเครื่องบินนั่งเองไม่มีครับ
คำถามที่ 6 ..................
ก็ลดลงแน่นอน งบกลางนะครับ เพราะว่าก้อนที่เป็นก้อนใหญ่ๆ หลายหมื่นล้านก็จะหายไป
คำถามที่ 7 ...................
ผมเข้าใจว่าประเด็นที่จะต้องพิจารณาเรื่องการขาดดุลหรือมื เป็นประเด็นเรื่องของการบริหารเชิงมหภาคมากกว่า ผมไม่ได้คิดว่าขณะนี้ที่พูดกันถึงขนาดว่า จะต้องมีการจัดงบประมาณแบบขาดดุล สมมติที่พูดว่า 1 แสนล้าน เป็นเรื่องที่หลายโครการอยากจะทำแล้วไม่มีเงิน มันไม่ใช่ ผมมองว่าเป็นเรื่องของการเอามาตรการการคลังมากระตุ้นเศรษฐกิจมากกวง่า เพราะฉะนั้นถ้าจะมีการขาดดุลก็ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าค่าใช้จ่ายบานปลายและเก็บเงินไม่ได้ ทำนองนั้น อยากให้แยกกัน เช่นเดียวกับเรื่องภาษี ถ้ามีการปรับเปลี่ยนภาษีอะไรก็เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ความเหมาะสมของภาษีนั้น ไม่ใช่เรื่องของการที่จะหาเงินมาเพิ่มเติม
คำถามที่ 8 ..................
เรื่องโครงสร้างที่เป็นนโยบายเพ่ามเติมที่จะเอาออกมา ซึ่งอาจจะมีเป็นลักษณะของงบลงทุน อันนั้นจะแยกต่างหาก วันนี้ต้องการจะให้เห็นว่า วิธีการที่จะจัดการกับวาระประชาชนเป็นอย่างไร ผมยกตัวอย่างเช่น อย่างกรณีรถไฟฟ้า ก็จะมีวิธีการจัดการที่เป็นคำตอบชัดเจน ซึ่งวันนั้นเราก็พูดถึงว่าจะมีเงินกู้เข้ามา ก็เลยถือโอกาสพูดด้วย เดี๋ยวคนจะบอกว่าประกาศวาระเรื่องรถไฟฟ้า แปลว่าสนใจแต่คนกรุงเทพ ที่จริงวันนั้นถ้าใครไปฟัง สิ่งแรกที่ผมพูดวันนั้นเลยคือว่า นี่เฉพาะเรื่องเดียว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ในภาคต่างๆ เราจะทยอยนำเสนอ การลงทุนในเชิงของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ตามมา แล้วก็อยากจะบอกด้วยว่า กรณีของรถไฟฟ้า คงใช่เรื่องของคนกรุงเทพ เท่านั้น เพราะว่ามันเป็นเรื องของการประหยัดพลังงานที่เราสูญเสียอยู่ในเรื่องรถติด เรื่องมลภาวะสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบกว้างขวาง เพราะฉะนั้นเรื่องของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะมีการนำเสนอต่อไปในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เขตพัฒนาพิเศษหรือการลงทุนในบางเรื่องทีเกี่ยวข้องกับภาคเกษตร ซึ่งเตรียมไว้แล้ว แต่ว่าจะทยอยนำเสนอต่อไป
คำถามที่ 9 .......................
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องนำเงินเยอะๆมาใช้หาเสียง ประเด็นสำคัญคือว่า สิ่งที่เรานำเสนอเราเชื่อว่าประชาชนต้องการเห็นบ้านเมืองพ้นจากวิกฤติและมีความเข้มแข็ง การพ้นจากวิกฤต และมีความเข้มแข็ง หลายเรื่องไม่ต้องใช้เงิน หลายเรื่องไม่ต้องใช้เงินของภาครัฐ แต่เป็นมาตรการที่ภาครัฐทำแล้ว จะสามารถระดมทรัพยากรจากภาคเอกชนให้เข้ามาแก้ไขปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมาขอแข่งว่าจะใช้เงินมากกว่า ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมบอกเลยว่าใช้เงินเท่านี้ หรือตามโครงการที่จพะได้มีการนำเสนอต่อไป ยืนยจันว่าบ้านเมืองดีขึ้น บ้านเมืองแข็งแรงขึ้นและผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ ..จบ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 ก.ย. 2549--จบ--
คำต่อคำ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แถลงข่าว งบประมาณที่จะใช้ในนโยบายวาระประชาชน
ณ ห้องประชุมชั้น 3 ตึก 100 ปี เสนีย์ ปราโมช วันที่ 6 กันยายน 2549 เวลา 9.30 น.
พี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพ พี่น้องประชาชนที่ได้ติดตามเรื่องของวาระประชาชน พยายามดูว่ามีสื่อเทียมแทรกอยู่หรือเปล่า วันนี้เนี่ยเป็นวันที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะนำเสนอข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของวาระประชาชนเพราะว่ามาช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่พรรคได้นำเสนอเรื่องของวาระประชาชนไปเนี่ยก็พบว่ามีคำถามที่เกิดขึ้นจากหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกก็อาจจะมีความไม่มั่นใจว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอว่า จะดำเนินการผลักดันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสาธารณสุขนั้นเนี่ย สามารถที่จะ ปฏิบัติได้หรือไม่หรือมีวิธีการอย่างไร ต่อมาเมื่อได้มีการอธิบายเป็นการเฉพาะเรื่อง เช่น เรื่องราคาน้ำมัน เรื่องก๊าซหุงต้ม เรื่องค่าไฟฟ้า หรือเรื่องอื่นๆเนี่ยก็เป็นที่เข้าใจชัดเจนมากขึ้น แต่ว่าก็ยังคงมีเสียงสะท้อนความห่วงใยว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราต้องการผลักดันเนี่ยในเรื่องของปัญหาภาระงบประมาณจะทำให้การผลักดันวาระประชาชนเนี่ยทำได้จริงหรือไม่นะครับ
วันนี้ เราต้องการที่จะให้ทุกฝ่ายได้เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนว่า วาระประชาชนที่ได้มีการนำเสนอไปก่อนหน้านี้เนี่ยผ่านกระบวนการของการศึกษาเป็นอย่างดีและทำให้ทุกคนได้สบายใจเมื่อเห็นตัวเลขนะคับว่า สิ่งที่เราพูดทั้งหมดเนี่ยเป็นสิ่งที่สามารถผลักดันได้ไม่ได้มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณแต่อย่างใด งั้นวันนี้สาระสำคัญบรรทัดสุดท้ายก็คือว่า เราขอยืนยันนะครับว่าวาระประชาชนทำจริง ทำได้ วารประชาชนซึ่งมีหลังการในเรื่องของประชาชนต้องมาก่อนบวกกับการบริหารจัดการของผู้นำแนวใหม่จะเป็นหนทางในการที่จะคลี่คลายวิกฤตประชาชนซึ่งมีวิกฤตความสามัคคี วิกฤตค่าครองชีพ ความยากจน วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขันวิกฤตจริยธรรมเพื่อนำไปสู่ในเรื่องของเศรษฐกิฐคุณภาพและสังคมคุณธรรม
ผมอยากจะไล่เรียงไปนะครับว่าจากวาระประชาชนด้านการแก้ไขปัญหาความยากจนก็ดี วาระประชาชนในเรื่องการศึกษาก็ดี วาระประชาชนในเรื่องของสาธารณสุขก็ดีนั้นเนี่ย ภาระงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายทั้งหลายเนี่ยเป็นอย่างไร
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน
ถ้าเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาความยากจนนะครับ เราจะเห็นว่าในส่วนของการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็ดี เรื่องชของการลดค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้าหรือก๊าซหุงต้มก็ดี ไม่ได้มีผลกระทบต่องบประมาณหรือจากเงินภาษีอากรที่มีการเก็บอยู่ในปัจจุบันแต่ประการใด ผทวนให้เห็นชัดเจนนะครับว่า เรื่องของค่าแรงก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการไตรภาคซึ่งภาครัฐเป็น 1 ใน 3 ฝ่ายและก็ภาครัฐก็ได้มีการศึกษาตัวเลขในแง่ของค่าครองชีพ ในแง่ของปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มองเห็นว่า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำนั้นเนี่ย เป็นเรื่องของการให้ความเป็นธรรมแก้ผู้ใช้แรงงานกับคนทำงานนะครับซึ่งภาระตรงนี้ ถ้าเทียบดูแล้วว่าปรับขึ้นตามค่าเงินเฟ้อก็ดี ต่อผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นก็ดีเนี่ย เราได้ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายนายจ้าง ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในสาขาที่ใช้แรงงานค่อนข้างมากก็ยอมรับในเรื่องของหลักการของความเป็นธรรมและก็เชื่อครับว่าการปรับตัวเนี่ยก็สามารถที่จะกระทำได้ เรื่องราคาน้ำมันจากเดิมซึ่งมีหลายฝ่ายเข้าใจว่าจะไปมีการแทรกแซงกลไกตลาดอะไรต่างๆ ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายขณะนี้ความจริงก็เป็นที่ปรากฎชัดแจ้งแล้วว่า ค่าน้ำมันที่เราใช้จ่ายหรือซื้ออยู่ทุกวันเนี่ยมันมาจากการบิดเบือนที่เกิดขึ้นจากหนี้ที่ก่อขึ้นโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันนะครับ ซึ่งการจะแก้ปัญหาตรงนี้ก็คือการเปลี่ยนวิธีการบริหารการจัดการหนี้ของกองทุนน้ำมัน โดยการใช้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท.นะครับ ผลักดันให้มีการจ่ายค่าปันผลในอัตราซึ่งว่าตามจริงก็คือเป็นอัตราปกติ อัตราสากลของบริษัทขนาดนี้ กำไรขนาดนี้นะครับจาก 30 เป็น 50 เปอร์เซ็นต์ก็จะสามารถที่จะบริหารจัดการหนี้ในกองทุนน้ำมันได้ในระยะเวลาอันใกล้นะครับแล้วก็จะทำให้เป็นการลดภาระพี่น้องประชาชน
ผมเรียนว่าจากเดิม บางฝ่ายที่พยายามออกมาคัดค้านสุดท้ายเนี่ยซุ่มเสียงก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนะครับแม้กระทั่งยอมรับว่า ปตท.จำเป็นต้องส่งเงินเข้ารัฐมากขึ้นนะครับ และก็ ปตท.เองผมก็มีความมั่นใจว่าจากแนวทางที่เราทำนั้นจะไม่ได้อ่อนแอลงเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามการจัดสัดส่วนหนี้ต่อทุน การจัดสัดส่วนรูปแบบการใช้เงินลงทุนเนี่ยจะทำให้มีวินัยและก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น ค่าไฟเป็นเรื่องการการปรับสูตรค่าไฟฐาน หรือแม้กระทั่งบางส่วนของ ft ซึ่งมีการบิดเบือนอาจจะส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการแปรรูปซึ่งผิดกฎหมายนะครับอย่างที่ศาลปกครองชี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็สามารถที่จะปรับได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ก๊าซหุงต้มก็เป็นเรื่องของการที่เราจะมีการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมใหม่จากกำไรที่เพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันสำหรับผู้ส่งออก เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เนี่ยไม่ได้ใช้เงินงบประมาณหรือจากภาษีอาการที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันแม้แต่บาทเดียว
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนสำหรับกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
สำหรับกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงนะครับซึ่งเราจะเริ่มต้นเนี่ยได้พิจารณาแล้วเห็นว่า งบประมาณที่เริ่มจ้นเนี่ยน่าจะอยู่ที่วงเงิน 24,000 ล้านบาทซึ่งเราถือว่าเป็นงบที่จะใส่ลงไปแล้วเนื่องจากวิธีการบริหารจัดการเงินอย่างนี้เนี่ย เราไม่ได้ทำแบบประชานิยมจะต้องมีการติดตามประเมินความสอดคล้องของโครงการต่อหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเนี่ยเราก็จะมาประเมินเมื่อมีการดำเนินการไประยะหนึ่งนะครับว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มวงเงินหรือไม่ แต่เราค่อนข้างมั่นใจครับ ขณะนี้ว่าการเริ่มต้นอยู่ที่ 24,000 ล้านบาทเนี่ยสมเหตุสมผล
ในเรื่องของวาระด้านการศึกษาบวกกับเรื่องนมและเรื่องอาหารเสริมเด็ก เพราะว่าอันนี้เป็นเรื่องที่เราพร้อมจะลงทุนอย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคน และนโยบายที่เราได้มีการดำเนินการศึกษามาเราดูจากปัญหาที่ชัดเจนก็คือว่าถ้าเด็กไม่ได้รับการพัฒนาตั้งแต่เด็กสมองไม่พร้อมนั่นจะเป็นความสูญเสียโอกาสเด็กของเราและของประเทศมากที่สุด เพราะว่าหลังจากพ้นก่อนวัยเรียนไปแล้วต่อให้พัฒนาดีอย่างไรไอคิวเด็กก็จะเพิ่มขึ้นน้อยมาก ก็จำเป็นจะต้องลงทุนตรงนี้ เราก็ดูเอาตัวเลขก่อนว่าตั้งแต่ที่อยู่ในครรภ์ ปีหนึ่งมีคนท้องประมาณ 9 แสนคน ก็คูณนมกล่องเข้าไปโดยเฉลี่ยก็ 270 วัน ที่จะดูแลกันก็ได้เงินออกมาในส่วนของกองเกิน และเด็กเล็ก 6 ล้านกว่าคนก็คูณ 365 วัน แล้วนมกล่องซึ่งคำนวณอยู่ที่ 5.65 สตางค์ ก็จะออกมาเป็นทั้งสิ้น 14,000 ล้านบาท สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กถ้าจำได้ปัจจุบันเรามีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป้าหมายที่ประกาศไปก็คืออยากจะเพิ่มขึ้นมาอีก 4,000 ศูนย์ เพราะฉะนั้นถ่า 4 ปีก็ปีละ 1,000 แห่ง เราจะลงทุนปีละ 1,000 แห่ง 1 ล้านต่อแห่ง ก็เป็นปีละ 1,000 ล้านบาท ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จะไปประจำศูนย์นั้นก็จะแยกในศูนย์ที่มีอยู่แล้วก็ไปเพิ่มค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งคำนวณอยู่ว่ารับอยู่ประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ก็เพิ่มเป็น 7,000 ก็เพิ่มรายละ 3,000 ก็คูณ 12 เดือน คูณ 10 14,000 ศูนย์ 5 คน ส่วนศูนย์ใหม่ที่จะเปิดขึ้นมาก็เพิ่มเข้าไป 7,000 บาท ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน ก็คำนวนเป็นเงินออกมา นอกจากนั้นก็จะมีการปรับปรุงศูนย์ต่าง ๆ เพิ่มเข้าไปอีกอันนี้ให้ไปอีก 370 ล้าน รวมแล้วก็เป็น 5,780 ล้าน งบประมาณที่คำนวณออกมาก็หมายความว่าด้านการศึกษาที่จ่ายครั้งเดียวคือ 9,600 ล้าน และที่จ่ายทุกปีจะเพิ่มขึ้น 28,440 ล้าน
งบประมาณที่จะใช้ในวาระประชาชาชนด้านสุขภาพ
มาเรื่องสุขภาพตรงนี้ก็จะเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องของคุณภาพ ของระบบหลักประกันสุขภาพโดยเฉพาะที่พูดกันเรื่อง 30 บาท ปัญหาเรื่องคุณภาพการรักษา เรื่องยา แล้วก็จะมีโครงการสำคัญของเราคือสาธารณสุขเชิงลุกที่จะมีหมอประจำหมู่บ้าน อสม.ประจำครอบครัว ซึ่งจะมาพร้อม ๆ กับค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจจากภาระกิจของบุคลากรด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพเป้าหมายก็คือว่าเงินอุดหนุนต่อหัวต้องเพิ่มเป็น 2,000 บาทต่อปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1,659 บาท ตามที่รัฐบาลได้แถลง ถ้าเราขยายสิทธิ์ของคนในระบบประกันสังคม ให้ครอบคลุมไปยังครอบครัว เราจะลดจำนวนคนที่อยู่ใฝนระบบหลักประกันสุขภาพที่เรียกว่า 30 บาท จาก 47,500,000 คน ไปเป็น 41,700,000 คน ฉะนั้นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจริง ๆ ในการที่จะให้ระบบหลักได้เงิน 2,000 บาท เพิ่มขึ้นเพียง 4,260 ล้าน และผลเรียนว่าจากผลการศึกษาของ ILO การเพิ่มหรือการขยายสิทธิ์ของคนในครอบครัวในระบบของสังคมไม่กระทบต่อฐานะของกองทุนประกันสังคม อันนี้คือในส่วนของหลักประกันสุขภาพ เราก็จะเติมในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพใส่ไปด้วยเช่นลงทุนอีก 4,000 ล้าน เพื่อพัฒนาความเป็นเลิศของโรงพยาบาล และในส่วนของการที่จะพัฒนาสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาล ตำบล 1,700 แห่ง ก็จะใช้เงินอีกประมาณ 3,400 ล้านบาท ที่นี้ในโครงการที่จะให้หมอ อสม.และบุคลากรด้านสาธารณสุขลงไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านเราก็คำนวนออกมาเป็นรายละเอียดว่าหมอ ทันตแพทย์ เภสัชกร เทคนิคการแพทย์ พยาบาลชนบท อนามัยชนบท รวมทั้งอสม.ที่จะต้องไปปฏิบัติภาระกิจนี้บางส่วนเราก็จะคำนวนเป็นลักษณะของจำนวนหมู่บ้านคูณด้วยจำนวนครั้งที่มีการลงไปปฏิบัติหน้าที่ และค่าใช้จ่ายที่ให้ซึ่งคำนวณซึ่งอาจจะเป็นจากภาระงานคือต่อหัวของคนที่มาใช้บริการ แต่บางกลุ่มเราก็จะให้เป็นลัษณะเป็นค่าตอบแทนรายเดือน อันนี้จะดูรายละเอียดได้จะแตกต่างกันไป และในส่วนของอสม.นั่นก็คือ 600 บาท ต่อเดือน คำนวณออกมาเสร็จสับแล้วเราก็จะพบว่างบประมาณที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพทั้งหมดที่เป็นเงินที่จ่ายครั้งเดียวคือ 4,700 ล้าน และจ่ายทุกปีคือ 15,960 ล้าน จากตัวเลขทั้งหมดที่ได้นำเสนอมาเราจะพบความจริงว่าเงินที่เราใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวจะมีอยู่ประมาณ 41,000 ล้านบาท ซึ่งกว่าครึ่งก็คือกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ผลถือว่าเล็กน้อยมากเทียบกับบรรดาเงินที่ลงไปสู่ระดับชุมชนในปัจจุบันและไม่ได้ก่อให้เกิดความยั่งยืนในเรื่องของการพัฒนา ส่วนเงินที่จะต้องมีการเพิ่มใช้จ่ายทุกปีที่หลายคนห่วงว่าจะเป็นภาระหรือไม่ ทางด้านการศึกษา หรือทางด้านสุขภาพ คือ 44,400 ล้านบาท ถามว่าน 44,400 ล้านบาท ตีเสียว่า 50,000 ล้าน เป็นเงินที่แยะไหม ผมบอกได้เลยสำหรับคนที่ดูแลเรื่องของงบประมาณทุกปีปีละ 1,500,000 ล้านบาท เงิน 50,000 ล้านที่เพิ่มขึ้นต่อปีไม่ใช่เรื่องใหญ่คิดเป็นสัดส่วนงบประมาณก็อาจจะสัก 3 % หรืออะไร เป็นเรื่องซึ่งบริหารจัดการได้ ถามว่าทำไม ลองดูง่าย ๆ ว่ามันมีงบประมาณถ้าเทียบ 50,000 ล้านกับสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งเป็นงบลอย ๆ เป็นงบกลางไม่มีโครงการเลยแต่ละปีท่านจะเห็น ปี 45 58,000 ล้านมากกว่าภาระทั้งหมดที่พูดถึงอยู่ ปี 46 ลดลงมาหน่อย 16,000 ปี 47 จัด 2 รอบ 16,000 ล้านกับ 59,000 ล้าน นี่มากกว่างบด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษาทั้งหมด เงินที่กองไว้ให้นายกทักษิณหาเสียงถ้าเอามาใช้ทำให้เด็กเรียนฟรีได้นานแล้ว ถ้ามาใช้ให้ถูกต้อง ปี 48 23,000 ปี 49 27,000 ทั้งสิ้นเงินที่ซ่อนไว้ในงบกลางรัฐบาลชุดนี้ 200,700 ล้านบาท เพราะฉะนั้นเดี๋ยวผมจะชี้ให้เห็นต่อไปว่าเพียงแค่เรายึดหลักประชาชนต้องมาก่อน
เราไม่ได้พูดถึงการไปเพิ่มเงินอะไร แต่เอาเงินซึ่งไม่ควรใช้มาใช้ในสิ่งที่ควรใช้วาระประชาชนก็ทำได้แล้ว นั่นเฉพาะงบกลางของนายก ปี 49 งบผู้ว่าซีอีโอ 40,000 ล้าน รายการเดียวก็เทียบเคียงได้กับสิ่งที่เพิ่มขึ้นได้ทั้งหมดในวาระประชาชนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าหลายท่านจะพอทราบว่าเงินผู้ว่าซีอีโอที่นำไปใช้ก็ไม่ได้มีการศึกษาโครงการ หรือมีหลักการที่ชัดเจน แน่นอนเราไม่พูดว่างบกลางของนายกก็ดีของผู้ว่าก็ดีไร้ประโยชน์ทั้งหมดไม่ใช่ แต่ท่านก็คงจำได้ว่ามีหลายโครงการ ซึ่งเราก็มองไม่เห็นความจำเป็น ซื้อเครื่องบินไว้ใช้สำหรับนายกครม.1,000 กว่าล้าน ถ้าลงไประดับจังหวัดบางจังหวัดเขาเองงบซีอีโอไปใช้ปรับปรุงสนามกอล์ฟ ผมถามเถอะครับเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว ความจำเป็นในโครงการเหล่านี้กับสิ่งที่เราต้องการจะให้ลูกหลานของเราได้ดื่มนมเทียบกับการที่จะให้ลูกหลานเราได้เรียนฟรี เหตุและผลถ้าบอกว่าประชาชนต้องมาก่อนมั่นชัดเจนมากว่าสิ่งนี้ไม่ควรจะถูกมองว่าเป็นภาระ แต่ควรจะถูกมองว่าเป็นสิทธิและต้องได้รับการตอบสนองก่อนสิ่งอื่นใด นอกจากนี้ผมยังได้ไปดูงบประชาสัมพันธ์ของภาครัฐที่ไม่รวมรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปี 45 เป็นต้นมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนี้หน่วยงานรัฐใช้งบประชาสัมพันธ์โฆษณาทั้งหลายปีหนึ่งประมาณ 2,000 กว่าล้านแล้ว รวมมาตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาใช้เงินไปเกือบ 8,000 ล้าน เฉพาะการประชาสัมพันธ์ ซึ่งผมก็เชื่อว่าเรามองเห็นอยู่ทุกวันว่าการประชาสัมพันธ์ในหลายกรณีไม่ได้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชนจะเป็นการโฆษณาเพื่อภาพลักษณ์ของหน่วยงานหรือของรัฐบาลหรือเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมืองเสียมากกว่า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเราสามารถที่จะปรับการจัดลำดับความสำคัญเพื่อที่จะเอามาใช้เพื่อผลักดันวาระประชาชนได้ ที่น่าสนใจนับตั้งแต่มีการปฏิรูประบบราชการเป็นต้นมา ซึ่งคำว่าปฏิรูประบบราชการในที่นี้ก็คือหมายถึงที่รัฐบาลปัจจุบันไปสร้างกระทรวง ทบวง กรม ขึ้นมาใหม่ เราพบว่างบค่าใช้จ่ายประจำซึ่งตัวเลขนี้ไม่รวมเงินเดือน เงินเดือนเราไม่ได้ดูตรงนั้นตัดไปก่อน งบค่าใช้จ่ายประจำได้เพิ่มขึ้นมาจาก 460,000 กว่าล้านมาเป็น 610,000 ล้าน ในช่วงระยะเวลา 3-4 ปี เพิ่มขึ้นมา 150,000 ล้าน ซึ่งเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเรายังมีค่าใช้จ่ายประจำที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่น่าจะเป็น และความจริงก็เป็นตัวฟ้องความล้มเหลวของการปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมา ผมอยากให้เห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งเดียวจะให้ดูบนจอด้วย แต่ว่าเราจะแยกประมาณเป็นงบลงทุนงบเงินเดือน และงบค่าใช้จ่ายประจำจะเห็นว่างบค่าใช้จ่ายประจำเส้นสีชมพูเพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจนหลังจากที่มีการปฏิรูประบบราชการ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นเรื่องที่มีการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองเราจะเห็นถ้าดูบล๊อกสีชมพูนี่คืองบค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นมาโดยลำดับนับแต่มีการปฏิรูประบบราชการ ผมก็คิดง่าย ๆ ว่าสมมติเราประหยัดงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำในระบบราชการได้สัก 5% เท่านี้เราก็มีเงินเพิ่มขึ้นมา 30,000 กว่าล้าน เทียบกับวาระประชาชนที่
เราบอกว่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 40,000 ล้าน นี่ก็คือภาพที่ย้ำให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่างบค่าใช้จ่ายประจำเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร ตัวสุดท้ายเราคิดเล่น ๆ ว่าถ้าปัจจุบันมีการทุจริตคอรัปชั่นอยู่ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครในห้องนี้ปฏิเสธ คิดง่าย ๆ ว่า 10% ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนในห้องนี้จะบอกว่าต่ำเกินไปด้วยซ้ำ ก็ยุคนี้เขาพูดกัน 20 30 ผมเอาแค่ 10% 10% ของงบลงทุนถ้าเกิดสูญเสียไปกับการคอรัปชั่นเอาคืนมา ท่านจะเห็นว่าปีหนึ่งคืนมา 30,000 กว่าล้าน ก้คือใกล้เคียงกับงบที่เราจะใช้จ่ายทุกปีในเรื่องของวาระประชาชน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกคนได้สบายใจ และมั่นใจได้เลยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศไปเรื่องของการผลักดันวาระประชาชนที่จะให้เรื่องของการศึกษา เรื่องของการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจะไปกังวนว่าจะไม่มีเงินไปทำของพวกนี้
เราได้ศึกษาชัดเจน เราได้มาพิจารณาดูแล้วว่า เห็นว่าการบริหารจัดการงบประมาณเหล่านี้ ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่า จะต้องไปเพิ่มภาษีมั๊ย ไม่ต้องปทำอะไรเลย เพียงแค่จัดลำดับคตวามสำคัญของการใช้เงินของประชาชน ให้ประชาชนต้องมาก่อน ทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าตกใจ หลังนากนี้ไปประชาธิปัตย์ประกาศวาระประชาชนเพิ่มเติม จะตเองมีการลงทุนในโครงการอื่น เราก็จะมีคำตอบว่าจะลงทุนในโครงการอื่นๆได้อย่างไร เพราะว่าที่ประกาศมาทั้งหมด สามารถบริหารจัดการได้อยู่ในกรอบงบประมาณปัจจุบัน ผมก็ลองเทียบให้เห็นง่ายๆว่า สมมติว่าเราไม่ยอมรับการจัดงบปลางของรัฐบาลทักษิณ นี่ เท่านี้ก็มีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงได้ครบทุกหมู่บ้าน แถมยังให้เด็กอนุบาลถึงม.ปลายได้เรียนฟรีได้ด้วย แล้วงบอย่างเช่นงบกลางของรัฐบาลทักษิณ นอกจากจะผิดในเรื่องของวินัยเรื่องการเงินการคลัง ไม่มีการประเมินโครงการไว้ก่อนแล้ว ยังขัดต่อหลักการของระบอบประชาธิปไตยด้วย เพาะฝ่ายนิติบัญญัติ คือตัวแทนของประชาชนไม่มีโอกาสได้ตรวจก่อน เลยว่าจะเอาไปใช้จ่ายอะไร ไม่มีงบผู้ว่า CEO ไปทำวาระในเรื่องสุขภาพ เรื่องหลักประกัน ทั้งเรื่องค่าตอบแทน อสม. หมอ พยาบาล อยนามัย และอาหารเสริม ศูนย์เด็กเล็กได้ ไม่มีงบประชาสัมพันธ์ สัก 1,000 ล้าน เอาเงินไปให้เด็กมัธยมเรียนฟรีได้ และแน่นอน การปรับลดงบประจำก็ดี การลดการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ดี ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งยืนยันว่าวาระประชาชนนั้น ทำจริงและทำได้
ผมเรียนตรงประเด็นสุดท้ายว่า นอกจากเงินงบประมาณที่มีการใช้จ่ายกันอย่างปัจจุบันยังขาดประสิทธิภาพ ขาดการจัดลำดับความสำคัญที่ประชาชนต้องมาก่อนแล้ว ยังมีเงินที่อยู่นอกระบบงบประมาณที่ยังมีการใช้จ่ายกันอีกมากมาย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้กลับเข้ามาสู่ระบบการบริหารจัดการที่ดี ผมยกแค่ตัวอย่างเดียว เงินของกองสลาก ทราบมั๊ยครั้บว่า 72 งวดมีรายได้เข้ามา 28,000 ล้าน ซึ่งมีการใช้จ่ายไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งคือ 1,300 กว่าล้านนี่ก็เป็นอีกเงินก้อนใหญ่ที่หมุนเวียนกันอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเข้ามาบริหารจัดการให้ถูกต้องตามหลักของธรรมาภิบาล แต่ท้ายที่สุดก็ขอย้ำอีกครั้งว่า นโยบายหรือวาระประชาชนที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอ นำเสนอบนพื้นฐานของหลักคิดที่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล คือ 1. เป็นหลักคิดที่ให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ไม่ใช่เป็นหลักคิดของประชานิยม และไม่ต้องการให้เงินงบประมาณเหล่านี้ เป็นเรื่องของการที่จะให้ประชาชนมองว่าผู้นำหรือรัฐบาลเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ แต่เราถือว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตอบสนองสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่น้องประชาชนทุกคน แล้วตัวเลขที่ได้ไปศึกษามา ยืนยันว่าทั้งหมดนี้ทำได้ ไม่เกินกำลังของรัฐบาลไทย ไม่ต้องไปเบียดเบียนการเพิ่มภาระให้กับประชาชนในเรื่องของภาษีอากร ทั้งหมดจึงเป็นการยืนยันว่า บางครั้งปัญหาที่สะสม วิกฤติที่เกิดขึ้นเราไม่เคยมาทบทวนตัวเอง เพียงแค่เรามีผู้นำ เพียงแค่เรามีรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับประชาชนอย่างแท้จริง ให้ประชาชนต้องมาก่อน ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่สะสมเป็นวิกฤติเหมือนที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ก็ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ แล้วก็พร้อมที่จะตอบข้อซักถามในประเด็นต่างๆที่ได้นำเสนอ
ตอบคำถามสื่อมวลชน
คำถามที่ 1 .......................
ไม่ได้ให้หมู่ละล้าน คือเราไม่ได้ใช้วิธีการที่จะไปบอกว่าทุกหมู่บ้านได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ว่าเรายึดตัวเลขซึ่งอาจจะสูงว่า กขคจ.เล็กน้อย แล้วก็จะดูตามความจำเป็น เพราะว่าความต้องการและความจำเป็นของแต่ละ หมู่บ้านก็ไม่เท่านเทียมกัน แต่ตัวเลขรวมๆที่เราตั้งขึ้นมา เราคิดวง่าอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล เมื่อเฉลี่ยมาแล้ว หมู่บ้านละ 3 แสนใช่มั๊ยครับ น่าจะ 3 แสน
คำถามที่ 2 ........................
คือในปีงบประมาณ 2549 มีการตั้งบประมาณที่ไม่มีรายละเอียดของโครงการขึ้นมาและก็บอกว่าอยู่ในโครงการผู้ว่า CEO ตั้งขึ้นมา 4 หมื่นกว่าล้าน เราไม่เชื่อในระบบของผู้ว่า CEO เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ไม่ใช้แล้ว จากนี้ไปการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กรนำเงินภาษีอากรของประชาชนไปใช้จ่าย มันต้องมีการวางแผนและมีโครงการมีการศึกษาที่รองรับชัดเจนว่าเป็นงบประมาณที่ลงไปแล้วเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเรายืนยันว่า วาระประชาชนที่นำเสนอไป อันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ได้ประโยชน์จริงๆคือประชาชน
คำถามที่ 3 .........................
งบที่จัดใช่มั๊ยครับ มันไม่มีการจัดงบกลางแบบคุณทักษิณ ไม่มีการจัดงบในลักษณะของผู้ว่า CEO
คำถามที่ 4 ........................
งบกลางที่ทุกรัฐบาล ทุกชุดเขาทำมาด้วยความเรียบร้อยปกติ ยังมีเหมือนเดิม งบกลางคุณทักษิณไม่มี
คำถามที่ 5 ...................
เอาง่ายๆ คืองบกลางจะต้องมีเผื่อเรื่องบำเหน็จบำนาญ เผื่อเรื่องของน้ำท่วมภัยแล้ว อันนี้เหมือนเดิม แต่งบกลางอย่างคุณทักษิณไม่มี ประเภทซื้อเครื่องบินนั่งเองไม่มีครับ
คำถามที่ 6 ..................
ก็ลดลงแน่นอน งบกลางนะครับ เพราะว่าก้อนที่เป็นก้อนใหญ่ๆ หลายหมื่นล้านก็จะหายไป
คำถามที่ 7 ...................
ผมเข้าใจว่าประเด็นที่จะต้องพิจารณาเรื่องการขาดดุลหรือมื เป็นประเด็นเรื่องของการบริหารเชิงมหภาคมากกว่า ผมไม่ได้คิดว่าขณะนี้ที่พูดกันถึงขนาดว่า จะต้องมีการจัดงบประมาณแบบขาดดุล สมมติที่พูดว่า 1 แสนล้าน เป็นเรื่องที่หลายโครการอยากจะทำแล้วไม่มีเงิน มันไม่ใช่ ผมมองว่าเป็นเรื่องของการเอามาตรการการคลังมากระตุ้นเศรษฐกิจมากกวง่า เพราะฉะนั้นถ้าจะมีการขาดดุลก็ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าค่าใช้จ่ายบานปลายและเก็บเงินไม่ได้ ทำนองนั้น อยากให้แยกกัน เช่นเดียวกับเรื่องภาษี ถ้ามีการปรับเปลี่ยนภาษีอะไรก็เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ความเหมาะสมของภาษีนั้น ไม่ใช่เรื่องของการที่จะหาเงินมาเพิ่มเติม
คำถามที่ 8 ..................
เรื่องโครงสร้างที่เป็นนโยบายเพ่ามเติมที่จะเอาออกมา ซึ่งอาจจะมีเป็นลักษณะของงบลงทุน อันนั้นจะแยกต่างหาก วันนี้ต้องการจะให้เห็นว่า วิธีการที่จะจัดการกับวาระประชาชนเป็นอย่างไร ผมยกตัวอย่างเช่น อย่างกรณีรถไฟฟ้า ก็จะมีวิธีการจัดการที่เป็นคำตอบชัดเจน ซึ่งวันนั้นเราก็พูดถึงว่าจะมีเงินกู้เข้ามา ก็เลยถือโอกาสพูดด้วย เดี๋ยวคนจะบอกว่าประกาศวาระเรื่องรถไฟฟ้า แปลว่าสนใจแต่คนกรุงเทพ ที่จริงวันนั้นถ้าใครไปฟัง สิ่งแรกที่ผมพูดวันนั้นเลยคือว่า นี่เฉพาะเรื่องเดียว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ในภาคต่างๆ เราจะทยอยนำเสนอ การลงทุนในเชิงของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ตามมา แล้วก็อยากจะบอกด้วยว่า กรณีของรถไฟฟ้า คงใช่เรื่องของคนกรุงเทพ เท่านั้น เพราะว่ามันเป็นเรื องของการประหยัดพลังงานที่เราสูญเสียอยู่ในเรื่องรถติด เรื่องมลภาวะสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบกว้างขวาง เพราะฉะนั้นเรื่องของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะมีการนำเสนอต่อไปในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เขตพัฒนาพิเศษหรือการลงทุนในบางเรื่องทีเกี่ยวข้องกับภาคเกษตร ซึ่งเตรียมไว้แล้ว แต่ว่าจะทยอยนำเสนอต่อไป
คำถามที่ 9 .......................
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องนำเงินเยอะๆมาใช้หาเสียง ประเด็นสำคัญคือว่า สิ่งที่เรานำเสนอเราเชื่อว่าประชาชนต้องการเห็นบ้านเมืองพ้นจากวิกฤติและมีความเข้มแข็ง การพ้นจากวิกฤต และมีความเข้มแข็ง หลายเรื่องไม่ต้องใช้เงิน หลายเรื่องไม่ต้องใช้เงินของภาครัฐ แต่เป็นมาตรการที่ภาครัฐทำแล้ว จะสามารถระดมทรัพยากรจากภาคเอกชนให้เข้ามาแก้ไขปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมาขอแข่งว่าจะใช้เงินมากกว่า ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมบอกเลยว่าใช้เงินเท่านี้ หรือตามโครงการที่จพะได้มีการนำเสนอต่อไป ยืนยจันว่าบ้านเมืองดีขึ้น บ้านเมืองแข็งแรงขึ้นและผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ ..จบ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 ก.ย. 2549--จบ--