กรุงเทพ--10 ก.พ.--กระทรวงการต่างประเทศ
ฝ่ายกัมพูชาเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยในการกำหนดระยะเวลาการปักปันเขตแดนการร่วมพัฒนาบริเวณชายแดนเพื่อผลประโยชน์ด้านการเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงพร้อมรับให้ละครไทยเข้าไปเผยแพร่อีกครั้ง
เมื่อวานนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2549) ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทางโทรศัพท์จากกรุงพนมเปญเกี่ยวกับผลการหารือกับสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายสก อัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮอร์ นัมฮอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ รวมทั้งผลการประชุม คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาครั้งที่ 5 ว่า
นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้แจ้ง ดร. กันตธีร์ฯ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่ในขั้นที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และ ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต เพื่อประโยชน์ของประชาชนสองประเทศ
นอกจากนี้ สมเด็จฮุนเซน เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยที่จะเร่งรัดให้มีการดำเนินการปักปันเขตแดนทางบกให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการ ส่วนการปักปันเขตแดนทางทะเลคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2550
ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบร่วมกันที่จะพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อผลประโยชน์ด้านการเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเมื่อการร่วมพัฒนาบริเวณชายแดนประสบผลสำเร็จแล้ว ก็อาจจัดให้มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดงคอนเสิร์ตที่ชายแดน และถ่ายทอดผ่านสื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้ชมพร้อมๆ กัน ฝ่ายกัมพูชายังได้สนับสนุนให้ละครไทยเข้าไปออกอากาศในกัมพูชาได้
ทั้งนี้ ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระ 55 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศทั้งสองในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ ร่วมกัน ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2548 — ธันวาคม 2549 โดยเฉพาะการส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน
ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวด้วยว่า ไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะร่วมมือกันในหลายสาขา ที่สำคัญเช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน การร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและยาเสพติด การจัดระเบียบแรงงานกัมพูชาในไทยโดยฝ่ายไทยได้ขยายระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานกัมพูชาในไทยไปจนถึงสิ้นปี เพื่อให้แรงงานผิดกฏหมายชาวกัมพูชาสามารถเข้าสู่ระบบและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ความร่วมมือด้านสื่อสารมวลชน ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ขอให้ไทยช่วยเหลือด้านการสาธารณสุข อาทิ ยาป้องกันและรักษาโรคมาเลเรีย ความร่วมมือกันในการป้องกันไข้หวัดนก ทั้งภายในกรอบทวิภาคี และกรอบ ACMECS
ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศไทยกับกัมพูชาจะเป็นสองประเทศแรกในกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิระวดี- เจ้าพระยา- แม่โขง (ACMECS) ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการตรวจลงตราของฝ่ายหนึ่ง เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวต่อในอีกประเทศหนึ่งได้ด้วย ตามแนวทาง One visa two countries โดยคาดว่าจะมีผลบังคับภายในเดือนเมษายนนี้ ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากฝ่ายกัมพูชาว่าองค์การ UNESCO จะประกาศให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในปีนี้ ดังนั้น ไทยและกัมพูชาจะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารต่อไป
นอกจากนั้น สมเด็จฮุน เซน ขอบคุณประเทศไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการก่อตั้งวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล (Kampong Chheauteal College) ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาเสด็จฯ เปิดวิทยาลัย เมื่อปลายปี 2548 รวมทั้งขอบคุณที่ไทยให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางถนนสายที่ 48 จากเกาะกงใกล้จังหวัดตราดในฝั่งไทย ไปยังสแรอัมเบิล และหมายเลข 67 จากสะงำ ใกล้จังหวัดศรีสะเกษ ผ่านอันลองเวง ไปยังเสียมราฐ และได้ขอให้ฝ่ายไทยให้ความช่วยเหลือพัฒนาเส้นทางสายที่ 3 คือ ทางหลวงหมายเลข 68 จากช่องจอมใกล้จังหวัดสุรินทร์ ผ่านโอเสม็ดและสำโรง ไปยังกรอลันห์ ซึ่งฝ่ายไทยจะพิจารณาต่อไปภายหลัง
ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรครั้งนี้ ดร. กันตธีร์ฯ ได้ร่วมในพิธีลงนามในเอกสารต่างๆ ได้แก่ บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม ครั้งที่ 5 ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองฝ่าย และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ไทย — กัมพูชา (Memorandum of Understanding on Cooperation in Information and Broadcasting) ซึ่งจะส่งเสริมการติดต่อและความร่วมมือระหว่างวงการสื่อสารมวลชนของไทยและกัมพูชา และส่งเสริมความเข้าใจอันดีในระดับประชาชนต่อประชาชน นอกจากนั้น ดร. กันตธีร์ฯ ได้ร่วมในพิธีแลกเปลี่ยนพิธีสารเพื่อยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางราชการไทย - กัมพูชา (Exchange of Notes on the Exemption of Visas for Holders of Service/Official Passports) ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางติดต่อกันระหว่าง ข้าราชการของประเทศทั้งสอง และมีแผนจะขยายไปสู่การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
ฝ่ายกัมพูชาเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยในการกำหนดระยะเวลาการปักปันเขตแดนการร่วมพัฒนาบริเวณชายแดนเพื่อผลประโยชน์ด้านการเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงพร้อมรับให้ละครไทยเข้าไปเผยแพร่อีกครั้ง
เมื่อวานนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2549) ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทางโทรศัพท์จากกรุงพนมเปญเกี่ยวกับผลการหารือกับสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายสก อัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮอร์ นัมฮอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ รวมทั้งผลการประชุม คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาครั้งที่ 5 ว่า
นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้แจ้ง ดร. กันตธีร์ฯ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่ในขั้นที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และ ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต เพื่อประโยชน์ของประชาชนสองประเทศ
นอกจากนี้ สมเด็จฮุนเซน เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยที่จะเร่งรัดให้มีการดำเนินการปักปันเขตแดนทางบกให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการ ส่วนการปักปันเขตแดนทางทะเลคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2550
ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายยังเห็นชอบร่วมกันที่จะพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อผลประโยชน์ด้านการเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเมื่อการร่วมพัฒนาบริเวณชายแดนประสบผลสำเร็จแล้ว ก็อาจจัดให้มีกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดงคอนเสิร์ตที่ชายแดน และถ่ายทอดผ่านสื่อให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้ชมพร้อมๆ กัน ฝ่ายกัมพูชายังได้สนับสนุนให้ละครไทยเข้าไปออกอากาศในกัมพูชาได้
ทั้งนี้ ในโอกาสการเฉลิมฉลองวาระ 55 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศทั้งสองในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ ร่วมกัน ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2548 — ธันวาคม 2549 โดยเฉพาะการส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน
ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวด้วยว่า ไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะร่วมมือกันในหลายสาขา ที่สำคัญเช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนเพื่อความปลอดภัยของประชาชน การร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและยาเสพติด การจัดระเบียบแรงงานกัมพูชาในไทยโดยฝ่ายไทยได้ขยายระยะเวลาการจดทะเบียนแรงงานกัมพูชาในไทยไปจนถึงสิ้นปี เพื่อให้แรงงานผิดกฏหมายชาวกัมพูชาสามารถเข้าสู่ระบบและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ความร่วมมือด้านสื่อสารมวลชน ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ขอให้ไทยช่วยเหลือด้านการสาธารณสุข อาทิ ยาป้องกันและรักษาโรคมาเลเรีย ความร่วมมือกันในการป้องกันไข้หวัดนก ทั้งภายในกรอบทวิภาคี และกรอบ ACMECS
ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศไทยกับกัมพูชาจะเป็นสองประเทศแรกในกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิระวดี- เจ้าพระยา- แม่โขง (ACMECS) ที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการตรวจลงตราของฝ่ายหนึ่ง เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวต่อในอีกประเทศหนึ่งได้ด้วย ตามแนวทาง One visa two countries โดยคาดว่าจะมีผลบังคับภายในเดือนเมษายนนี้ ดร. กันตธีร์ฯ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากฝ่ายกัมพูชาว่าองค์การ UNESCO จะประกาศให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกในปีนี้ ดังนั้น ไทยและกัมพูชาจะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารต่อไป
นอกจากนั้น สมเด็จฮุน เซน ขอบคุณประเทศไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการก่อตั้งวิทยาลัยกำปงเฌอเตียล (Kampong Chheauteal College) ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาเสด็จฯ เปิดวิทยาลัย เมื่อปลายปี 2548 รวมทั้งขอบคุณที่ไทยให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางถนนสายที่ 48 จากเกาะกงใกล้จังหวัดตราดในฝั่งไทย ไปยังสแรอัมเบิล และหมายเลข 67 จากสะงำ ใกล้จังหวัดศรีสะเกษ ผ่านอันลองเวง ไปยังเสียมราฐ และได้ขอให้ฝ่ายไทยให้ความช่วยเหลือพัฒนาเส้นทางสายที่ 3 คือ ทางหลวงหมายเลข 68 จากช่องจอมใกล้จังหวัดสุรินทร์ ผ่านโอเสม็ดและสำโรง ไปยังกรอลันห์ ซึ่งฝ่ายไทยจะพิจารณาต่อไปภายหลัง
ในระหว่างการเยือนราชอาณาจักรครั้งนี้ ดร. กันตธีร์ฯ ได้ร่วมในพิธีลงนามในเอกสารต่างๆ ได้แก่ บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม ครั้งที่ 5 ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสองฝ่าย และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสารสนเทศและกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ไทย — กัมพูชา (Memorandum of Understanding on Cooperation in Information and Broadcasting) ซึ่งจะส่งเสริมการติดต่อและความร่วมมือระหว่างวงการสื่อสารมวลชนของไทยและกัมพูชา และส่งเสริมความเข้าใจอันดีในระดับประชาชนต่อประชาชน นอกจากนั้น ดร. กันตธีร์ฯ ได้ร่วมในพิธีแลกเปลี่ยนพิธีสารเพื่อยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางราชการไทย - กัมพูชา (Exchange of Notes on the Exemption of Visas for Holders of Service/Official Passports) ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางติดต่อกันระหว่าง ข้าราชการของประเทศทั้งสอง และมีแผนจะขยายไปสู่การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-