ชาวสวนกาแฟได้เฮอีกครั้ง หลังราคาพุ่งแตะเพดานกิโลละ 47 บาท สูงสุดในรอบ 7 ปี สศก.ย้ำเกษตรกรต้องรักษาคุณภาพไว้ให้ดี เพราะมีคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม
นางอัญชลี อุไรกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาเมล็ดสารกาแฟเกรด A ที่จุดรับซื้อของบริษัทเอกชน มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 47 บาท สาเหตุเนื่องจากสถานการณ์การผลิตกาแฟปีนี้ทั้งประเทศ มีผลผลิตประมาณ 45,831 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 23 % ภาคใต้มีผลผลิตประมาณ 43,177 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 24 % เพราะหลายปีที่ผ่านมาราคากาแฟโดยเฉพาะพันธุ์โรบัสต้าในภาคใต้ของประเทศไทยตกต่ำตลอดมา ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทุกปีจากราคาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โดยปลูกแซมในสวนกาแฟ เมื่อโตขึ้นก็จะโค่นต้นออกทำให้เนื้อที่ลดลง ที่สำคัญคือ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นติดต่อกันยาวนานหลายเดือน ตั้งแต่ปลายปี 2547 ถึงต้นปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟออกดอก เมื่อไม่มีฝน จะทำให้ดอกร่วงผลิตเสียหายและลดจำนวนน้อยลง
สำหรับในปีนี้ สศก. คาดคะเนว่า ปริมาณการใช้ภายในประเทศมีประมาณ 50,000 ตัน เพราะตลาดภายในขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งกาแฟสำเร็จรูป กาแฟคั่ว กาแฟสด และกาแฟพร้อมดื่ม มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยเมื่อปี 2542 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 48 บาท หลังจากนั้นราคาก็ตกต่ำเรื่อยมา อย่างไรก็ดี ไทยยังมีคู่แข่งสำคัญคือ เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ครองตลาดเป็นอันดับสองรองจากบราซิล ถึงแม้ว่ากาแฟของเวียดนามจะมีคุณภาพด้อยกว่าไทยก็ตาม จึงขอแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนกาแฟรักษาคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ เพื่อเป็นการรักษาระดับราคาให้สูงขึ้นไปอีก ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นางอัญชลี กล่าวทิ้งท้าย
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
นางอัญชลี อุไรกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาเมล็ดสารกาแฟเกรด A ที่จุดรับซื้อของบริษัทเอกชน มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 47 บาท สาเหตุเนื่องจากสถานการณ์การผลิตกาแฟปีนี้ทั้งประเทศ มีผลผลิตประมาณ 45,831 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 23 % ภาคใต้มีผลผลิตประมาณ 43,177 ตัน ลดลงจากปีที่แล้ว 24 % เพราะหลายปีที่ผ่านมาราคากาแฟโดยเฉพาะพันธุ์โรบัสต้าในภาคใต้ของประเทศไทยตกต่ำตลอดมา ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นทุกปีจากราคาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โดยปลูกแซมในสวนกาแฟ เมื่อโตขึ้นก็จะโค่นต้นออกทำให้เนื้อที่ลดลง ที่สำคัญคือ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นติดต่อกันยาวนานหลายเดือน ตั้งแต่ปลายปี 2547 ถึงต้นปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟออกดอก เมื่อไม่มีฝน จะทำให้ดอกร่วงผลิตเสียหายและลดจำนวนน้อยลง
สำหรับในปีนี้ สศก. คาดคะเนว่า ปริมาณการใช้ภายในประเทศมีประมาณ 50,000 ตัน เพราะตลาดภายในขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งกาแฟสำเร็จรูป กาแฟคั่ว กาแฟสด และกาแฟพร้อมดื่ม มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยเมื่อปี 2542 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 48 บาท หลังจากนั้นราคาก็ตกต่ำเรื่อยมา อย่างไรก็ดี ไทยยังมีคู่แข่งสำคัญคือ เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ครองตลาดเป็นอันดับสองรองจากบราซิล ถึงแม้ว่ากาแฟของเวียดนามจะมีคุณภาพด้อยกว่าไทยก็ตาม จึงขอแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนกาแฟรักษาคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ เพื่อเป็นการรักษาระดับราคาให้สูงขึ้นไปอีก ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นางอัญชลี กล่าวทิ้งท้าย
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-