ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนเมษายน 2549 ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนเมษายน 2549 ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่สามารถขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ ทำให้การส่งออกสามารถขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี ในขณะที่การนำเข้าชะลอตัวจากภาวะการลงทุนภายในประเทศที่ชะลอตัว และฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนเครื่องชี้ด้านอุปสงค์ภายในประเทศ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายนด้านเศรษฐกิจภาคการคลังจะเห็นได้ว่าภาษีฐานรายได้ยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน สำหรับด้านอุปทาน ภาคการเกษตรยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการจ้างงานภาคการเกษตร ขยายตัวในระดับที่สูง ด้านอุปสงค์ในประเทศพบว่า การบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนด้านอุปสงค์ต่างประเทศพบว่า มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การนำเข้าสินค้าขยายตัวในระดับต่ำ แต่ดุลการค้าสำหรับเดือนเมษายน 2549 ขาดดุลเนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้น ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับมั่นคงโดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า จากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2549
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2549 ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้สามารถขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.7 ต่อปี แม้ว่าชะลอตัวลงจากเดือนมีนาคมเล็กน้อย ที่ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 17.9 ต่อปี ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลขยายตัวร้อยละ 8.7 ต่อปี สำหรับรายได้ภาษีจากฐานการบริโภคขยายตัวที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะในภาคเกษตรขยายตัวได้ดี โดยในภาคเกษตร ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายนยังขยายตัวสูงที่ร้อยละ 23.8 ต่อปีในเดือนเมษายน ประกอบการจ้างงานขยายตัวร้อยละ 8.8 ในขณะที่คาดว่าผลผลิตภาคเกษตรขยายตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรจะยังคงขยายตัวในระดับสูงขึ้น สำหรับเครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงจากมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบหดตัวร้อยละ 14.2 ต่อปีในเดือนเมษายน สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านด่านท่าอากาศยานกรุงเทพในเดือนมีนาคม มีจำนวน 8.3 แสนคน ขยายตัวร้อยละ 20.79 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ในด้านการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดี ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนทั้งด้านเครื่องมือเครื่องจักรและด้านก่อสร้างปรับตัวลดลง โดยรายได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 17.2 ต่อปีในเดือนมีนาคม มาขยายตัวร้อยละ 19.4 ต่อปี ในเดือนเมษายน สอดคล้องกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปเหรียญสหรัฐเดือนเมษายนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสำหรับการลงทุนภาคเอกชน พบว่าการลงทุนในหมวดเครื่องจักรมีแนวโน้มชะลอลงจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายน ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.4 ต่อปี ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านก่อสร้างยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องตามภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศหดตัวร้อยละ 11.5 ต่อปีในเดือนมีนาคมลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจด้านการค้าต่างประเทศในเดือนเมษายนโดยเฉพาะด้านการส่งออกยังสามารถขยายตัวดี แม้ว่าจะชะลอตัวจากเดือนก่อนเนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล (Seasonal Effect) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ ในขณะที่การนำเข้าสินค้าขยายตัวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยขยายตัวร้อยละ 11.7 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 9.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลที่ 551 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนเมษายน
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ในด้านเสถียรภาพทางการคลัง หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 41.7 ของ GDP ในเดือนกุมภาพันธ์ มาอยู่ที่ร้อยละ 41.4 ของ GDP ในเดือนมีนาคม ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 2.1 ในเดือนเมษายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.0 ต่อปี จากด้านต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าในครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงหากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพและฐานอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 57.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นจาก 55.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนก่อนหน้า และคิดเป็น 3.46 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมเกินดุลจำนวน 485.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และหนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพที่ 53.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 49 โดยหนี้ต่างประเทศระยะสั้นมีจำนวน 15.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 7/2549 29 พฤษภาคม 2549--
ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายนด้านเศรษฐกิจภาคการคลังจะเห็นได้ว่าภาษีฐานรายได้ยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาษีฐานการบริโภคขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน สำหรับด้านอุปทาน ภาคการเกษตรยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการจ้างงานภาคการเกษตร ขยายตัวในระดับที่สูง ด้านอุปสงค์ในประเทศพบว่า การบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนด้านอุปสงค์ต่างประเทศพบว่า มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การนำเข้าสินค้าขยายตัวในระดับต่ำ แต่ดุลการค้าสำหรับเดือนเมษายน 2549 ขาดดุลเนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้น ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับมั่นคงโดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า จากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2549
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนเมษายน 2549 ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการคลังล่าสุดพบว่า ภาษีฐานรายได้สามารถขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.7 ต่อปี แม้ว่าชะลอตัวลงจากเดือนมีนาคมเล็กน้อย ที่ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 17.9 ต่อปี ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลขยายตัวร้อยละ 8.7 ต่อปี สำหรับรายได้ภาษีจากฐานการบริโภคขยายตัวที่ร้อยละ 7.3 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนมีนาคมที่ขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานโดยเฉพาะในภาคเกษตรขยายตัวได้ดี โดยในภาคเกษตร ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเดือนเมษายนยังขยายตัวสูงที่ร้อยละ 23.8 ต่อปีในเดือนเมษายน ประกอบการจ้างงานขยายตัวร้อยละ 8.8 ในขณะที่คาดว่าผลผลิตภาคเกษตรขยายตัวดีขึ้น ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรจะยังคงขยายตัวในระดับสูงขึ้น สำหรับเครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมพบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงจากมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบหดตัวร้อยละ 14.2 ต่อปีในเดือนเมษายน สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติโดยนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านด่านท่าอากาศยานกรุงเทพในเดือนมีนาคม มีจำนวน 8.3 แสนคน ขยายตัวร้อยละ 20.79 ต่อปี
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ในด้านการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดี ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนทั้งด้านเครื่องมือเครื่องจักรและด้านก่อสร้างปรับตัวลดลง โดยรายได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 17.2 ต่อปีในเดือนมีนาคม มาขยายตัวร้อยละ 19.4 ต่อปี ในเดือนเมษายน สอดคล้องกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปเหรียญสหรัฐเดือนเมษายนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.0 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสำหรับการลงทุนภาคเอกชน พบว่าการลงทุนในหมวดเครื่องจักรมีแนวโน้มชะลอลงจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนเมษายน ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.4 ต่อปี ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านก่อสร้างยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องตามภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยยอดขายปูนซีเมนต์ภายในประเทศหดตัวร้อยละ 11.5 ต่อปีในเดือนมีนาคมลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจด้านการค้าต่างประเทศในเดือนเมษายนโดยเฉพาะด้านการส่งออกยังสามารถขยายตัวดี แม้ว่าจะชะลอตัวจากเดือนก่อนเนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล (Seasonal Effect) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ ในขณะที่การนำเข้าสินค้าขยายตัวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยขยายตัวร้อยละ 11.7 ต่อปี ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 9.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลที่ 551 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนเมษายน
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี ในด้านเสถียรภาพทางการคลัง หนี้สาธารณะลดลงจากร้อยละ 41.7 ของ GDP ในเดือนกุมภาพันธ์ มาอยู่ที่ร้อยละ 41.4 ของ GDP ในเดือนมีนาคม ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 2.1 ในเดือนเมษายน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.0 ต่อปี จากด้านต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าในครึ่งปีหลัง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงหากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพและฐานอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลังของปีก่อน ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 57.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นจาก 55.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนก่อนหน้า และคิดเป็น 3.46 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมเกินดุลจำนวน 485.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และหนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพที่ 53.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 49 โดยหนี้ต่างประเทศระยะสั้นมีจำนวน 15.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 7/2549 29 พฤษภาคม 2549--