นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ได้ออกระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำสินค้าเส้นไหมเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2549 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2549 เป็นต้นไป
การที่กระทรวงพาณิชย์ออกระเบียบในครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าเส้นไหม ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นไปตามเงื่อนไขการเปิดตลาดภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ตามมติของคณะกรรมการหม่อนไหมแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2548 ซึ่งระเบียบดังกล่าวอนุญาตให้นำเข้าเส้นไหมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ต่อไปนี้ 1. กรณีเส้นไหมคุณภาพดีเกรด 3 เอ ขึ้นไป ที่นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ต้องซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ 1 ส่วนต่อการขออนุญาต นำเข้า 30 ส่วนโดยน้ำหนัก 2. กรณีเส้นไหมที่มีคุณภาพต่ำกว่าเกรด 3 เอหรือที่มิได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ต้องรับซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ 1ส่วนต่อการขออนุญาตนำเข้า 2 ส่วนโดยน้ำหนัก 3. กรณีเส้นไหมที่มีถิ่นกำเนิดและส่งมาจากประเทศสมาชิกอาเซียน (AFTA) ซึ่งมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) จากประเทศผู้ผลิตมาแสดงประกอบคำขออนุญาต ไม่ต้องรับซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ
สำหรับโรงงานสาวไหมที่มีความประสงค์จะขายเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ ต้องจดทะเบียนเป็นโรงงานสาวไหมจดทะเบียน โดยยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศพร้อมแสดงเอกสารดังนี้ 1. สำเนาทะเบียนพาณิชย์หรือสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 2. หนังสือรับรองการรับซื้อรังไหมในประเทศ 3. หนังสือให้คำรับรองปริมาณการรับซื้อรังไหม ปริมาณการผลิต และปริมาณการจำหน่ายเส้นไหม 4. หนังสือให้คำรับรองการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรม การค้าต่างประเทศ ซึ่งโรงงานสาวไหมจดทะเบียนที่ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่กำหนด ไม่ส่งรายงาน นำเส้นไหมที่ไม่ได้ผลิตเองมาขาย ออกใบเสร็จรับเงินโดยไม่ได้ขายเส้นไหมให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า หรือทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ขออนุญาตนำเข้าเส้นไหม โดยมีเจตนาไม่ส่งมอบเส้นไหมตามระยะเวลาที่กำหนด กรมการค้าต่างประเทศจะพิจารณาตักเตือนภาคทัณฑ์ หรือเพิกถอนการจดทะเบียนเป็นโรงงานสาวไหมจดทะเบียน ตามแต่กรณี
จากสถิติการนำเข้าเส้นไหม (เส้นไหมดิบและเส้นไหมสำเร็จ) ปี 2547 มีปริมาณ 521.91 ตัน คิดเป็นมูลค่า 451.18 ล้านบาท และในปี 2548 มีปริมาณ 547.18 ตัน คิดเป็นมูลค่า 501.47 ล้านบาท ตลาดนำเข้าคือ จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-
การที่กระทรวงพาณิชย์ออกระเบียบในครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าเส้นไหม ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นไปตามเงื่อนไขการเปิดตลาดภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ตามมติของคณะกรรมการหม่อนไหมแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2548 ซึ่งระเบียบดังกล่าวอนุญาตให้นำเข้าเส้นไหมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ต่อไปนี้ 1. กรณีเส้นไหมคุณภาพดีเกรด 3 เอ ขึ้นไป ที่นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ต้องซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ 1 ส่วนต่อการขออนุญาต นำเข้า 30 ส่วนโดยน้ำหนัก 2. กรณีเส้นไหมที่มีคุณภาพต่ำกว่าเกรด 3 เอหรือที่มิได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ต้องรับซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ 1ส่วนต่อการขออนุญาตนำเข้า 2 ส่วนโดยน้ำหนัก 3. กรณีเส้นไหมที่มีถิ่นกำเนิดและส่งมาจากประเทศสมาชิกอาเซียน (AFTA) ซึ่งมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) จากประเทศผู้ผลิตมาแสดงประกอบคำขออนุญาต ไม่ต้องรับซื้อเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ
สำหรับโรงงานสาวไหมที่มีความประสงค์จะขายเส้นไหมที่ผลิตภายในประเทศ ต้องจดทะเบียนเป็นโรงงานสาวไหมจดทะเบียน โดยยื่นคำขอต่อกรมการค้าต่างประเทศพร้อมแสดงเอกสารดังนี้ 1. สำเนาทะเบียนพาณิชย์หรือสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 2. หนังสือรับรองการรับซื้อรังไหมในประเทศ 3. หนังสือให้คำรับรองปริมาณการรับซื้อรังไหม ปริมาณการผลิต และปริมาณการจำหน่ายเส้นไหม 4. หนังสือให้คำรับรองการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรม การค้าต่างประเทศ ซึ่งโรงงานสาวไหมจดทะเบียนที่ไม่ปฏิบัติตามคำรับรองที่กำหนด ไม่ส่งรายงาน นำเส้นไหมที่ไม่ได้ผลิตเองมาขาย ออกใบเสร็จรับเงินโดยไม่ได้ขายเส้นไหมให้ผู้ขออนุญาตนำเข้า หรือทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ขออนุญาตนำเข้าเส้นไหม โดยมีเจตนาไม่ส่งมอบเส้นไหมตามระยะเวลาที่กำหนด กรมการค้าต่างประเทศจะพิจารณาตักเตือนภาคทัณฑ์ หรือเพิกถอนการจดทะเบียนเป็นโรงงานสาวไหมจดทะเบียน ตามแต่กรณี
จากสถิติการนำเข้าเส้นไหม (เส้นไหมดิบและเส้นไหมสำเร็จ) ปี 2547 มีปริมาณ 521.91 ตัน คิดเป็นมูลค่า 451.18 ล้านบาท และในปี 2548 มีปริมาณ 547.18 ตัน คิดเป็นมูลค่า 501.47 ล้านบาท ตลาดนำเข้าคือ จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-