วันนี้ (8 ก.ย.49) เวลา 14.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องวาระประชาชน ต้องใช้เงินเท่าไรพรรคมีคำตอบให้ชัดเจน และสามารถชี้แจงให้เห็นว่าเงินเหล่านี้ จะนำส่วนใดของเงินงบประมาณมาใช้ได้ ตรงนี้ตนอยากชี้แจงว่า การใช้จ่ายเงินงบประมาณ ของพรรคไทยรักไทยจะต้องเลิกคิดว่าเงินงบประมาณทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินของพรรคไทยรักไทย หรือเป็นเงินของรัฐบาล เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นเงินงบประมาณเป็นเงินของประชาชนทั้งสิ้น ในหลักการใช้เงินงบประมาณของพรรคประชาธิปัตย์จึงคำนึงอย่างยิ่งว่าจะต้องโปร่งใสจะต้องมีหลักธรรมมาภิบาล
เช่น เงินที่ได้รับจากสำนักงานสลากกินแบ่งวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเงินรายได้จากสลากกินแบ่งจะต้องนำเข้าระบบงบประมาณ ซึ่งทางรัฐบาลพรรคไทยรักไทยพูดออกมาว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลถึงไม่ทำพอมาถึงตอนนี้ก็คิดจะทำ ความจริงเงินนอกงบประมาณไม่ใช่มีเฉพาะเงินของกองสลากเท่านั้น เงินนอกงบประมาณมีอยู่ทั่วไป เหตุที่รัฐบาลที่ผ่านมาอนุญาตให้มีเงินนอกงบประมาณได้ก็จะเป็นกรณีไป
‘ ในกรณีของเงินสลาก พรรคประชาธิปัตย์เมื่อเป็นรัฐบาลไม่ได้พูดถึง เพราะว่ารายได้ส่วนใหญ่นั้นส่งคลังอยู่แล้ว ตนยกตัวเลขให้เห็นชัดเจนอย่างในสมัยชวน 2 ปี 2542 กองสลากส่งเงินนอกงบประมาณเข้าสู่ระบบ จำนวนสูงถึง 7,300 ล้านบาท และปี 2543 9,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เข้าคลัง คลังจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ ถือว่า เป็นภาษี’ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวและว่าแต่พอมาสมัยของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เงินที่ส่งคลังในปี 2544 มีส่งเพียง 4,800 ล้านบาท และปี 2545 จำนวน 5,400 ล้านบาท ปี 2546 — 2547 สูงขึ้นมาแต่ไม่ถึง 9,000 ล้านบาท ผมย้ำว่าในขณะที่มีการออกสลากในลักษณะที่เรียกว่า เป็นสลากประเภทพิเศษ ซึ่งสมัยก่อนจะออกได้แต่ละครั้งจะต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีและนำรายได้สุทธิไปใช้ในการกุศลนั้นๆ ปีหนึ่งอาจจะออก 3 -5 ครั้ง แต่ตอนหลังมาออกใหม่หมดออกทุกงวด รายได้ส่วนนี้ไม่เคยส่งเข้าคลัง” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า รายได้ส่วนที่ 2 ที่มีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นรายได้จากการออกสลากแบบ 3 ตัว และ 2 ตัว หวยบนดิน ซึ่งนำไปใช้จ่ายเป็นตัวเลขทั้งหมด 28,000 กว่าล้านบาท ถ้าใช้หลักของธรรมมาภิบาล ตนคิดว่าเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษี และเป็นเงินที่ควรเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง จะให้คนเพียงไม่กี่คนมาตัดสินใจในการใช้เงินไม่ได้ เพราะถือว่าผิดระบอบประชาธิปไตยที่ดี
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ที่น่าเป็นห่วงคือความรู้สึกของประชาชน เพราะรายได้สุทธิ 72 งวด จำนวน 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากหวยบนดิน นำไปใช้ในเรื่องกองทุนการศึกษาของนักเรียนที่ด้อยโอกาส หรือเรื่องของคนพิการ ซึ่งจริงๆแล้วในเรื่องของการศึกษาของคนด้วยโอกาส และคนพิการ จะมีสลากหรือไม่มีถือเป็นสิทธิของบุคคลเหล่านั้น ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องจัดงบประมาณให้
“ผมว่ามันน่าเกลียดที่จะมาบอกว่า ถ้าเลิกหวยแล้วไม่มีกองทุนให้นักเรียนไปเรียนหนังสือ มันน่าเกลียดเกินที่จะมาบอกว่า ถ้าไม่มีหวยบนดิน คนพิการจะเดือดร้อน ทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องขอย้ำว่ารัฐบาลต้องเลิกที่จะเอาเรื่องที่มันไม่ดี ไม่ถูกต้องและ มีรายได้ไปผูกกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำอยู่แล้ว แนวความคิดเรื่องธรรมาภิบาลของการจัดงบประมาณ คือการบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความคล่องตัว และ อนุญาตให้ทำได้แต่ต้องเป็นจำนวนที่ไม่มากเกินไป ปีหนึ่งไม่น่าจะเกิน 100 ล้านบาท สูงสุดไม่น่าจะเกิน 200 ล้านบาท แต่ถ้ามากกว่านั้น และไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ ทำไม่ได้ต้องเอากลับเข้าเป็นงบประมาณทั้งหมด ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายวราเทพ รัตนากร รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง วิพากษ์วิจารณ์ว่า ผู้ว่าซีอีโอของพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยที่จะมีการนำงบประมาณไปอยู่ในมือของคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวจำนวนมากปีละ 40,000 ล้านบาท จังหวัดละ 1 คน มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณา พรรคประชาธิปัตย์เชื่อในระบอบประชาธิปไตยที่มีผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกตั้ง พรรคจึงเชื่อในการกระจายรายได้ พรรคจึงเชื่อว่า เงินงบประมาณเหล่านี้ต้องนำสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีโอกาสพิจารณาตามระบอบประชาธิปไตย
“พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความเชื่อว่า รัฐบาลตั้งนาย ก. นาย ข นาย ค.เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งจังหวัดใดจะตัดสินใจได้ทุกเรื่อง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ผู้ว่าฯ จะต้องมีเงินในกระเป๋าเพื่อแก้ไขปัญหาบ้าง แต่ไม่ทำทุกเรื่อง หรือทำทั้งหมด โดยเอางบประมาณถึง 40,000 ล้านบาท ผมจึงเห็นด้วยกับที่นายวราเทพพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์มองกันคนละอย่างสิ้นเชิง เพราะพรรคเห็นว่าการใช้เงินงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนจะต้องมาก่อน พรรคจะต้องคำนึงถึงว่าเงินทั้งหมดไม่ใช้เงินของผู้บริหาร ไม่ใช่เงินของรัฐบาลเป็นเงินของประชาชนทั้ง 2 ประเด็นที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าหากได้เป็นรัฐบาล หวยบนดินพรรคประชาธิปัตย์จะยกเลิกหรือไม่ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งเสริมเรื่องของการพนัน แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า วันนี้ถ้าอยากจะเลิกก็เลิกไม่ได้ เพราะว่าอีกนานก็จะมีหวยที่เรียกว่าหวยตู้ถูกฎหมาย และเป็นเรื่องที่รัฐบาลในอดีตได้ลงนามเซ็นสัญญาไว้ ตนก็เชื่อว่า เรื่องหวย 2 — 3 ตัวที่จะกลายเป็นหวยตู้ก็ต้องเกิดขึ้น
“ใครจะเลิกหวยบนดินวันนี้ เลิกไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปีก็จะมีหวยบนดินอีกรูปแบบหนึ่งอยู่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่พรรคอยากจะเห็นคือไม่อยากจะเห็นหรือสนับสนุนว่า ไปเล่นหวยบนดินเถอะดี เพราะรายได้ที่เกิดขึ้นไปช่วยคนพิการ พรรคไม่อยากจะให้ความรู้สึกของคนบอกตัวเองได้ว่า ไปเล่นหวยมันไม่ดีหรอกแต่ว่ามันก็มีส่วนดี เพราะไปช่วยในเรื่องของทุนการศึกษาให้เด็ก และนโยบายพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ต้องมีทุนการศึกษาเพราะเด็กทุกคนเรียนฟรีอยู่แล้วโดยพรรคจะจัดงบประมาณให้โดยเฉพาะ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ต่อข้อถามถึงการที่ นายวราเทพ รัตนาการ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขุดคุ้ยเรื่องเก่าเรื่องงบมิยาซาวา มาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า งบมิยาซาวา เป็นเงินที่พรรคประชาธิปัตย์ไปกู้มา การที่จะไปกู้เงินมาจากใครนั้น ไม่เหมือนการที่มีเงินสดอยู่ในมือ เพราะว่าผู้ให้กู้จะมีข้อกำหนดจะต้องมีการประเมินกันตามหลักและเงินกู้งบมิยาซาวา คนที่เป็นผู้ประเมินก็คือ ทริส (TRIS) ได้ทำการประเมินออกมาถือว่าใช้ได้ ไม่มีความเสียหาย
“ผมอยากฝากว่าการใช้งบประมาณเป็นเรื่องสำคัญความจริง เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ก.ย.49) พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มาแถลงถึงการใช้เงินงบประมาณ พรรคประชาธิปัตย์มาบอกแต่เพียงว่านโยบายหลักของพรรคในด้านการศึกษา ในด้านของสุขภาพนั้น พรรคทำได้และมีเงินจะทำ เงินก็ไม่มากและมีตัวเลขชัดเจน” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้วางแผนงบประมาณที่จะนำมาใช้ในวาระประชาชน โดยผ่านการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนต่าง รวมทั้งส่วนที่รัฐบาลทักษิณนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาโดยตลอด ทั้งงบผู้ว้าซีอีโอ งบกลาง ตรงนี้พรรคจะนำมาจัดการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ผ่านวาระประชาชน ทั้งด้านต่างๆ
“เงินงบประมาณกลาง ที่รัฐบาลกำหนดขึ้น หรือกำหนดขึ้นในกระทรวงต่าง ๆ นั้น เป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่หลายคนพยายามเข้าไปหาส่วนแบ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า น่าจะทำเงินดังกล่าวนั้นมาจัดการให้เหมาะสม และทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 ก.ย. 2549--จบ--
เช่น เงินที่ได้รับจากสำนักงานสลากกินแบ่งวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเงินรายได้จากสลากกินแบ่งจะต้องนำเข้าระบบงบประมาณ ซึ่งทางรัฐบาลพรรคไทยรักไทยพูดออกมาว่า ทำไมสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลถึงไม่ทำพอมาถึงตอนนี้ก็คิดจะทำ ความจริงเงินนอกงบประมาณไม่ใช่มีเฉพาะเงินของกองสลากเท่านั้น เงินนอกงบประมาณมีอยู่ทั่วไป เหตุที่รัฐบาลที่ผ่านมาอนุญาตให้มีเงินนอกงบประมาณได้ก็จะเป็นกรณีไป
‘ ในกรณีของเงินสลาก พรรคประชาธิปัตย์เมื่อเป็นรัฐบาลไม่ได้พูดถึง เพราะว่ารายได้ส่วนใหญ่นั้นส่งคลังอยู่แล้ว ตนยกตัวเลขให้เห็นชัดเจนอย่างในสมัยชวน 2 ปี 2542 กองสลากส่งเงินนอกงบประมาณเข้าสู่ระบบ จำนวนสูงถึง 7,300 ล้านบาท และปี 2543 9,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เข้าคลัง คลังจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ ถือว่า เป็นภาษี’ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวและว่าแต่พอมาสมัยของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เงินที่ส่งคลังในปี 2544 มีส่งเพียง 4,800 ล้านบาท และปี 2545 จำนวน 5,400 ล้านบาท ปี 2546 — 2547 สูงขึ้นมาแต่ไม่ถึง 9,000 ล้านบาท ผมย้ำว่าในขณะที่มีการออกสลากในลักษณะที่เรียกว่า เป็นสลากประเภทพิเศษ ซึ่งสมัยก่อนจะออกได้แต่ละครั้งจะต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีและนำรายได้สุทธิไปใช้ในการกุศลนั้นๆ ปีหนึ่งอาจจะออก 3 -5 ครั้ง แต่ตอนหลังมาออกใหม่หมดออกทุกงวด รายได้ส่วนนี้ไม่เคยส่งเข้าคลัง” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า รายได้ส่วนที่ 2 ที่มีจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นรายได้จากการออกสลากแบบ 3 ตัว และ 2 ตัว หวยบนดิน ซึ่งนำไปใช้จ่ายเป็นตัวเลขทั้งหมด 28,000 กว่าล้านบาท ถ้าใช้หลักของธรรมมาภิบาล ตนคิดว่าเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษี และเป็นเงินที่ควรเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง จะให้คนเพียงไม่กี่คนมาตัดสินใจในการใช้เงินไม่ได้ เพราะถือว่าผิดระบอบประชาธิปไตยที่ดี
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ที่น่าเป็นห่วงคือความรู้สึกของประชาชน เพราะรายได้สุทธิ 72 งวด จำนวน 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากหวยบนดิน นำไปใช้ในเรื่องกองทุนการศึกษาของนักเรียนที่ด้อยโอกาส หรือเรื่องของคนพิการ ซึ่งจริงๆแล้วในเรื่องของการศึกษาของคนด้วยโอกาส และคนพิการ จะมีสลากหรือไม่มีถือเป็นสิทธิของบุคคลเหล่านั้น ที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องจัดงบประมาณให้
“ผมว่ามันน่าเกลียดที่จะมาบอกว่า ถ้าเลิกหวยแล้วไม่มีกองทุนให้นักเรียนไปเรียนหนังสือ มันน่าเกลียดเกินที่จะมาบอกว่า ถ้าไม่มีหวยบนดิน คนพิการจะเดือดร้อน ทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องขอย้ำว่ารัฐบาลต้องเลิกที่จะเอาเรื่องที่มันไม่ดี ไม่ถูกต้องและ มีรายได้ไปผูกกับสิ่งที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำอยู่แล้ว แนวความคิดเรื่องธรรมาภิบาลของการจัดงบประมาณ คือการบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความคล่องตัว และ อนุญาตให้ทำได้แต่ต้องเป็นจำนวนที่ไม่มากเกินไป ปีหนึ่งไม่น่าจะเกิน 100 ล้านบาท สูงสุดไม่น่าจะเกิน 200 ล้านบาท แต่ถ้ามากกว่านั้น และไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ ทำไม่ได้ต้องเอากลับเข้าเป็นงบประมาณทั้งหมด ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายวราเทพ รัตนากร รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง วิพากษ์วิจารณ์ว่า ผู้ว่าซีอีโอของพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยที่จะมีการนำงบประมาณไปอยู่ในมือของคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวจำนวนมากปีละ 40,000 ล้านบาท จังหวัดละ 1 คน มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณา พรรคประชาธิปัตย์เชื่อในระบอบประชาธิปไตยที่มีผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านการเลือกตั้ง พรรคจึงเชื่อในการกระจายรายได้ พรรคจึงเชื่อว่า เงินงบประมาณเหล่านี้ต้องนำสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีโอกาสพิจารณาตามระบอบประชาธิปไตย
“พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความเชื่อว่า รัฐบาลตั้งนาย ก. นาย ข นาย ค.เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งจังหวัดใดจะตัดสินใจได้ทุกเรื่อง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่ผู้ว่าฯ จะต้องมีเงินในกระเป๋าเพื่อแก้ไขปัญหาบ้าง แต่ไม่ทำทุกเรื่อง หรือทำทั้งหมด โดยเอางบประมาณถึง 40,000 ล้านบาท ผมจึงเห็นด้วยกับที่นายวราเทพพูดว่า พรรคประชาธิปัตย์มองกันคนละอย่างสิ้นเชิง เพราะพรรคเห็นว่าการใช้เงินงบประมาณเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนจะต้องมาก่อน พรรคจะต้องคำนึงถึงว่าเงินทั้งหมดไม่ใช้เงินของผู้บริหาร ไม่ใช่เงินของรัฐบาลเป็นเงินของประชาชนทั้ง 2 ประเด็นที่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่าหากได้เป็นรัฐบาล หวยบนดินพรรคประชาธิปัตย์จะยกเลิกหรือไม่ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งเสริมเรื่องของการพนัน แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า วันนี้ถ้าอยากจะเลิกก็เลิกไม่ได้ เพราะว่าอีกนานก็จะมีหวยที่เรียกว่าหวยตู้ถูกฎหมาย และเป็นเรื่องที่รัฐบาลในอดีตได้ลงนามเซ็นสัญญาไว้ ตนก็เชื่อว่า เรื่องหวย 2 — 3 ตัวที่จะกลายเป็นหวยตู้ก็ต้องเกิดขึ้น
“ใครจะเลิกหวยบนดินวันนี้ เลิกไปอีก 6 เดือนหรือ 1 ปีก็จะมีหวยบนดินอีกรูปแบบหนึ่งอยู่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่พรรคอยากจะเห็นคือไม่อยากจะเห็นหรือสนับสนุนว่า ไปเล่นหวยบนดินเถอะดี เพราะรายได้ที่เกิดขึ้นไปช่วยคนพิการ พรรคไม่อยากจะให้ความรู้สึกของคนบอกตัวเองได้ว่า ไปเล่นหวยมันไม่ดีหรอกแต่ว่ามันก็มีส่วนดี เพราะไปช่วยในเรื่องของทุนการศึกษาให้เด็ก และนโยบายพรรคประชาธิปัตย์คงไม่ต้องมีทุนการศึกษาเพราะเด็กทุกคนเรียนฟรีอยู่แล้วโดยพรรคจะจัดงบประมาณให้โดยเฉพาะ” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ต่อข้อถามถึงการที่ นายวราเทพ รัตนาการ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขุดคุ้ยเรื่องเก่าเรื่องงบมิยาซาวา มาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า งบมิยาซาวา เป็นเงินที่พรรคประชาธิปัตย์ไปกู้มา การที่จะไปกู้เงินมาจากใครนั้น ไม่เหมือนการที่มีเงินสดอยู่ในมือ เพราะว่าผู้ให้กู้จะมีข้อกำหนดจะต้องมีการประเมินกันตามหลักและเงินกู้งบมิยาซาวา คนที่เป็นผู้ประเมินก็คือ ทริส (TRIS) ได้ทำการประเมินออกมาถือว่าใช้ได้ ไม่มีความเสียหาย
“ผมอยากฝากว่าการใช้งบประมาณเป็นเรื่องสำคัญความจริง เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ก.ย.49) พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้มาแถลงถึงการใช้เงินงบประมาณ พรรคประชาธิปัตย์มาบอกแต่เพียงว่านโยบายหลักของพรรคในด้านการศึกษา ในด้านของสุขภาพนั้น พรรคทำได้และมีเงินจะทำ เงินก็ไม่มากและมีตัวเลขชัดเจน” กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคได้วางแผนงบประมาณที่จะนำมาใช้ในวาระประชาชน โดยผ่านการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนต่าง รวมทั้งส่วนที่รัฐบาลทักษิณนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาโดยตลอด ทั้งงบผู้ว้าซีอีโอ งบกลาง ตรงนี้พรรคจะนำมาจัดการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ผ่านวาระประชาชน ทั้งด้านต่างๆ
“เงินงบประมาณกลาง ที่รัฐบาลกำหนดขึ้น หรือกำหนดขึ้นในกระทรวงต่าง ๆ นั้น เป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่หลายคนพยายามเข้าไปหาส่วนแบ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า น่าจะทำเงินดังกล่าวนั้นมาจัดการให้เหมาะสม และทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 8 ก.ย. 2549--จบ--