เวียดนามและกัมพูชาเบียดเครื่องนุ่งห่มไทยในตลาดสหรัฐฯ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 14, 2006 13:47 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

          เวียดนามและกัมพูชาส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปตลาดสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นเบียดคู่ค้าอย่างไทยตกอันดับจาก 9 เป็นอันดับที่ 11 ไทยควรปรับตัวเร่งพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันและช่วงชิงโอกาสในการเข้าไปขยายตลาดวัตถุดิบในเวียดนามและกัมพูชา
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยในตลาดสหรัฐฯ ว่า ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา (2544-2548) สหรัฐฯ มีการนำเข้าเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 5% โดยนำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ในขณะที่นำเข้าจากไทยลดลง โดยปี 2549 (ม.ค.-ส.ค.) สหรัฐฯ นำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากไทยมูลค่า 1,243.6 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.5 แต่อันดับคู่ค้าของไทยกลับลดลงจากอันดับที่ 9 ในปี 2548 เป็นอันดับที่ 11 ในปี 2549 ขณะที่นำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากเวียดนามมูลค่า 2,143.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 และกัมพูชา 1,351.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.9 ทำให้อันดับคู่ค้าของเวียดนามสูงขึ้นจาก 7 เป็น 5 และกัมพูชาจาก 13 เป็น 9
นางสาวชุติมา กล่าวว่า สาเหตุที่ความสามารถในการแข่งขันสินค้าเครื่องนุ่งห่มของไทยในตลาดสหรัฐฯ ลดลง เกิดจากไทยมีต้นทุนการผลิต ค่าจ้างแรงงานและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น และการขาดแคลนแรงงานฝีมือเป็นบางช่วง ทำให้ไม่สามารถตอบสนองในเรื่องเวลาการส่งมอบได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตไทยบางส่วนยังย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งดึงฐานลูกค้าเก่าไปด้วย ในขณะที่เวียดนามและกัมพูชาสามารถส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากเวียดนามมีการวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไว้เป็นแผนระยะยาว มีมาตรการส่งเสริม/ สนับสนุนที่ชัดเจน มีการปรับปรุงกฎหมายส่งเสริมการลงทุนใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนต่างชาติสูง มีค่าจ้างแรงงานต่ำ ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่ำ และแรงงานมีโอกาสในการพัฒนาสูงโดยเฉพาะในเรื่องภาษา ประกอบกับเวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิก WTO ทำให้เวียดนามสามารถส่งออกสิ่งทอไปสหรัฐฯ ได้โดยไม่มีโควตา ส่วนกัมพูชาก็ได้รับสิทธิประโยชน์ GSP จากสหรัฐฯ และมีค่าจ้างแรงงานต่ำ จึงมีนักลงทุนจากต่างชาติรวมทั้งไทยเข้าไปลงทุนเพื่อใช้สิทธิประโยชน์มากขึ้น
"ไทยควรเร่งพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน โดยการขยายและทำตลาดในเชิงรุก พัฒนาระบบ Supply chain กับลูกค้า ยกระดับการผลิต มีการนำเสนอด้านดีไซน์และสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้รัฐและเอกชนควรร่วมกันสร้างโรงงานต้นแบบที่มีห้องปฎิบัติการ เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อวิจัยค้นคว้านวัตกรรมใหม่ รวมทั้งไทยน่าจะช่วงชิงโอกาสในการเข้าไปขยายตลาดวัตถุดิบในเวียดนามและกัมพูชาด้วย" นางสาวชุติมากล่าว
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (66) 2282-6171-9 แฟกซ์ (66) 2280-0775
-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ