วันนี้ (1 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมากล่าวตอบโต้ นายศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย จากกรณีที่ได้ออกมาแถลงว่ามีข้อสงสัยบางประการจากคำปราศรัยของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า คุณศิธา ยังไม่เข้าใจคำพูดที่ชัดเจนของท่านหัวหน้าพรรคที่ว่าจากวันนี้ไปจะไม่มีนายกฯ คนเหนือ คนใต้ จะไม่มีนายกฯ ประชาธิปัตย์ หรือนายกฯ ไทยรักไทย จะมีแต่นายกฯ ของประเทศไทยเท่านั้น จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์คิดในเรื่อง วาระประชาชนนั้น ต้องการทำทุกอย่างเพื่อความผาสุก และความอยู่ดีกินดีของประชาชน สิ่งใดทำดีและเป็นประโยชน์ เราก็จะทำ แต่ทั้งนี้ก็อยากจะให้ โฆษกไทยรักไทย กลับไปดูนโยบายจริง ๆ ว่า ข้อแตกต่างของนโยบายนั้นมีอะไรบ้าง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยกล่าวหาว่าพรรคไทยรักไทยลอกเลียนแบบนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่เราภูมิใจด้วยซ้ำว่า นโยบายของรัฐบาลทักษิณ 1 ทำต่อเนื่องจากรัฐบาลชวน 2 เพียงแต่เปลี่ยนชื่อโครงการเพื่อให้ดูเก๋ ทันสมัย ด้วยวิธีการตลาดเท่านั้น เช่น ธนาคารชุมชนของธนาคารออมสิน เป็นนโยบายเดิมในสมัยที่คุณธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ อดีตรมต.กระทรวงการคลัง ได้ริเริ่มดำเนินการเอาไว้ แม้กระทั่งนโยบายช่วยเหลือบริษัทเอสเอ็มอี ทั้งหลาย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นผู้ริเริ่มไว้โดยรัฐบาลทักษิณ 1 ก็ได้ให้เกียรติมาสานต่อ นอกจากนี้ยังมีนโยบายการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร รัฐบาลทักษิณก็ยังให้เกียรติทำต่อจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่โครงการนี้ทำต่อได้อย่างเลอะเทอะ เพราะปล่อยให้พวกพ้องเข้ามาสูบ มาหากินกับกองทุนนี้ แม้กระทั่งนโยบายโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาชีวิตครู เป็นต้น
ทั้งนี้นายจุติกล่าวต่อไปว่า ท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวชัดเจนเอาไว้ว่า จะมารักษาความป่วยของโครงการ 30 บาท ซึ่งเดิมพรรคประชาธิปัตย์ทำโครงการคนจนรักษาฟรีอยู่แล้วไม่ต้องเสียแม้กระทั่ง 30 บาท แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยใช้วิธีการโฆษณาทางการตลาดเข้ามา แต่เมื่อปฏิบัติทำให้คุณภาพไม่เป็นไปตามคำโฆษณา ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องกลับมาทำให้โครงการนี้มีคุณภาพเต็มร้อย ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ของพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใดที่มีนโยบายรักษาคนจนฟรี
ส่วนเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปี 2540 นั้น นายจุติต้องการให้โฆษกฯ พรรคไทยรักไทย กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังก่อนปี 2540 ว่าใครทำฉิบหายไว้ ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยนั้นไม่ได้เริ่มต้นเมื่อปี 2540 สิ่งที่ชัดเจนคือพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วยการจัดตั้งบริษัทจำกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการให้กับประชาชน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำหุ้นของบริษัทเหล่านั้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยแม้แต่บริษัทเดียว ซึ่งผู้ที่นำหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปเป็นบริษัทจำกัดนำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือรัฐบาลทักษิณ 1 ทั้งหมดเลย อาทิ หุ้นปตท. เป็นต้น ซึ่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยหลายคนรวยกันถ้วนหน้า และที่กำลังจะทำอีกคือ กฟผ.
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชวลิต 1 นั้น ได้เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเป็นผู้เปิดเผยว่า การขายหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในบริษัทเอสโซ่ จะเป็นช่องทางทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นรองนายกฯ ทักษิณ ได้ไปประกาศที่ประเทศสิงคโปร์ด้วยว่ารัฐวิสาหกิจของไทยมีความพร้อมที่จะแปรรูปได้ และมีแผนการที่จะเปิดให้สาธารณชนได้เข้าร่วมถือหุ้นได้แก่บริษัท การบินไทย เป็นต้น
“ถ้าไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ระยะนี้ ให้ไปถามหัวหน้าพรรคท่านเอง ว่าใครคือต้นคิดในการกล่าวหาขายชาติ และใครเป็นคนที่มีพฤติกรรมการขายชาติ อยากฝากถามด้วยว่าคณะกรรมการชุดใด ที่อดีตรองนายกฯ ทักษิณ เป็นประธานพิจารณาโครงการแปรสภาพองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการจัดหาพันธมิตรร่วมทุนและผู้ลงทุนเฉพาะราย ในวันนั้นคนยังไม่เห็นภาพจิ๊กซอว์ ที่สมบูรณ์ชัดเจน 9 ปีให้หลัง ภาพต่ออันนี้สมบูรณ์แล้ว อย่างน้อยผู้ลงคะแนน 13 ล้านคนก็รู้ทันพฤติกรรมที่รับไม่ได้นี้ และเมื่อ 6 ปีมาแล้ว คนทั้งประเทศเชื่อว่า คนรวยแล้วไม่โกง แต่ 5 ปีต่อมา คนไทยทั้งประเทศเชื่อโดยสนิทใจเลยว่า “โกงแล้วโครตรวย” นายจุติ กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2549--จบ--
ทั้งนี้นายจุติกล่าวต่อไปว่า ท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวชัดเจนเอาไว้ว่า จะมารักษาความป่วยของโครงการ 30 บาท ซึ่งเดิมพรรคประชาธิปัตย์ทำโครงการคนจนรักษาฟรีอยู่แล้วไม่ต้องเสียแม้กระทั่ง 30 บาท แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยใช้วิธีการโฆษณาทางการตลาดเข้ามา แต่เมื่อปฏิบัติทำให้คุณภาพไม่เป็นไปตามคำโฆษณา ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องกลับมาทำให้โครงการนี้มีคุณภาพเต็มร้อย ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนหลักเกณฑ์ของพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใดที่มีนโยบายรักษาคนจนฟรี
ส่วนเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจปี 2540 นั้น นายจุติต้องการให้โฆษกฯ พรรคไทยรักไทย กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังก่อนปี 2540 ว่าใครทำฉิบหายไว้ ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยนั้นไม่ได้เริ่มต้นเมื่อปี 2540 สิ่งที่ชัดเจนคือพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วยการจัดตั้งบริษัทจำกัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการให้กับประชาชน แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยนำหุ้นของบริษัทเหล่านั้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยแม้แต่บริษัทเดียว ซึ่งผู้ที่นำหุ้นของรัฐวิสาหกิจที่แปรรูปเป็นบริษัทจำกัดนำไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือรัฐบาลทักษิณ 1 ทั้งหมดเลย อาทิ หุ้นปตท. เป็นต้น ซึ่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยหลายคนรวยกันถ้วนหน้า และที่กำลังจะทำอีกคือ กฟผ.
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชวลิต 1 นั้น ได้เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเป็นผู้เปิดเผยว่า การขายหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในบริษัทเอสโซ่ จะเป็นช่องทางทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นรองนายกฯ ทักษิณ ได้ไปประกาศที่ประเทศสิงคโปร์ด้วยว่ารัฐวิสาหกิจของไทยมีความพร้อมที่จะแปรรูปได้ และมีแผนการที่จะเปิดให้สาธารณชนได้เข้าร่วมถือหุ้นได้แก่บริษัท การบินไทย เป็นต้น
“ถ้าไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ระยะนี้ ให้ไปถามหัวหน้าพรรคท่านเอง ว่าใครคือต้นคิดในการกล่าวหาขายชาติ และใครเป็นคนที่มีพฤติกรรมการขายชาติ อยากฝากถามด้วยว่าคณะกรรมการชุดใด ที่อดีตรองนายกฯ ทักษิณ เป็นประธานพิจารณาโครงการแปรสภาพองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการจัดหาพันธมิตรร่วมทุนและผู้ลงทุนเฉพาะราย ในวันนั้นคนยังไม่เห็นภาพจิ๊กซอว์ ที่สมบูรณ์ชัดเจน 9 ปีให้หลัง ภาพต่ออันนี้สมบูรณ์แล้ว อย่างน้อยผู้ลงคะแนน 13 ล้านคนก็รู้ทันพฤติกรรมที่รับไม่ได้นี้ และเมื่อ 6 ปีมาแล้ว คนทั้งประเทศเชื่อว่า คนรวยแล้วไม่โกง แต่ 5 ปีต่อมา คนไทยทั้งประเทศเชื่อโดยสนิทใจเลยว่า “โกงแล้วโครตรวย” นายจุติ กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2549--จบ--