นางสุชาดา กิระกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนตุลาคม 2548 ในวันที่ 28 ตุลาคม 2548 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อนหน้า โดยในไตรมาสแรกชะลอตัวลงมาก และเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สอง ส่วนไตรมาสที่สามมีการขยายตัวต่อเนื่อง ปีนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบหลายประการตั้งแต่ต้นปี อาทิ ภัยแล้งในภาคเกษตร ผลกระทบจากสึนามิ และโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศและการส่งออกชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสที่สามของปี 2548 แม้ว่าอุปสงค์ในประเทศยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่การส่งออกสุทธิปรับตัวดีขึ้นมาก ขณะที่การผลิตภาคเกษตรเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี
แรงกดดันต่อเสถียรภาพภายในประเทศเร่งขึ้นจากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งราคาอาหารสดที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งจากผลของน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่สามของปี 2548 เร่งตัวขึ้นมากจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และส่งผ่านต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 2.2 อย่างไรก็ดี เสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากการส่งออกที่สูงขึ้น ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์ในครั้งที่แล้ว
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น มีผลทำให้ข้อสมมติราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ในอัตราที่เร่งตัวขึ้นกว่าเดิม
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชีย
4. รายจ่ายอุปโภคภาครัฐบาลในปีงบประมาณ 2548 ใกล้เคียงเดิม แต่ในปีงบประมาณ 2549 ปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับอัตราการเบิกจ่ายจริงในปีงบประมาณ 2548 ขณะที่การลงทุนภาครัฐในปีงบประมาณ 2548 ปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมมีความล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนในปีงบประมาณ 2549 ปรับลดลงสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ทบทวนปรับลดกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจปี 2549
5. ข้อสมมติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกในไตรมาสที่สามของปี 2548 กำหนดให้เป็นลบตามข้อมูลในอดีตที่ส่วนใหญ่จะลดลงประมาณหนึ่งในสามของมูลค่าสต็อกที่สะสมไว้ในช่วงสามไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ได้ปรับลดข้อสมมติการสะสมสต็อกลง เนื่องจากคาดว่าการนำเข้าเพื่อสะสมสต็อกจะไม่เร่งตัวเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2548 สำหรับระยะเวลาอื่น ๆ กำหนดข้อสมมติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกให้เป็นไปตามแนวโน้มปกติ
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป ความเสี่ยงด้านบวกได้แก่ อัตราการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งรัดให้สูงขึ้นได้ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจมีเพิ่มเติม ส่วนความเสี่ยงด้านลบได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังผันผวนและอาจสูงกว่าข้อสมมติ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอาจต่ำกว่าที่คาด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนปรับลดลง อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่การบริโภคและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่เข้มแข็งและรองรับผลกระทบได้ดีพอควร และเมื่อมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากการส่งออกสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบกับยังมีแรงกระตุ้นจากด้านการคลัง ทำให้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 4.25-4.75 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม ส่วนในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5-6.0 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม
แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเป็นสำคัญ และอาจส่งผลกระทบไปยังราคาสินค้าอื่นๆ ให้เร่งสูงขึ้น คณะกรรมการฯ จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2548 จะเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.5-5.0 จากที่เฉลี่ยร้อยละ 2.7 ในปีก่อน สูงกว่าที่คาดไว้เดิม ส่วนในปี 2549 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5-5.0 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.5-2.0 ในปี 2548 และเร่งขึ้นเข้าใกล้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เฉลี่ยร้อยละ 2.0-3.0 ในปี 2549 ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉลี่ยรายไตรมาส โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะออกนอกเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี ในช่วงท้ายของประมาณการมีมากขึ้นกว่าประมาณการในครั้งก่อน
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณาดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองของปี 2548 ขยายตัวได้สูงกว่าที่คาด แม้จะมีปัจจัยลบหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน สะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่เข้มแข็งและรองรับผลกระทบได้ดีพอควร ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชัดเจนทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ขณะที่มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวเกินเป้าหมาย รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มจะขาดดุลในปีนี้และปีหน้าต่อไป ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี
2. สำหรับการประชุมในวันที่ 19 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและปัจจัยลบเริ่มคลี่คลายลง แต่แรงกดดันต่อเสถียรภาพภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง และมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวมากขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวในเกณฑ์สูงและอาจเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายในปี 2549 ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 3.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 3.75 ต่อปี
คณะกรรมการฯ เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี ในการประชุมทั้งสองครั้ง น่าจะช่วยดูแลแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้นในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ได้ดีขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อนหน้า โดยในไตรมาสแรกชะลอตัวลงมาก และเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สอง ส่วนไตรมาสที่สามมีการขยายตัวต่อเนื่อง ปีนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญปัจจัยลบหลายประการตั้งแต่ต้นปี อาทิ ภัยแล้งในภาคเกษตร ผลกระทบจากสึนามิ และโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศและการส่งออกชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองเดือนแรกของไตรมาสที่สามของปี 2548 แม้ว่าอุปสงค์ในประเทศยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่การส่งออกสุทธิปรับตัวดีขึ้นมาก ขณะที่การผลิตภาคเกษตรเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี
แรงกดดันต่อเสถียรภาพภายในประเทศเร่งขึ้นจากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งราคาอาหารสดที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งจากผลของน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่สามของปี 2548 เร่งตัวขึ้นมากจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 5.6 และส่งผ่านต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 2.2 อย่างไรก็ดี เสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากการส่งออกที่สูงขึ้น ขณะที่การนำเข้าชะลอตัวลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์ในครั้งที่แล้ว
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น มีผลทำให้ข้อสมมติราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา แต่ในอัตราที่เร่งตัวขึ้นกว่าเดิม
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชีย
4. รายจ่ายอุปโภคภาครัฐบาลในปีงบประมาณ 2548 ใกล้เคียงเดิม แต่ในปีงบประมาณ 2549 ปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับอัตราการเบิกจ่ายจริงในปีงบประมาณ 2548 ขณะที่การลงทุนภาครัฐในปีงบประมาณ 2548 ปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมมีความล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนในปีงบประมาณ 2549 ปรับลดลงสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ทบทวนปรับลดกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจปี 2549
5. ข้อสมมติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกในไตรมาสที่สามของปี 2548 กำหนดให้เป็นลบตามข้อมูลในอดีตที่ส่วนใหญ่จะลดลงประมาณหนึ่งในสามของมูลค่าสต็อกที่สะสมไว้ในช่วงสามไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ได้ปรับลดข้อสมมติการสะสมสต็อกลง เนื่องจากคาดว่าการนำเข้าเพื่อสะสมสต็อกจะไม่เร่งตัวเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2548 สำหรับระยะเวลาอื่น ๆ กำหนดข้อสมมติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสต็อกให้เป็นไปตามแนวโน้มปกติ
สำหรับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป ความเสี่ยงด้านบวกได้แก่ อัตราการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งรัดให้สูงขึ้นได้ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจมีเพิ่มเติม ส่วนความเสี่ยงด้านลบได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังผันผวนและอาจสูงกว่าข้อสมมติ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอาจต่ำกว่าที่คาด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนปรับลดลง อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่การบริโภคและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่เข้มแข็งและรองรับผลกระทบได้ดีพอควร และเมื่อมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากการส่งออกสุทธิที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบกับยังมีแรงกระตุ้นจากด้านการคลัง ทำให้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 จะขยายตัวร้อยละ 4.25-4.75 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม ส่วนในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5-6.0 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม
แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเป็นสำคัญ และอาจส่งผลกระทบไปยังราคาสินค้าอื่นๆ ให้เร่งสูงขึ้น คณะกรรมการฯ จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2548 จะเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.5-5.0 จากที่เฉลี่ยร้อยละ 2.7 ในปีก่อน สูงกว่าที่คาดไว้เดิม ส่วนในปี 2549 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5-5.0 ใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเฉลี่ยที่ร้อยละ 1.5-2.0 ในปี 2548 และเร่งขึ้นเข้าใกล้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เฉลี่ยร้อยละ 2.0-3.0 ในปี 2549 ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉลี่ยรายไตรมาส โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะออกนอกเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี ในช่วงท้ายของประมาณการมีมากขึ้นกว่าประมาณการในครั้งก่อน
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณาดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองของปี 2548 ขยายตัวได้สูงกว่าที่คาด แม้จะมีปัจจัยลบหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมัน สะท้อนว่าเศรษฐกิจมีพื้นฐานที่เข้มแข็งและรองรับผลกระทบได้ดีพอควร ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นชัดเจนทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ขณะที่มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวเกินเป้าหมาย รวมทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มจะขาดดุลในปีนี้และปีหน้าต่อไป ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรอยู่ในทิศทางขาขึ้น เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็นร้อยละ 3.25 ต่อปี
2. สำหรับการประชุมในวันที่ 19 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและปัจจัยลบเริ่มคลี่คลายลง แต่แรงกดดันต่อเสถียรภาพภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง และมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวมากขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวในเกณฑ์สูงและอาจเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายในปี 2549 ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในประเทศกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมต่อการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.50 ต่อปี จากร้อยละ 3.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 3.75 ต่อปี
คณะกรรมการฯ เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี ในการประชุมทั้งสองครั้ง น่าจะช่วยดูแลแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้นในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ได้ดีขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--