“โฆษกพรรค ปชป.” แนะ “นายกฯ” ลาออก ระบุ ขณะนี้ประเทศชาติเดินหน้าไม่ได้ ส่งกระทบทุกด้าน เชื่อ จะมีสมาชิก ทรท.ลาออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลับใจมาอยู่ข้างประชาชน เตือนอย่าเติมเชื้อไฟใส่ผู้ชุมนุม
วันนี้ (6 มี.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงนัดชุมนุมจนกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก ว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามปกติ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และคิดว่า การชุมนุมมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อออกไป จึงอยากให้นายกฯได้ทบทวนว่าจะมีทางออกอย่างไรไม่ให้การชุมนุมยืดเยื้อต่อไป
เพราะข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเกี่ยวข้องกับนายกฯเป็นด้านหลัก ดังนั้น จะหวังให้บุคคลอื่น หรือส่วนอื่น ๆ ของสังคมทบทวนข้อเรียกร้องเหล่านั้น คงจะเป็นเรื่องยาก และคิดว่า หากนายกฯยังยืนยันไม่ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม จะทำให้กระแสการกดดัน กระแสการต่อต้านนายกฯจะมีมากขึ้น และจะยิ่งส่งผลต่อความเหมาะสม หรือความสง่างามในการเป็นนายกรัฐมนตรี
“ถ้านายกฯไม่อยากให้ประเทศชาติบ้านเมืองลดต่ำลงไปทุกวัน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองก็ตาม ก็น่าจะพิจารณา ไม่ควรให้มีการชุมนุมที่ยืดเยื้อออกไปอีก ในเมื่อสาเหตุของการชุมนุมมาจากท่าน ท่านก็ควรจะพิจารณา และท่านคือนายกฯของประเทศไทย มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้เกิดความสงบสุขของประเทศ ไม่ทำให้สังคมไทยแตกแยก และต้องทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แต่ผมคิดว่า บรรยากาศขณะนี้ไม่สามารถที่จะทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ และยังมีแนวโน้มจะค่อย ๆ ถอยหลังไปเรื่อย” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชุมนุมโดยใช้วิธีอหิงสา หรือสันติวิธี สามารถที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลต้องระมัดระวังอย่าให้มีฝ่ายตรงกันข้ามกับผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะมาโดยวิธีใดก็ตาม มาสร้างปัญหาการชุมนุมให้เกิดขึ้น และนายกฯ หรือบุคคลในรัฐบาลจะต้องระมัดระวัง อย่าใช้วิธีการต่าง ๆ ในการเติมเชื้อไฟเข้าใส่ผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะด้วยคำพูดที่เยาะเย้ยถากถาง หรือแม้แต่การกระทำใด ๆ ทั้งเปิดเผย และทางลับ เป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวัง
สำหรับกรณีที่ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า ยังจะมีสมาชิกพรรคไทยรักไทยทยอยออกเรื่อย ๆ เพราะสถานการณ์ทำให้คนได้คิดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่า ควรจะตัดสินใจอนาคตของตัวเองอย่างไร และเชื่อว่า หลายคนเริ่มที่คิดว่าจะอยู่เสวยสุขบนความทุกข์ ความเดือดร้อนของประเทศชาติบ้านเมือง หรือจะตัดสินใจมายืนอยู่ข้างพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายกฯไปตีกอล์ฟที่สนามบินน้ำ ซึ่งเป็นสนามของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ว่า เป็นความต้องการสร้างภาพให้เห็นว่าพยายามพบปะกับคนนั้นคนนี้ จนลืมเนื้อหาสาระที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.ต.สนั่น ยังมีจุดยืนเหมือนเดิม และยังหัวเราะว่า นายกฯคิดอะไรพิลึกขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายอดิศร เพียงเกษ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ระบุว่า ให้ปลุกวิญญาณ นายควง อภัยวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคมาเตือนสติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายอดิศร ควรจะดูตัวเองมากกว่า เพราะอายุของนายอดิศรใกล้จะ 60 ปีแล้ว วันหนึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคอมมิวนิสต์ วันหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย และอยู่พรรคการเมืองมาไม่รู้กี่พรรค ขายตัวมาไม่รู้กี่รอบแล้ว
ตนคิดว่า นายอดิศร ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ว่า 60 ปีแล้วพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนประชาธิปไตยอย่างไร เพราะจุดยืนของพรรค 60 ปี เป็นจุดยืนที่ชัดเจนมาโดยตลอด จนกระทั่งการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เป็นการแสดงจุดยืนในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการต่อสู้ทางการเมือง แนวสันติวิธีในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ตนยืนยันว่า 60 ปี ของพรรคยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตลอดเวลา ไม่มีอะไรเบี่ยงเบนไปจากนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มี.ค. 2549--จบ--
วันนี้ (6 มี.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงนัดชุมนุมจนกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก ว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามปกติ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และคิดว่า การชุมนุมมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อออกไป จึงอยากให้นายกฯได้ทบทวนว่าจะมีทางออกอย่างไรไม่ให้การชุมนุมยืดเยื้อต่อไป
เพราะข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเกี่ยวข้องกับนายกฯเป็นด้านหลัก ดังนั้น จะหวังให้บุคคลอื่น หรือส่วนอื่น ๆ ของสังคมทบทวนข้อเรียกร้องเหล่านั้น คงจะเป็นเรื่องยาก และคิดว่า หากนายกฯยังยืนยันไม่ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม จะทำให้กระแสการกดดัน กระแสการต่อต้านนายกฯจะมีมากขึ้น และจะยิ่งส่งผลต่อความเหมาะสม หรือความสง่างามในการเป็นนายกรัฐมนตรี
“ถ้านายกฯไม่อยากให้ประเทศชาติบ้านเมืองลดต่ำลงไปทุกวัน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองก็ตาม ก็น่าจะพิจารณา ไม่ควรให้มีการชุมนุมที่ยืดเยื้อออกไปอีก ในเมื่อสาเหตุของการชุมนุมมาจากท่าน ท่านก็ควรจะพิจารณา และท่านคือนายกฯของประเทศไทย มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้เกิดความสงบสุขของประเทศ ไม่ทำให้สังคมไทยแตกแยก และต้องทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แต่ผมคิดว่า บรรยากาศขณะนี้ไม่สามารถที่จะทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้ และยังมีแนวโน้มจะค่อย ๆ ถอยหลังไปเรื่อย” นายองอาจ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชุมนุมโดยใช้วิธีอหิงสา หรือสันติวิธี สามารถที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลต้องระมัดระวังอย่าให้มีฝ่ายตรงกันข้ามกับผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะมาโดยวิธีใดก็ตาม มาสร้างปัญหาการชุมนุมให้เกิดขึ้น และนายกฯ หรือบุคคลในรัฐบาลจะต้องระมัดระวัง อย่าใช้วิธีการต่าง ๆ ในการเติมเชื้อไฟเข้าใส่ผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะด้วยคำพูดที่เยาะเย้ยถากถาง หรือแม้แต่การกระทำใด ๆ ทั้งเปิดเผย และทางลับ เป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวัง
สำหรับกรณีที่ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ตนเชื่อว่า ยังจะมีสมาชิกพรรคไทยรักไทยทยอยออกเรื่อย ๆ เพราะสถานการณ์ทำให้คนได้คิดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่า ควรจะตัดสินใจอนาคตของตัวเองอย่างไร และเชื่อว่า หลายคนเริ่มที่คิดว่าจะอยู่เสวยสุขบนความทุกข์ ความเดือดร้อนของประเทศชาติบ้านเมือง หรือจะตัดสินใจมายืนอยู่ข้างพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายกฯไปตีกอล์ฟที่สนามบินน้ำ ซึ่งเป็นสนามของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ว่า เป็นความต้องการสร้างภาพให้เห็นว่าพยายามพบปะกับคนนั้นคนนี้ จนลืมเนื้อหาสาระที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.ต.สนั่น ยังมีจุดยืนเหมือนเดิม และยังหัวเราะว่า นายกฯคิดอะไรพิลึกขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายอดิศร เพียงเกษ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ระบุว่า ให้ปลุกวิญญาณ นายควง อภัยวงศ์ อดีตหัวหน้าพรรคมาเตือนสติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายอดิศร ควรจะดูตัวเองมากกว่า เพราะอายุของนายอดิศรใกล้จะ 60 ปีแล้ว วันหนึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคอมมิวนิสต์ วันหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย และอยู่พรรคการเมืองมาไม่รู้กี่พรรค ขายตัวมาไม่รู้กี่รอบแล้ว
ตนคิดว่า นายอดิศร ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ว่า 60 ปีแล้วพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนประชาธิปไตยอย่างไร เพราะจุดยืนของพรรค 60 ปี เป็นจุดยืนที่ชัดเจนมาโดยตลอด จนกระทั่งการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เป็นการแสดงจุดยืนในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการต่อสู้ทางการเมือง แนวสันติวิธีในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ตนยืนยันว่า 60 ปี ของพรรคยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตลอดเวลา ไม่มีอะไรเบี่ยงเบนไปจากนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 6 มี.ค. 2549--จบ--