วันนี้(18 ม.ค.48 )นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวในรายการผู้นำฝ่ายค้านคุยกับประชาชนว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ผมได้พบกับท่านผู้ฟังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ได้มีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายเรื่อง ซึ่งก็อยากจะใช้เวลาในช่วงนี้พูดคุยให้พี่น้องประชาชน โดยเรื่องแรกต่อเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องของการเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาซึ่งได้แสดงความห่วงใยในหลายประเด็น ในที่สุดแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในวันสุดท้ายของการเจรจารอบที่ 6 ทางผมและคณะได้เดินทางไปที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ได้พบกับท่านเอกอัครราชทูตและยื่นหนังสือไปถึงตัวแทนการค้าของทางสหรัฐฯ เนื้องความของจดหมายหรือหนังสือนั้นก็คือพรรคได้แสดงความห่วงใยต่อการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่กำลังดำเนินการอยู่ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพรรคได้คำนึงถึงความสัมพันธ์กันดีระหว่าง 2 ประเทศมาเป็นระยะเวลาช้านาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพรรคก็ได้สนับสนุนแนวทางของความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะมีการขยายการค้าการลงทุนระหว่างกันและกันแต่ว่าในช่วงสัปดาห์ที่แล้วต่อเนื่องมา จะเห็นถึงปัญหาการชุมนุมการต่อต้าน หรือการเผชิญหน้าการตึงเครียดที่เกิดขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าการเจรจารอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเสนอต่อทางสหรัฐฯ ก็คือว่า ข้อห่วงใยหลักของประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่งก็คือกระบวนการของการเจรจา ซึ่งของไทยนั้นไม่เหมือนของสหรัฐฯ ที่ขาดการมีส่วนร่วมทั้งของทางรัฐสภาทั้งของผู้มีส่วนได้เสีย ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งของพี่น้องประชาชน จนกระทั่งทำให้เกิดปัญหาความไม่มั่นใจในข้อตกลงต่าง ๆ ว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียม และอย่างเป็นธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งนอกเหนือจากปัญหากระบวนการแล้ว อีก 2 เรื่องที่ได้ระบุไปในหนังสือคือตัวสาระของการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีในครั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้พูดไปแล้วคือในเรื่องของความเป็นไปในเรื่องของผลกระทบถ้าหากว่าไทยต้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญหาในมาตรการที่สูงกว่ามาตรฐานโลก และถ้าหากว่ายินยอมไปแล้วก็ยังจะต้องให้สิทธิ์นี้กับทุกประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลก ไม่ใช่เฉพาะแต่สหรัฐฯ ซึ่งก็น่าจะมีผลกระทบต่อราคายา ต่อการเข้าถึงยาของพี่น้องประชาชนคนไทย และเรื่องที่ 2 ของการแสดงความห่วงใยไปก็คือเรื่องของสินค้าเกษตรที่โดยสภาพความเป็นจริงแล้วความสามารถในการแข่งขันหรือเข้าไปเจาะตลาดของสหรัฐฯ เรื่องของภาษีการนำเข้าที่สหรัฐฯ ให้เก็บนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าปัญหาใหญ่ของการแข่งขันเพราะว่าสหรัฐฯ มีมาตรการที่ใช้เงินงบประมาณมหาศาลอุดหนุนเกษตรกรเป็นการภายใน ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องที่อยู่นอกขอบเขตของการเจรจาในเรื่องของสินค้าเกษตรในข้อตกลงเขตการค้าเสรีการยื่นหนังสือวันนั้นก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และต้องเรียนว่าบรรยากาศการเข้าพบท่านทูตก็เป็นไปด้วยดีและทางท่านทูตก็รับที่จะเร่งส่งหนังสือนี้ไปยังผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ 2 วันก็คือวันพุธที่แล้วทางพรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านและรวมไปถึงวุฒิสภาส่วนหนึ่งก็ได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับทางส.ส.และทางตัวแทนของทางสหรัฐฯ ที่ได้เดินทางมาร่วมในช่วงของการเจรจาด้วย ได้มีการยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นไปแล้ว ตรงนี้ก็เป็นจุดเด่นนะครับที่ผมคิดว่าเราหวังว่าสหรัฐฯ ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับประเด็นในเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ จะได้มีการพิจารณาสิ่งที่เป็นข้อกังวลของเราอย่างจริงจัง และสิ่งที่เราเรียกร้องนี้ไม่ใช่ไปเลิกล้มการเจรจา แต่ต้องการที่จะให้ทางสหรัฐฯ นั้นยอมรับกระบวนการ หรือปรับกระบวนการของการเจรจาให้เกิดความยืดหยุ่นให้เกิดการมีส่วนร่วม เพราะว่าในชั้นนี้ยังมีหลายประเด็นครับที่สหรัฐฯ ยังตั้งเป็นเงื่อนไขอีกด้วยว่าจะต้องนำมาสู่การเจรจาเช่นเรื่องปัญหาแรงงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม แม้ว่ารัฐบาลไทยจะบอกว่าพยายามขอไม่เอาเรื่องนี้ขึ้นมา แต่กรอบการเจรจาที่สหรัฐฯ ขออนุมัติจากสภาของเขาระบุชัดเจนว่าต้องมีเรื่องเหล่านี้ รวมไปถึงการนำเอาสินค้าบางตัวออกไปจากการเจรจา ซึ่งประเด็นเหล่านี้สิ่งที่เราเรียกร้องก็คือว่าขอให้ทาง 2 ฝ่ายได้ทำให้กระบวนการของการเจรจานั้นเป็นกระบวนการที่เปิดเผยโปร่งใส และภายในของเราเองก็ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลต่อไปว่าขอให้ประชาชนและตัวแทนของประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่ออำนาจการต่อรองการเจรจาเลยเพราะว่าอย่างกรณีของสหรัฐฯ เขาก็ทำได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือส่วนที่เป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ผมก็ฟังจากการแถลงข่าวของผู้เจรจาแล้วก็เห็นว่าเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกหลายรอบแล้วก็คงจะต้องใช้เวลาในการที่จะทำความเข้าใจและก็เรียกร้อง ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ เพราะว่าการไปผลีผลามทำข้อตกลงกรณีของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องของการเปิดตลาดอย่างเดียวเป็นเรื่องของการแก้ไขกฎหมายของเรา เป็นเรื่องของการที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจ กิจการหรือธุรกิจบริการในด้านต่าง ๆ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นงานที่ผมได้คุยกับท่านผู้ฟังและประชาชนเอาไว้ว่าจะต้องมีการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องก็ได้ทำไป ใครที่สนใจว่าจุดยืนที่ชัดเจนว่าผมหรือพรรคประชาธิปัตย์คิดอย่างไรก็ดูจากหน้าเวปไซต์ของผมก็ได้ครับ http://www.abhisit.org ได้มีการสรุปสั้น ๆ ไว้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าเป็นผมรับผิดชอบอยู่ขณะนี้ผมจะมีทางออกต่อปัญหานี้อย่างไร ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอรายงานต่อพี่น้องประชาชน
ในสัปดาห์ที่แล้วในช่วงของวันศุกร์ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ได้มีการวิพากษ์วิจารย์ และได้มีการพาดพิงมาถึงผมและพรรคประชาธิปัตย์ นั่นก็คือวันศุกร์ที่สวนลุมพินี ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตามปกติ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ได้มีการจัดรายการเสร็จ ผู้ที่เข้าไปฟังในรายการนั้นได้เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล และก็ในช่วงตี 1 ตี 2 ผมไม่มั่นใจในรายละเอียดก็เกิดปัญหาทราบว่าผู้ที่ไปทำเนียบรัฐบาลบางส่วนได้เกิดปัญหาขึ้นกับทางเจ้าหน้าที่และก็มีข้อกล่าวหาว่าเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และก็ไปทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นคดีความกันอยู่ แต่ว่าที่สำคัญก็คือว่ามีการพูดจากทางฝ่ายรัฐบาลบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง มีพรรคฝ่ายค้าน หรือบางครั้งก็ระบุบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเข้าไปเกี่ยวข้องผมก็เลยขอย้ำนะครับว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ เราทำงานตามวิถีทางของระบบรัฐสภาและผมก็ประกาศมาตลอดว่าหน้าที่ของฝ่ายค้านผมไม่เคยมองว่าไปล้มล้างรัฐบาล เพราะฉะนั้นจุดยืนตรงนี้ชัดเจน วันนี้หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวครับว่าผมได้ไปบรรยายที่กทม. เขาไปลงบอกว่า รอ 8 ปี อะไรนั่นไม่จริงหรอกครับ ผมก็พูดบอกว่า ผมเองไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปดิ้นรนอะไร เพราะว่าอายุผมก็ไม่ได้มากมายอะไร 7 — 8 ปี สมมติว่าเป็นอย่างนั้น ก็ยังอายุน้อยกว่าตอนที่ท่านนายก มาเป็นนายกครั้งแรกเสียอีก แต่ว่าประเด็นก็คงไม่ใช่จะไปรอ 8 ปี เรื่องที่จะเป็นหรือไม่เป็นเรื่องที่ประชาชนตัดสินใจ แต่ประเด็นสำคัญก็คือขอยืนหยัดนะครับว่าพรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในระบบรัฐสภา สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรก็คือ 1 มีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งเข้าไปฟังรายการเหมือนกับประชาชนทั่วไป และก็คุณหญิงก็ไม่ได้ไปฟังรายการนี้ เพียงสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียวก็ไปฟังมาหลายสัปดาห์ เช่นเดียวกับส.ส. , สมาชิกพรรคที่ไปฟังรายการเหมือนกับประชาชนทั่วไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าคุณหญิงก็ไม่ได้ไปที่ทำเนียบรัฐบาล ประการที่ 2 ก็คือว่าที่จริงแล้วในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค พูดคุยกับผู้ว่ากับท่านรองผู้ว่าก็คือที่สวนลุม ในช่วงสัปดาห์ 2 สัปดาห์ นี้กลับมีปัญหาก็คือจะมีมวลชนเข้ามาเคลื่อนไหวเข้ามาในลักษณะต่อต้านคุณสนธิ แล้วก็มีความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการปะทะ สิ่งที่ผมกับท่านผู้ว่า กับท่านรองผู้ว่า ก็คือว่า กรุงเทพมหานครซึ่งดูแลพื้นที่สวนลุม ก็คงจะต้องเข้มงวดกวดขันในเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วนอกเหนือจากไม่สร้างปัญหาแล้ว สิ่งที่เป็นนโยบายของพรรคที่ได้พูดผ่านไปยังทางผู้บริหารของกทม. และนำไปปฏิบัติก็คือทางเทศกิจรับภาระหนักในการที่จะช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย และอยากจะเรียกร้องรัฐบาลด้วยซ้ำว่าน่าจะไปสอบดูบ้างว่ามีเบื้องหลังของกลุ่มคนที่ตั้งใจมายั่วยุให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ อันนี้ก็คืออยากจะให้เห็นถึงความแตกต่างว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เมื่อรับผิดชอบกทม.มีแล้วก็พยายามดูแลความเรียบร้อย แม้กระทั่งในขณะที่ประชาชนเริ่มเคลื่อนออกจากสวนลุมฯ ผมก็ยังโทรศัพท์ไปสอบถามท่านผู้ว่าที่อยู่ในสถานที่แล้วก็ยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้วผมก็ยังขอบอกว่าถ้าเป็นไปได้ทางเทศกิจก็คงต้องช่วยทางตำรวจด้วยในการดูแลการเดินหรือการเคลื่อนไปยังท้องถนนเนี่ยจะไม่ไปสร้างปัญหาความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ส่วนทางทำเนียบรัฐบาล ผมก็เรียนว่ามีทั่งประชาชนที่ไปชุมนุม ไปสังเกตการณ์ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าขณะนี้ข้อกล่าวหาที่ว่ามีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ มีการบุกเข้าไปในทำเนียบหรือไม่ ก็อยากจะให้มีการสอบให้ชัดเจนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเพราะว่าฟังดูแล้วก็ไม่ตรงกันครับ ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่ากลุ่มบุคคลไปบุกพังประตูทำเนียบเข้าไป ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าจริง ๆ แล้วมีการเปิดประตูทำเนียบเอาไว้ แต่จะอย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายเพราะฉะนั้นก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง และสิ่งที่สำคัญก็คือว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ต้องทำได้แต่ว่าต้องอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ถ้าทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันอย่างนี้ ก็ไม่เป็นปัญหาครับ ในการที่จะมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกันบ้างในบ้านเมืองของเรา ฉะนั้นขอเรียนแนวทางนี้เป็นแนวทางให้ทุกคนยึดถือ หรือได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง และผมคิดว่ารัฐบาลเองก็ควรจะต้องลดปัญหาของการที่ไปกระทบกระทั่งหรือเผชิญหน้าโดยไม่จำเป็นและก็อยากจะให้ช่วยสอบครับว่า มีเบื้องหลังของกลุ่มคนที่เคลื่อนมาจะปะทะกับกลุ่มคนที่เขาไปฟังรายการตามปกติอยู่แล้วทุกวันศุกร์ที่สวนลุมพินี หรือไม่ อันนี้ก็อยากจะขอให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ก่อนที่จะเปิดสายก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือในกรุงเทพมหานคร มีการพูดถึงกรมสืบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าไปสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาการประมูลผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เราเรียกว่า อีออคชั่น โดยบอกว่ามี 16 โครงการเป็นปัญหาอาจจะมีการสมยอมในการเสนอราคา หรือที่เราเรียกว่า ฮั้ว ก็ขอเรียนครับว่าเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ความจริงแล้วเท่าที่ผมติดตามมาโครงการเหล่านี้มีการประมูลมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แล้วก็จริง ๆ มีบริษัทที่เขาร้องเรียนมาในเดือนตุลาคม ที่บอกว่าหลักเกณฑ์ ที่ประกาศไป คุณสมบัติ คุณลักษณะ น่าจะมีการกีดกัน และก็มีคณะกรรมธิการของสภาได้เข้าไปติดตามและเชิญกทม. มาชี้แจงในเรื่องนี้แต่ว่าหลังจากนั้นมาก็มีการล้มการประมูล และมีการเปิดประมูลเป็นครั้งที่ 2 ผมเข้าใจว่าประมาณปลายปีอาจจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม แล้วก็เช่นเดียวกันครับ พอเปิดประมูลก็มีการออกประกาศก็มีการร้องเรียนมีการอุทธรณ์ แล้วก็เข้าใจว่าในช่วงนี้แหละครับที่ทางกรมสืบสวนคดีพิเศษก็เข้ามาดู ขณะเดียวกันได้มีการร้องเรียนมา ทางผู้บริหารของกทม. ได้ส่งเรื่องเหล่านี้ให้ทางผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเข้าไปสอบข้อเท็จจริงแล้วก็ได้ชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ออกไป ซึ่งทั้งหมดก็บังเอิญมารายงานกับท่านผู้ว่าฯ ประมาณวันที่ 9 — 10 มกราคม แล้วก็สิ่งที่ท่านผู้ว่าได้ทำเมื่อได้รับรายงานเรื่องนี้ ก็คือได้สั่งให้มีการหยุดโครงการทั้งหมดไว้ก่อนเพราะโครงการเหล่านี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญา และก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแลกรุงเทพมหานคร ก็ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ต้องมีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และคณะกรรมการที่ท่านผู้ว่าตั้งขึ้นการสอบสวนของกรมสืบสวนคดีพิเศษ ก็ขอให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ผมคิดว่าถ้ากรมสืบสวนคดีพิเศษซึ่งได้เข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจังจะได้เข้าไปดูปัญหาของโครงการอื่น ๆ อย่างเช่นกรณีอี — ออคชั่น ของรัฐบาลที่ท่านนายกฯ เองก็มาระงับไว้แต่ว่าหลังจากระงับเพียงวันเดียวก็ปล่อยให้ดำเนินการต่อและปล่อยให้มีการเซ็นสัญญาด้วย น่าจะเข้าไปดูเช่นเดียวกัน เพราะว่ารัฐบาลเองก็ยอมรับว่าการประมูลในระบบอี — ออคชั่น มีปัญหามากพอสมควร จนกระทั่งจนต้องออกประกาศหรือออกระเบียบกันใหม่ เพื่อที่จะมาดูว่าการประมูลทั้งหลายนั้นเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา และโปร่งใส เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ต้องมีการตรวจสอบกันก่อน วันนี้ทางสภากรุงเทพมหานครจะมีการหยิบยกขึ้นมาและทางผู้บริหารกทม.ก็มีการชี้แจง และผมยืนยันว่าผู้บริหารซึ่งได้เข้ามาบริหารกทม. โดยพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะยอมรับการตรวจสอบและก็ให้กระบวนการเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา มีมาตรฐานของการบริหารราชการอย่างที่ควรจะเป็นที่ยึดถือในเรื่องของการโปร่งใส และยอมรับการตรวจสอบ เป็นแนวทางที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลในเวลาที่มีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริต คอรัปชั่น อีกหลายโครงการซึ่งขณะนี้ก็เงียบหายไป และก็ไม่ปรากฎว่ามีหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล อาจจะเป็น ปปง. หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าไปดู ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลักฐานหรือมีข้อกล่าวหาที่ชัดเจน บางทีอาจจะชัดเจนกว่ากรณีของกทม.ด้วยซ้ำซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ทราบในรายละเอียดนะครับว่ามูลเหตุหรือข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นอย่างไร ฉะนั้นนะครับผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ต้องช่วยกันป้องกันและปราบปรามทุจริตซึ่งเหมือนกับโรคร้ายที่บั่นทอนประเทศไทย เศรษฐกิจไทยและการเมืองไทย
ก่อนที่จะเปิดสายนะครับ ผมขอเวลาอีกสักนิดก็คือว่าวันนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์เองจะได้มีการสรุปในเรื่องของการทำเอกสารที่เราเรียกว่า สมุดปกดำ และเรื่องของการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งก็จะให้รายละเอียดทั้งหมดจากการศึกษาของพรรคว่า การดำเนินการแปรรูปแบบรัฐบาลทักษิณ แบบว่าเอาองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตทั้งองค์กร ไปจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้วเอาหุ้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะเกิดผลเสียต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างไร ก็จะมีการวิเคราะห์ในเรื่องผลกระทบด้านค่าไฟ การวิเคราะห์ผลกระทบในเรื่องของกฎหมาย อำนาจผูกขาด อำนาจรัฐไปอยู่ในมือขององค์กรในรูปแบบของเอกชน รวมไปถึงการเทียบเคียงให้เห็นถึงปัญหาจากแนวคิดนี้ บทเรียนจาก ปตท. ประเด็นปัญหาจากการประเมินทรัพย์สินต่าง ๆ และก็รวมไปถึงเงื่อนปมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เรียกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต โทรคมนาคม Egat Telecom ที่ได้ลงทุนไปในเครือข่ายใยแก้วนำแสง ที่จะนำไปใช้กับธุรกิจโทรคมนาคม ก็คาดว่าวันนี้จะสรุปได้ แล้วก็จะส่งต้นฉบับไปให้โรงพิมพ์แล้วก็จะได้มีการเผยแพร่ต่อไปทั้งนี้ก็เพื่อที่ผู้ที่มีความสนใจ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนต้องสนใจเพราะว่าจะกระทบกับไม่เฉพาะกับธุรกิจพลังงานการไฟฟ้า หรือภาคการพลังงานอย่างเดียว แต่ว่ากระทบถึงในแง่ของโครงสร้างเศรษฐกิจและวิธีคิดของการบริหารเศรษฐกิจ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วย และก็หลังจากเอกสารฉบับนี้แล้วทางพรรคก็จะทำเอกสารขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งคือสมุดปกขาว เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงแนวทางของการบริหารรัฐวิสาหกิจ ที่เราคิดว่าควรจะเป็นนั้นน่าจะเป็นอย่างไร ก็เป็นการเปรียบเทียบเป็นตัวเลือกให้พี่น้องประชาชนได้พิจารณาต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ม.ค. 2549--จบ--
ในสัปดาห์ที่แล้วในช่วงของวันศุกร์ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ได้มีการวิพากษ์วิจารย์ และได้มีการพาดพิงมาถึงผมและพรรคประชาธิปัตย์ นั่นก็คือวันศุกร์ที่สวนลุมพินี ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตามปกติ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ได้มีการจัดรายการเสร็จ ผู้ที่เข้าไปฟังในรายการนั้นได้เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล และก็ในช่วงตี 1 ตี 2 ผมไม่มั่นใจในรายละเอียดก็เกิดปัญหาทราบว่าผู้ที่ไปทำเนียบรัฐบาลบางส่วนได้เกิดปัญหาขึ้นกับทางเจ้าหน้าที่และก็มีข้อกล่าวหาว่าเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และก็ไปทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นคดีความกันอยู่ แต่ว่าที่สำคัญก็คือว่ามีการพูดจากทางฝ่ายรัฐบาลบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง มีพรรคฝ่ายค้าน หรือบางครั้งก็ระบุบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเข้าไปเกี่ยวข้องผมก็เลยขอย้ำนะครับว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ เราทำงานตามวิถีทางของระบบรัฐสภาและผมก็ประกาศมาตลอดว่าหน้าที่ของฝ่ายค้านผมไม่เคยมองว่าไปล้มล้างรัฐบาล เพราะฉะนั้นจุดยืนตรงนี้ชัดเจน วันนี้หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวครับว่าผมได้ไปบรรยายที่กทม. เขาไปลงบอกว่า รอ 8 ปี อะไรนั่นไม่จริงหรอกครับ ผมก็พูดบอกว่า ผมเองไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปดิ้นรนอะไร เพราะว่าอายุผมก็ไม่ได้มากมายอะไร 7 — 8 ปี สมมติว่าเป็นอย่างนั้น ก็ยังอายุน้อยกว่าตอนที่ท่านนายก มาเป็นนายกครั้งแรกเสียอีก แต่ว่าประเด็นก็คงไม่ใช่จะไปรอ 8 ปี เรื่องที่จะเป็นหรือไม่เป็นเรื่องที่ประชาชนตัดสินใจ แต่ประเด็นสำคัญก็คือขอยืนหยัดนะครับว่าพรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในระบบรัฐสภา สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรก็คือ 1 มีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ซึ่งเข้าไปฟังรายการเหมือนกับประชาชนทั่วไป และก็คุณหญิงก็ไม่ได้ไปฟังรายการนี้ เพียงสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียวก็ไปฟังมาหลายสัปดาห์ เช่นเดียวกับส.ส. , สมาชิกพรรคที่ไปฟังรายการเหมือนกับประชาชนทั่วไปก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าคุณหญิงก็ไม่ได้ไปที่ทำเนียบรัฐบาล ประการที่ 2 ก็คือว่าที่จริงแล้วในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค พูดคุยกับผู้ว่ากับท่านรองผู้ว่าก็คือที่สวนลุม ในช่วงสัปดาห์ 2 สัปดาห์ นี้กลับมีปัญหาก็คือจะมีมวลชนเข้ามาเคลื่อนไหวเข้ามาในลักษณะต่อต้านคุณสนธิ แล้วก็มีความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการปะทะ สิ่งที่ผมกับท่านผู้ว่า กับท่านรองผู้ว่า ก็คือว่า กรุงเทพมหานครซึ่งดูแลพื้นที่สวนลุม ก็คงจะต้องเข้มงวดกวดขันในเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วนอกเหนือจากไม่สร้างปัญหาแล้ว สิ่งที่เป็นนโยบายของพรรคที่ได้พูดผ่านไปยังทางผู้บริหารของกทม. และนำไปปฏิบัติก็คือทางเทศกิจรับภาระหนักในการที่จะช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย และอยากจะเรียกร้องรัฐบาลด้วยซ้ำว่าน่าจะไปสอบดูบ้างว่ามีเบื้องหลังของกลุ่มคนที่ตั้งใจมายั่วยุให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ อันนี้ก็คืออยากจะให้เห็นถึงความแตกต่างว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เมื่อรับผิดชอบกทม.มีแล้วก็พยายามดูแลความเรียบร้อย แม้กระทั่งในขณะที่ประชาชนเริ่มเคลื่อนออกจากสวนลุมฯ ผมก็ยังโทรศัพท์ไปสอบถามท่านผู้ว่าที่อยู่ในสถานที่แล้วก็ยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้วผมก็ยังขอบอกว่าถ้าเป็นไปได้ทางเทศกิจก็คงต้องช่วยทางตำรวจด้วยในการดูแลการเดินหรือการเคลื่อนไปยังท้องถนนเนี่ยจะไม่ไปสร้างปัญหาความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ส่วนทางทำเนียบรัฐบาล ผมก็เรียนว่ามีทั่งประชาชนที่ไปชุมนุม ไปสังเกตการณ์ ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าขณะนี้ข้อกล่าวหาที่ว่ามีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ มีการบุกเข้าไปในทำเนียบหรือไม่ ก็อยากจะให้มีการสอบให้ชัดเจนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเพราะว่าฟังดูแล้วก็ไม่ตรงกันครับ ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่ากลุ่มบุคคลไปบุกพังประตูทำเนียบเข้าไป ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าจริง ๆ แล้วมีการเปิดประตูทำเนียบเอาไว้ แต่จะอย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายเพราะฉะนั้นก็ต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง และสิ่งที่สำคัญก็คือว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ต้องทำได้แต่ว่าต้องอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ถ้าทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันอย่างนี้ ก็ไม่เป็นปัญหาครับ ในการที่จะมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกันบ้างในบ้านเมืองของเรา ฉะนั้นขอเรียนแนวทางนี้เป็นแนวทางให้ทุกคนยึดถือ หรือได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง และผมคิดว่ารัฐบาลเองก็ควรจะต้องลดปัญหาของการที่ไปกระทบกระทั่งหรือเผชิญหน้าโดยไม่จำเป็นและก็อยากจะให้ช่วยสอบครับว่า มีเบื้องหลังของกลุ่มคนที่เคลื่อนมาจะปะทะกับกลุ่มคนที่เขาไปฟังรายการตามปกติอยู่แล้วทุกวันศุกร์ที่สวนลุมพินี หรือไม่ อันนี้ก็อยากจะขอให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ก่อนที่จะเปิดสายก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือในกรุงเทพมหานคร มีการพูดถึงกรมสืบสวนคดีพิเศษ ได้เข้าไปสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาการประมูลผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เราเรียกว่า อีออคชั่น โดยบอกว่ามี 16 โครงการเป็นปัญหาอาจจะมีการสมยอมในการเสนอราคา หรือที่เราเรียกว่า ฮั้ว ก็ขอเรียนครับว่าเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ความจริงแล้วเท่าที่ผมติดตามมาโครงการเหล่านี้มีการประมูลมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แล้วก็จริง ๆ มีบริษัทที่เขาร้องเรียนมาในเดือนตุลาคม ที่บอกว่าหลักเกณฑ์ ที่ประกาศไป คุณสมบัติ คุณลักษณะ น่าจะมีการกีดกัน และก็มีคณะกรรมธิการของสภาได้เข้าไปติดตามและเชิญกทม. มาชี้แจงในเรื่องนี้แต่ว่าหลังจากนั้นมาก็มีการล้มการประมูล และมีการเปิดประมูลเป็นครั้งที่ 2 ผมเข้าใจว่าประมาณปลายปีอาจจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ธันวาคม แล้วก็เช่นเดียวกันครับ พอเปิดประมูลก็มีการออกประกาศก็มีการร้องเรียนมีการอุทธรณ์ แล้วก็เข้าใจว่าในช่วงนี้แหละครับที่ทางกรมสืบสวนคดีพิเศษก็เข้ามาดู ขณะเดียวกันได้มีการร้องเรียนมา ทางผู้บริหารของกทม. ได้ส่งเรื่องเหล่านี้ให้ทางผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเข้าไปสอบข้อเท็จจริงแล้วก็ได้ชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ออกไป ซึ่งทั้งหมดก็บังเอิญมารายงานกับท่านผู้ว่าฯ ประมาณวันที่ 9 — 10 มกราคม แล้วก็สิ่งที่ท่านผู้ว่าได้ทำเมื่อได้รับรายงานเรื่องนี้ ก็คือได้สั่งให้มีการหยุดโครงการทั้งหมดไว้ก่อนเพราะโครงการเหล่านี้ยังไม่มีการเซ็นสัญญา และก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูแลกรุงเทพมหานคร ก็ขอยืนยันว่าเรื่องนี้ต้องมีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และคณะกรรมการที่ท่านผู้ว่าตั้งขึ้นการสอบสวนของกรมสืบสวนคดีพิเศษ ก็ขอให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ผมคิดว่าถ้ากรมสืบสวนคดีพิเศษซึ่งได้เข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจังจะได้เข้าไปดูปัญหาของโครงการอื่น ๆ อย่างเช่นกรณีอี — ออคชั่น ของรัฐบาลที่ท่านนายกฯ เองก็มาระงับไว้แต่ว่าหลังจากระงับเพียงวันเดียวก็ปล่อยให้ดำเนินการต่อและปล่อยให้มีการเซ็นสัญญาด้วย น่าจะเข้าไปดูเช่นเดียวกัน เพราะว่ารัฐบาลเองก็ยอมรับว่าการประมูลในระบบอี — ออคชั่น มีปัญหามากพอสมควร จนกระทั่งจนต้องออกประกาศหรือออกระเบียบกันใหม่ เพื่อที่จะมาดูว่าการประมูลทั้งหลายนั้นเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา และโปร่งใส เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ต้องมีการตรวจสอบกันก่อน วันนี้ทางสภากรุงเทพมหานครจะมีการหยิบยกขึ้นมาและทางผู้บริหารกทม.ก็มีการชี้แจง และผมยืนยันว่าผู้บริหารซึ่งได้เข้ามาบริหารกทม. โดยพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะยอมรับการตรวจสอบและก็ให้กระบวนการเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา มีมาตรฐานของการบริหารราชการอย่างที่ควรจะเป็นที่ยึดถือในเรื่องของการโปร่งใส และยอมรับการตรวจสอบ เป็นแนวทางที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลในเวลาที่มีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริต คอรัปชั่น อีกหลายโครงการซึ่งขณะนี้ก็เงียบหายไป และก็ไม่ปรากฎว่ามีหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล อาจจะเป็น ปปง. หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าไปดู ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลักฐานหรือมีข้อกล่าวหาที่ชัดเจน บางทีอาจจะชัดเจนกว่ากรณีของกทม.ด้วยซ้ำซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ทราบในรายละเอียดนะครับว่ามูลเหตุหรือข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นอย่างไร ฉะนั้นนะครับผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ต้องช่วยกันป้องกันและปราบปรามทุจริตซึ่งเหมือนกับโรคร้ายที่บั่นทอนประเทศไทย เศรษฐกิจไทยและการเมืองไทย
ก่อนที่จะเปิดสายนะครับ ผมขอเวลาอีกสักนิดก็คือว่าวันนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์เองจะได้มีการสรุปในเรื่องของการทำเอกสารที่เราเรียกว่า สมุดปกดำ และเรื่องของการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งก็จะให้รายละเอียดทั้งหมดจากการศึกษาของพรรคว่า การดำเนินการแปรรูปแบบรัฐบาลทักษิณ แบบว่าเอาองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตทั้งองค์กร ไปจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้วเอาหุ้นไปขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะเกิดผลเสียต่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างไร ก็จะมีการวิเคราะห์ในเรื่องผลกระทบด้านค่าไฟ การวิเคราะห์ผลกระทบในเรื่องของกฎหมาย อำนาจผูกขาด อำนาจรัฐไปอยู่ในมือขององค์กรในรูปแบบของเอกชน รวมไปถึงการเทียบเคียงให้เห็นถึงปัญหาจากแนวคิดนี้ บทเรียนจาก ปตท. ประเด็นปัญหาจากการประเมินทรัพย์สินต่าง ๆ และก็รวมไปถึงเงื่อนปมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่เรียกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต โทรคมนาคม Egat Telecom ที่ได้ลงทุนไปในเครือข่ายใยแก้วนำแสง ที่จะนำไปใช้กับธุรกิจโทรคมนาคม ก็คาดว่าวันนี้จะสรุปได้ แล้วก็จะส่งต้นฉบับไปให้โรงพิมพ์แล้วก็จะได้มีการเผยแพร่ต่อไปทั้งนี้ก็เพื่อที่ผู้ที่มีความสนใจ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนต้องสนใจเพราะว่าจะกระทบกับไม่เฉพาะกับธุรกิจพลังงานการไฟฟ้า หรือภาคการพลังงานอย่างเดียว แต่ว่ากระทบถึงในแง่ของโครงสร้างเศรษฐกิจและวิธีคิดของการบริหารเศรษฐกิจ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วย และก็หลังจากเอกสารฉบับนี้แล้วทางพรรคก็จะทำเอกสารขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งคือสมุดปกขาว เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงแนวทางของการบริหารรัฐวิสาหกิจ ที่เราคิดว่าควรจะเป็นนั้นน่าจะเป็นอย่างไร ก็เป็นการเปรียบเทียบเป็นตัวเลือกให้พี่น้องประชาชนได้พิจารณาต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 18 ม.ค. 2549--จบ--