วันนี้(10 ม.ค.49 )นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการลงนามการค้าเสรีก่อนที่จะการเปิดเผยรายละเอียดว่า ตามหลักการข้อตกลงเขตการค้าเสรีนั้น ตนคิดว่ารัฐบาลควรมีการทบทวนนโยบายและบทเรียนที่ผ่านมา เช่นกรณีการลงนามกับประเทศจีน ที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งตนได้เสนอว่ากระบวนการเจรจาและการแก้ไขปัญหายังไม่มีความเป็นระบบ ตั้งแต่ที่รัฐบาลแถลงนโยบาย เพราะข้อตกลงเขตการค้าเสรี จะมีทั้งสิ่งที่ได้และเสียประโยชน์ ดังนั้นในกระบวนการของการเจรจา จำเป็นต้องให้ฝ่ายที่มีมีส่วนได้เสียได้รับรู้และมีส่วนร่วมด้วย เพราะการมีส่วนร่วมนั้นมีได้หลายรูปแบบ แม้ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่ควรจะผ่านกลไกของสภาฯ เพราะเป็นการบ่งบอกถึงความห่วงใยของคนในประเทศ เวลาที่ต้องมีการยินยอมในเรื่องใดๆ เพราะถึงอย่างไรก็ตามการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการลงนามทำสัญญาการค้าเสรี ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า กรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรต่างๆเคลื่อนไหว จริงๆแล้วรัฐบาลสามารถนำมาใช้อย่างเป็นประโยชน์ในการเจราจาต่อรองได้ ดังนั้นไม่ควรอยู่บนสมมุติฐานว่าคนมีส่วนร่วมแล้ว จะเป็นอุปสรรค เพราะเป็นอุปสรรคต่อการยินยอมในสิ่งที่เสียหาย แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการจะได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด
‘การลงนามทำสัญญาการค้าเสรีกับประเทศจีน ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบไม่ได้มีการเตรียมการว่าจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และกลไกนี้จะมีปัญาไม่รู้จบหากรัฐบาลยึดหลักว่าเจราจาเรียบร้อยแล้ว จึงควรเปิดเผยข้อตกลง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นจากกรรี ทำสัญญากับจีน ออสเตรเรีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้าอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอในหลักการแต่แรกว่าหากไม่อยากให้เขตการค้าเสรีมีปัญหาหรือมีการเสียเปรียบต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วม เพราะฉะนนั้นตนคิดว่ารัฐบาลต้องทบทวนท่าทีตรงนี้’ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ต่อกรณีการลงนามทำสัญญากับสหรัฐฯ โดยปกติจะเป็นข้อเรียกร้องซึ่งต้องนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ทั้งเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เรื่องยา ตลอดทั้งพันธ์พืช หรือการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในประเทศ เป็นต้น จึงไม่ใช่อำนาจของฝ่ายบริหารเพียงฝ่ายเดียว เพราะถ้าไปตกลงแล้วต้องไปทำตามข้อตกลงหมายถึงการแก้ไขกฎหมาย นั้นก็หมายความว่ามีข้อผูกพันฝ่ายนิติบัญญัติด้วย
‘กรณีเช่นนี้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา ตรงนี้ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ควรหลบเลี่ยงทั้งในกรณีข้อกฎหมาย และไม่ควรปิดบังสิ่งที่เป็นผลกระทบระยะยาวต่อประชาชนคนไทย เพราะการเคลื่อนไหวคัดค้านวันนี้เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้รัฐบาลควรมีการปรับท่าที เพราะต่อไปอาจจะมีการต่อต้านไม่ให้มีการค้าเสรี เพราะเป็นการค้าเสรีที่มีผู้มีอำนาจไปปิดบังและเอื้อประโยชน์บางกลุ่ม และที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ควรต้องกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้า พรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านสถานทูตเพื่อแสดงความเห็นในเรื่องการเจรจาเปิดเสรีการค้า ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการดิสเครดิตรัฐบาล เพราะเคยเสนอแล้วแต่รัฐบาลไม่รับฟัง นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า รัฐบาลน่าจะทบทวนและฟังความเห็นให้รอบด้าน รวมถึงควรใช้กระบวนการมีส่วนร่วมอย่างนิติบัญญัติ หรือสภาฯ เพราะการทำเอฟทีเอกับสหรัฐฯ มีบางกรณีต้องแก้ไขกฎหมาย ฉะนั้น นิติบัญญัติควรเข้ามามีบทบาท ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบระยะยาว เพราะกรณีลงนามกับจีนส่งผลกระทบกับเกษตรกรมาก เกิดจากไม่มีการเตรียมการแก้ปัญหารองรับ หากรัฐบาลลงนามก่อนและค่อยเปิดเผย ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ม.ค. 2549--จบ--
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า กรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรต่างๆเคลื่อนไหว จริงๆแล้วรัฐบาลสามารถนำมาใช้อย่างเป็นประโยชน์ในการเจราจาต่อรองได้ ดังนั้นไม่ควรอยู่บนสมมุติฐานว่าคนมีส่วนร่วมแล้ว จะเป็นอุปสรรค เพราะเป็นอุปสรรคต่อการยินยอมในสิ่งที่เสียหาย แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการจะได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด
‘การลงนามทำสัญญาการค้าเสรีกับประเทศจีน ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบไม่ได้มีการเตรียมการว่าจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และกลไกนี้จะมีปัญาไม่รู้จบหากรัฐบาลยึดหลักว่าเจราจาเรียบร้อยแล้ว จึงควรเปิดเผยข้อตกลง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นจากกรรี ทำสัญญากับจีน ออสเตรเรีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการค้าอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอในหลักการแต่แรกว่าหากไม่อยากให้เขตการค้าเสรีมีปัญหาหรือมีการเสียเปรียบต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วม เพราะฉะนนั้นตนคิดว่ารัฐบาลต้องทบทวนท่าทีตรงนี้’ ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ต่อกรณีการลงนามทำสัญญากับสหรัฐฯ โดยปกติจะเป็นข้อเรียกร้องซึ่งต้องนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ทั้งเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เรื่องยา ตลอดทั้งพันธ์พืช หรือการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนในประเทศ เป็นต้น จึงไม่ใช่อำนาจของฝ่ายบริหารเพียงฝ่ายเดียว เพราะถ้าไปตกลงแล้วต้องไปทำตามข้อตกลงหมายถึงการแก้ไขกฎหมาย นั้นก็หมายความว่ามีข้อผูกพันฝ่ายนิติบัญญัติด้วย
‘กรณีเช่นนี้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา ตรงนี้ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ควรหลบเลี่ยงทั้งในกรณีข้อกฎหมาย และไม่ควรปิดบังสิ่งที่เป็นผลกระทบระยะยาวต่อประชาชนคนไทย เพราะการเคลื่อนไหวคัดค้านวันนี้เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้รัฐบาลควรมีการปรับท่าที เพราะต่อไปอาจจะมีการต่อต้านไม่ให้มีการค้าเสรี เพราะเป็นการค้าเสรีที่มีผู้มีอำนาจไปปิดบังและเอื้อประโยชน์บางกลุ่ม และที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ควรต้องกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้า พรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านสถานทูตเพื่อแสดงความเห็นในเรื่องการเจรจาเปิดเสรีการค้า ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการดิสเครดิตรัฐบาล เพราะเคยเสนอแล้วแต่รัฐบาลไม่รับฟัง นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า รัฐบาลน่าจะทบทวนและฟังความเห็นให้รอบด้าน รวมถึงควรใช้กระบวนการมีส่วนร่วมอย่างนิติบัญญัติ หรือสภาฯ เพราะการทำเอฟทีเอกับสหรัฐฯ มีบางกรณีต้องแก้ไขกฎหมาย ฉะนั้น นิติบัญญัติควรเข้ามามีบทบาท ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบระยะยาว เพราะกรณีลงนามกับจีนส่งผลกระทบกับเกษตรกรมาก เกิดจากไม่มีการเตรียมการแก้ปัญหารองรับ หากรัฐบาลลงนามก่อนและค่อยเปิดเผย ผลกระทบจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ม.ค. 2549--จบ--