นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตแถลงที่สำนักงานพรรคประชาธิปัตย์วันนี้(17 ก.ย.)ว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงขณะนี้คณะทำงานฯ ได้ติดตามสืบสวนสอบสวนโครงการนำเข้ารถโดยสาร ขสมก.NGV ล็อตแรก 2,000 คันวงเงิน 20,000 ล้านของกระทรวงคมนาคมอย่างต่อเนื่องพบว่า มีพฤติกรรมส่อทุจริตเชิงนโยบายและจะมีผู้ได้ผลประโยชน์ล็อตแรกกว่า 2,000 ล้านบาท โดยเริ่มจากนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รมว.คมนาคมมีนโยบายให้ ขสมก.นำเข้ารถโดยสารNGV(Natural Gas Vehicle)ประกอบสำเร็จรูป(CBU-Completed Build Unit)จากต่างประเทศล็อตแรกจำนวน 2,000 คันวงเงิน 20,000 ล้านบาทโดยจะขอมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเว้นภาษีจาก 40 % เป็น 0 % ระยะเวลา 2 ปี ปรากฏว่าแผนการดังกล่าวถูกคัดค้านจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการคคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมของคนไทยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ราชบุรีและชลบุรีเพราะเป็นการทำลายอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และทำลายโอกาสของผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศโดยสิ้นเชิง เนื่องจากประเทศไทยมีขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนและต่อตัวถังรถโดยสารในระดับสากลมีกำลังผลิตปีละ 3,000 — 4,000 คัน
นอกจากนี้การยกเว้นอากรนำเข้ารถโดยสารทั้งคันจะทำให้ประเทศขาดดุลการค้าและสูญเสียเงินตราต่างประเทศ 14,000 — 20,000 ล้านบาทและรัฐจะสูญเสียรายได้จากอากรนำเข้า 5,600 — 8,000 ล้าน ถ้ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 % จะทำให้สูญรายได้ถึง 10,000 ล้านบาทและมีคนว่างงานระดับคนงานและช่างเทคนิคถึงวิศวกรหลายพันคนและเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับ ขสมก.อีกด้วย
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า คณะทำงานฯ.ยังสอบสวนพบว่า แผนร้ายดังกล่าวเตรียมเสนอราคารถโดยสารNGVจากประเทศจีนสูงกว่าความเป็นจริงคันละ 1 — 1.5 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยจะทำให้ได้ผลประโยชน์ขั้นต่ำ 2,000 — 3,000 ล้านบาทและจะมีการนำเข้าล็อตสองอีก 6,000 — 8,000 คันหากแผนลดภาษีได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้หรือวันอังคารหน้า นับเป็นแผนการโคตรโกงบนความเดือดร้อนของประเทศชาติและผู้ประกอบการภายในประเทศโดยแท้
“ปัจจุบันการนำเข้ารถประกอบสำเร็จรูปจากต่างประเทศ(CBU)ต้องเสียภาษีร้อยละ 40 และเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าแชสซีส์พร้อมเครื่องยนต์ร้อยละ 10 เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ภายในประเทศทำให้อุตสาหกรรมภายในประเทศพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นเป็นศูนย์กลางการผลิตและต่อตัวถังรถโดยสารของเอเซียและพัฒนาสู่การผลิตและส่งออกรถโดยสารที่มี brand name และ design เป็นของคนไทยเองซึ่งเป็นแนวนโยบายของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่รัฐบาลทักษิณกลับเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบ 180 องศาส่อพฤติกรรมแสวงประโยชน์แบบทุจริตเชิงนโยบายอย่างน่าละอาย”
ประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ยังสืบสวนพบว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลกระทรวงคมนาคมและรมว.อุตสาหกรรมได้ล็อบบี้บริษัทรถยนต์ขออย่าให้คัดค้านแผนการนำเข้ารถโดยสารNGVโดยจะเปลี่ยนแผนเป็นลดภาษีจาก 40 % เป็น 10 % และจะนำเข้ารถโดยสารขนาดมินิบัสเพื่อลดกระแสคัดค้าน ซึ่งบริษัทรถยนต์รายใหญ่ไม่แสดงท่าทีใดๆในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ยังคงไม่เห็นด้วยและเสนอให้นำเข้าเฉพาะเครื่องยนต์NGVพร้อมแชสซีส์เพื่อสร้างโอกาสให้มีการประกอบรถยนต์ภายในประเทศแทนแต่การคัดค้านยังไม่เป็นผลเพราะรัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์และรัฐมนตรีสุริยะยังยืนยันนโยบายเดิมและเร่งรัดให้นำเสนอโครงการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้หรืออย่างช้าสัปดาห์ถัดไป ประการสำคัญคือนายทนง พิทยะ รมว.คลังกลับไม่แสดงท่าทีคัดค้านการลดภาษีนำเข้า CBU แต่อย่างใด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ก.ย. 2549--จบ--
นอกจากนี้การยกเว้นอากรนำเข้ารถโดยสารทั้งคันจะทำให้ประเทศขาดดุลการค้าและสูญเสียเงินตราต่างประเทศ 14,000 — 20,000 ล้านบาทและรัฐจะสูญเสียรายได้จากอากรนำเข้า 5,600 — 8,000 ล้าน ถ้ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7 % จะทำให้สูญรายได้ถึง 10,000 ล้านบาทและมีคนว่างงานระดับคนงานและช่างเทคนิคถึงวิศวกรหลายพันคนและเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับ ขสมก.อีกด้วย
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า คณะทำงานฯ.ยังสอบสวนพบว่า แผนร้ายดังกล่าวเตรียมเสนอราคารถโดยสารNGVจากประเทศจีนสูงกว่าความเป็นจริงคันละ 1 — 1.5 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยจะทำให้ได้ผลประโยชน์ขั้นต่ำ 2,000 — 3,000 ล้านบาทและจะมีการนำเข้าล็อตสองอีก 6,000 — 8,000 คันหากแผนลดภาษีได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้หรือวันอังคารหน้า นับเป็นแผนการโคตรโกงบนความเดือดร้อนของประเทศชาติและผู้ประกอบการภายในประเทศโดยแท้
“ปัจจุบันการนำเข้ารถประกอบสำเร็จรูปจากต่างประเทศ(CBU)ต้องเสียภาษีร้อยละ 40 และเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าแชสซีส์พร้อมเครื่องยนต์ร้อยละ 10 เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ภายในประเทศทำให้อุตสาหกรรมภายในประเทศพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นเป็นศูนย์กลางการผลิตและต่อตัวถังรถโดยสารของเอเซียและพัฒนาสู่การผลิตและส่งออกรถโดยสารที่มี brand name และ design เป็นของคนไทยเองซึ่งเป็นแนวนโยบายของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่รัฐบาลทักษิณกลับเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบ 180 องศาส่อพฤติกรรมแสวงประโยชน์แบบทุจริตเชิงนโยบายอย่างน่าละอาย”
ประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ยังสืบสวนพบว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลกระทรวงคมนาคมและรมว.อุตสาหกรรมได้ล็อบบี้บริษัทรถยนต์ขออย่าให้คัดค้านแผนการนำเข้ารถโดยสารNGVโดยจะเปลี่ยนแผนเป็นลดภาษีจาก 40 % เป็น 10 % และจะนำเข้ารถโดยสารขนาดมินิบัสเพื่อลดกระแสคัดค้าน ซึ่งบริษัทรถยนต์รายใหญ่ไม่แสดงท่าทีใดๆในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ยังคงไม่เห็นด้วยและเสนอให้นำเข้าเฉพาะเครื่องยนต์NGVพร้อมแชสซีส์เพื่อสร้างโอกาสให้มีการประกอบรถยนต์ภายในประเทศแทนแต่การคัดค้านยังไม่เป็นผลเพราะรัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์และรัฐมนตรีสุริยะยังยืนยันนโยบายเดิมและเร่งรัดให้นำเสนอโครงการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้หรืออย่างช้าสัปดาห์ถัดไป ประการสำคัญคือนายทนง พิทยะ รมว.คลังกลับไม่แสดงท่าทีคัดค้านการลดภาษีนำเข้า CBU แต่อย่างใด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ก.ย. 2549--จบ--