แท็ก
การส่งออก
ในเดือนพฤศจิกายน เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นจากเดือนตุลาคม โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนเร่งตัวทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลขยายตัวดี และภาคการส่งออกขยายตัวสูงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี 2547 เศรษฐกิจมีสัญญาณของการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงโดยรวม
ด้านอุปทาน รายได้เกษตรกรจากพืชผลหลักขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเพราะผลผลิตได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะข้าวนาปี ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวค่อนข้างดี โดยเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนตามการผลิตในหมวดยานยนต์และหมวดอาหารเป็นสำคัญ ขณะที่ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเฉพาะในวงจำกัด และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมยังขยายตัวต่อเนื่อง
เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แรงกดดันจากราคาน้ำมันต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเริ่มบรรเทาลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง และค่าเงินบาทโน้มแข็งค่าขึ้น
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายน มีดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 9.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.3 ในเดือนตุลาคม โดยหมวดยานยนต์ขยายตัวสูงตามการผลิตรถยนต์เชิงพาณิชย์เพื่อสนองความต้องการรถรุ่นใหม่ ขณะที่หมวดอาหารปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนๆ เพราะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายลงนอกจากนั้นยังเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว กล่าวคือ การผลิตในหมวดปิโตรเลียมที่ขยายตัวสูงมากในเดือนนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานเดือนเดียวกันปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่ปิดซ่อมบำรุงโรงงาน สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 74.9 ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
2. การใช้จ่ายภายในประเทศ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (ข้อมูลเบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในเดือนตุลาคม ซึ่งก็สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (ข้อมูลชุดปรับปรุงใหม่และยังเป็นข้อมูลเบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 8.5 ในเดือนตุลาคม ตามการเร่งตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในหมวดการก่อสร้างได้ชะลอตัวลงบ้าง นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี เช่นเดียวกับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
3. ภาคการคลัง รายได้นำส่งของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 16.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 แต่รายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 ในเดือนนี้ สำหรับรายจ่ายรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 14.7 ดุลเงินในงบประมาณขาดดุล 15.0 พันล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลอีก 6.9 พันล้านบาท รัฐบาลจึงขาดดุลเงินสด 21.9 พันล้านบาท
4. ระดับราคา ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากร้อยละ 3.5 ในเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเพราะราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินได้ปรับลดลง 3 ครั้งรวม 1.20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และราคาหมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ในเดือนนี้ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนตุลาคม
ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาในทุกหมวด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากเหมือง ผลผลิตเกษตรกรรม และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนเนื่องจากราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมชะลอตัวลง
5. ภาคต่างประเทศ การส่งออกมีมูลค่า 8,707 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 22.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยสินค้าที่ส่งออกดีต่อเนื่อง ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูง อาทิ ยานพาหนะและชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผลิตภัณฑ์โลหะสามัญ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 8,531 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 29.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวสูงของการนำเข้าวัตถุดิบเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบก็ยังมีมูลค่าสูงจากปัจจัยด้านราคา ในเดือนนี้ดุลการค้าเกินดุล 176 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เกินดุล 669 ล้านดอลลาร์ สรอ. จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 845 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลการชำระเงินเกินดุล 1,002 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 4.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 5.7 6.6 และ 6.8 ตามลำดับซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเพราะผลจากฐานเงินฝากที่สูงในปีที่แล้วเนื่องจากมีการนำฝากเงินของกองทุนวายุภักษ์ สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 2.7 ขณะที่สินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ให้แก่ประชาชน
อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากสภาพคล่องตึงตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะสถาบันการเงินบางแห่งต้องสำรองเงินไว้เพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้และเพื่อให้ภาครัฐกู้ยืมสำหรับการไถ่ถอนพันธบัตร ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.69 และ 1.66 ต่อปี ตามลำดับ
อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทรงตัวเท่ากับในเดือนตุลาคม ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตรา ดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
7. เงินบาท ในเดือนพฤศจิกายน ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนตัวจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ กอปรกับมีการคาดการณ์ในตลาดว่าจีนอาจปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน นักลงทุนต่างประเทศจึงเทขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อถือเงินสกุลเอเชียรวมทั้งเงินบาทเพิ่มขึ้น
ในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เคลื่อนไหว ค่อนข้างผันผวน โดยอ่อนค่าลงบ้างในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนจากความเชื่อมั่นในเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. ที่ดีขึ้นเพราะ นักลงทุนคาดว่าสหรัฐฯ จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอีกครั้งภายหลังจากที่ ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ด้านอุปทาน รายได้เกษตรกรจากพืชผลหลักขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเพราะผลผลิตได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะข้าวนาปี ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวค่อนข้างดี โดยเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนตามการผลิตในหมวดยานยนต์และหมวดอาหารเป็นสำคัญ ขณะที่ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเฉพาะในวงจำกัด และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมยังขยายตัวต่อเนื่อง
เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แรงกดดันจากราคาน้ำมันต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเริ่มบรรเทาลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงขึ้นต่อเนื่อง และค่าเงินบาทโน้มแข็งค่าขึ้น
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายน มีดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 9.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.3 ในเดือนตุลาคม โดยหมวดยานยนต์ขยายตัวสูงตามการผลิตรถยนต์เชิงพาณิชย์เพื่อสนองความต้องการรถรุ่นใหม่ ขณะที่หมวดอาหารปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนๆ เพราะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายลงนอกจากนั้นยังเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว กล่าวคือ การผลิตในหมวดปิโตรเลียมที่ขยายตัวสูงมากในเดือนนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานเดือนเดียวกันปีก่อนที่ต่ำ เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่ปิดซ่อมบำรุงโรงงาน สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 74.9 ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
2. การใช้จ่ายภายในประเทศ ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (ข้อมูลเบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 3.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในเดือนตุลาคม ซึ่งก็สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (ข้อมูลชุดปรับปรุงใหม่และยังเป็นข้อมูลเบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 8.5 ในเดือนตุลาคม ตามการเร่งตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ อย่างไรก็ดี การลงทุนในหมวดการก่อสร้างได้ชะลอตัวลงบ้าง นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาแนวโน้มจากต้นปี 2547 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี เช่นเดียวกับดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
3. ภาคการคลัง รายได้นำส่งของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 16.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 แต่รายได้ที่มิใช่ภาษีลดลงร้อยละ 26.9 ในเดือนนี้ สำหรับรายจ่ายรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 14.7 ดุลเงินในงบประมาณขาดดุล 15.0 พันล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลอีก 6.9 พันล้านบาท รัฐบาลจึงขาดดุลเงินสด 21.9 พันล้านบาท
4. ระดับราคา ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากร้อยละ 3.5 ในเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเพราะราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินได้ปรับลดลง 3 ครั้งรวม 1.20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และราคาหมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ในเดือนนี้ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนตุลาคม
ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาในทุกหมวด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากเหมือง ผลผลิตเกษตรกรรม และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนเนื่องจากราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมชะลอตัวลง
5. ภาคต่างประเทศ การส่งออกมีมูลค่า 8,707 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 22.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยสินค้าที่ส่งออกดีต่อเนื่อง ได้แก่ สินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูง อาทิ ยานพาหนะและชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก และผลิตภัณฑ์โลหะสามัญ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 8,531 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 29.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการขยายตัวสูงของการนำเข้าวัตถุดิบเป็นสำคัญ ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบก็ยังมีมูลค่าสูงจากปัจจัยด้านราคา ในเดือนนี้ดุลการค้าเกินดุล 176 ล้านดอลลาร์ สรอ. และเมื่อรวมกับดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่เกินดุล 669 ล้านดอลลาร์ สรอ. จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 845 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ดุลการชำระเงินเกินดุล 1,002 ล้านดอลลาร์ สรอ. สำหรับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ระดับ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 4.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 5.7 6.6 และ 6.8 ตามลำดับซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเพราะผลจากฐานเงินฝากที่สูงในปีที่แล้วเนื่องจากมีการนำฝากเงินของกองทุนวายุภักษ์ สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 2.7 ขณะที่สินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน) ของธนาคารพาณิชย์ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ให้แก่ประชาชน
อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากสภาพคล่องตึงตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะสถาบันการเงินบางแห่งต้องสำรองเงินไว้เพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้และเพื่อให้ภาครัฐกู้ยืมสำหรับการไถ่ถอนพันธบัตร ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.69 และ 1.66 ต่อปี ตามลำดับ
อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทรงตัวเท่ากับในเดือนตุลาคม ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตรา ดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
7. เงินบาท ในเดือนพฤศจิกายน ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนตัวจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ กอปรกับมีการคาดการณ์ในตลาดว่าจีนอาจปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน นักลงทุนต่างประเทศจึงเทขายเงินดอลลาร์ สรอ. เพื่อถือเงินสกุลเอเชียรวมทั้งเงินบาทเพิ่มขึ้น
ในช่วงวันที่ 1-24 ธันวาคม เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 39.26 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เคลื่อนไหว ค่อนข้างผันผวน โดยอ่อนค่าลงบ้างในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนจากความเชื่อมั่นในเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. ที่ดีขึ้นเพราะ นักลงทุนคาดว่าสหรัฐฯ จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอีกครั้งภายหลังจากที่ ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 15 ธันวาคม
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--