แท็ก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไตรรงค์ สุวรรณคีรี
พรรคประชาธิปัตย์
วิทยา แก้วภราดัย
วิฑูรย์ นามบุตร
อัยการสูงสุด
คำต่อคำ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังคณะอนุกรรมการที่อัยการสูงสุดแต่งตั้ง มีมติยุบ 5 พรรคการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยแกนนำพรรค อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายวิทยา แก้วภราดัย นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ นายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคฯ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคฯ ร่วมแถลงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่คณะอนุกรรมการที่อัยการสูงสุดแต่งตั้ง มีมติให้ยุบพรรคการเมือง 5 พรรครวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้แถลงว่า
ยืนยันไม่มีพฤติกรรมตามข้อกล่าวหา
ประเด็นแรก ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีพฤติกรรมใดๆตามที่ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเป็นปฏิปักษ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือการกระทำใดๆที่จะไปกระทบกระเทือนกับความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกแถลงการณ์เพื่อที่จะชี้แจงในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งจะขอให้สื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ให้พี่น้องประชาชนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศได้รับทราบ
เชื่อการสรุปสำนวนของกกต. ที่ส่งให้อัยการสูงสุดนั้น มีอคติ
ประเด็นที่สอง พรรคประชาธิปัตย์ขอตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งเป็นผู้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดในฐานะนายทะเบียนว่ากระบวนการของการพิจารณา นับตั้งแต่ที่กกต.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพรรคไทยรักไทยให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความไม่ชอบมาพากล และมีความไม่โปร่งใสอยู่หลายเรื่อง เช่น 1. การที่ไม่อนุญาตให้พรรคประชาธิปัตย์ได้สำเนาคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนรวมทั้งข้อร้องเรียนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ 2. กรณีที่ได้เชิญตนและเลขาธิการพรรคไปให้ข้อเท็จจริง แต่ประเด็นที่สอบถามไม่ตรงกับประเด็นที่กล่าวหา 3. กรณีที่เมื่อวานนี้ประธานคณะอนุกรรมการการสอบสวน (ของกกต.) ได้ยืนยันว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ แต่ต่อมาก็กลับมีการรวบรัดสรุปเรื่องราวทั้งหลายส่งให้อัยการสูงสุด โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า “เป็นที่ชัดเจนว่า ในช่วงที่ผ่านมาสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์เป็นคู่ความกับนายทะเบียนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตลอดจนพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ได้เรียกร้องมาโดยตลอดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหมดความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดในการที่จะตรวจสอบการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาโดยตลอด ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าการสรุปสำนวนของกกต. ที่ส่งให้อัยการสูงสุดนั้นเป็นไปด้วยความอคติ”
ตั้งข้อสังเกต สำนวน 1,500 หน้า พิจารณาครึ่งวัน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการของอัยการสูงสุดได้ใช้เวลาและกระบวนการที่สั้นมากในการพิจารณาสิ่งที่ กกต.ส่งไปเมื่อเย็นวานนี้ และมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในการปฏิบัติเมื่อเทียบเคียงกับกรณีของพรรคไทยรักไทย โดยจะเห็นได้ว่าในกรณีของพรรคไทยรักไทยและพรรคอื่นๆนั้นนอกเหนือจากการส่งเรื่องไปให้กกต.ดำเนินการแล้วเมื่อกกต.ส่งเรื่องกลับมายังให้เวลาคณะกรรมการเพื่อที่จะไปพิจารณาสำนวนโดยละเอียดเป็นระยะเวลาหลายวัน ในขณะที่สำนวนที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับเองว่ามีความหนามากถึง 1,500 หน้า กลับสามารถที่จะพิจารณาได้ในระยะเวลาเพียงครึ่งวันร่วมกับเรื่องอื่นๆอีก 4 สำนวนและโดยพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าทางคณะกรรมการก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่ากกต.มีปัญหาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย่อมที่จะทำสำนวนมาในลักษณะที่คาดได้ว่าจะเป็นโทษกับพรรคประชาธิปัตย์สูงสุด
ยืนยันต่อสู้ตามแนวทางและอุดมการณ์เดิมของพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นที่ 3 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อไป ซึ่งเราเข้าใจว่าจะเป็นเรื่องที่อัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นผู้พิจารณาต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันได้ว่าพรรคทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและเพื่อปกป้องวิถีทางประชาธิปไตยในการเมืองการปกครองตามเจตนารมณ์ของกฏหมายรัฐธรรมนูญ “ไม่ว่าการดำเนินการในเรื่องที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์ก็จะยืนยันที่จะต่อสู้ตามแนวทางและอุดมการณ์เดิม เพราะเราจะไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องความไม่ชอบธรรมมาครอบงำในทุกกระบวนการของสังคมเพียงเพื่อสะกัดกั้น มิให้คนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือต่อต้านความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในประเทศชาติบ้านเมือง อันนี้คือสิ่งที่พรรคอยากจะขอเรียนยืนยันและขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงการดำเนินการของพรรคที่ผ่านมาและเพื่อให้ความมั่นใจของพี่น้องประชาชนว่าแนวทางนี้คือแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องดำเนินการต่อไป”
ยังไม่คิดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ขอต่อสู้ตามอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงแม้ว่าพรรคจะมีความพร้อมแต่ก็ต้องอยู่ภายใต้ระบอบมิชอบแล้วจะเดินไปได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่ากำลังต่อสู้อยู่กับอะไร และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับอำนาจรัฐทั้งอะไรอีกทั้งหลาย ๆ อย่างแต่พรรคยืนยันว่าพรรคจะทำหน้าที่นี้และจะยืนหยัดต่อสู้และเป็นตัวแทนแห่งความถูกต้องต่อไป เมื่อถามว่ามีความคิดที่จะจัดตั้งพรรคใหม่หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการคิดที่จะก่อตั้งพรรคใหม่ พรรคคิดแต่เพียงว่า พรรคจะยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุดและจะไม่มีการเปลี่ยนจุดยืนซึ่งตนเชื่อว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรคนของพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ที่ไหนในสถานะใดก็จะยืนหยัดต่อสู้ตามอุดมการณ์และแนวทางที่ได้ต่อสู้มา 60 ปี
ยืนยันเดินหน้าสู้ ‘ระบอบทักษิณ’ ต่อ
ต่อข้อถามที่ว่า รู้สึกเสียใจหรือไม่ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในภาวะที่นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกเสียใจ แต่คิดเพียงว่าภารกิจข้างหน้าคือการต่อสู้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะตนมั่นใจว่าสิ่งที่พรรคดำเนินการอยู่คือความถูกต้องเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและเป็นการปกป้องหลักในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นพรรคต้องยืนหยัดดำเนินการต่อไปเพราะพรรคทราบดีว่าภายใต้ระบบที่เลวร้ายที่เรียกว่าระบบทักษิณนั้นพรรคสู้อยู่กับอะไร เพราะฉะนั้นไม่มีเวลาที่จะเสียใจ เวลาที่เหลืออยู่คือต้องเดินหน้าเพื่อต่อสู้ ล้มล้างระบบนี้ ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนการต่อสู้ใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้ดำเนินไปตามกระบวนการตามกฏหมายรัฐธรรมนูญทุกประการ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยมีความเข้มแข็งพอที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้
ติงนายกฯ เรียกอัยการเข้าพบ ผิดกาลเทศะ
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอัยการเข้าพบนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องไปถามอัยการสูงสุด แต่สิ่งที่ตนได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนเช้าวันนี้ คือตนเห็นว่าการที่นายกฯทักษิณเชิญอัยการสูงสุดไปเมื่อวานนี้ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดกาลเทศะอย่างยิ่ง ทำให้การกระทำเช่นนี้เป็นการเพิ่มและตอกย้ำความไม่มั่นใจกระบวนการต่าง ๆ ในสังคมโดยไม่จำเป็น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 มิ.ย. 2549--จบ--
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยแกนนำพรรค อาทิ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายวิทยา แก้วภราดัย นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ นายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคฯ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคฯ ร่วมแถลงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่คณะอนุกรรมการที่อัยการสูงสุดแต่งตั้ง มีมติให้ยุบพรรคการเมือง 5 พรรครวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้แถลงว่า
ยืนยันไม่มีพฤติกรรมตามข้อกล่าวหา
ประเด็นแรก ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีพฤติกรรมใดๆตามที่ถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเป็นปฏิปักษ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือการกระทำใดๆที่จะไปกระทบกระเทือนกับความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกแถลงการณ์เพื่อที่จะชี้แจงในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งจะขอให้สื่อมวลชนช่วยเผยแพร่ให้พี่น้องประชาชนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศได้รับทราบ
เชื่อการสรุปสำนวนของกกต. ที่ส่งให้อัยการสูงสุดนั้น มีอคติ
ประเด็นที่สอง พรรคประชาธิปัตย์ขอตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งเป็นผู้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดในฐานะนายทะเบียนว่ากระบวนการของการพิจารณา นับตั้งแต่ที่กกต.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพรรคไทยรักไทยให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความไม่ชอบมาพากล และมีความไม่โปร่งใสอยู่หลายเรื่อง เช่น 1. การที่ไม่อนุญาตให้พรรคประชาธิปัตย์ได้สำเนาคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนรวมทั้งข้อร้องเรียนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ 2. กรณีที่ได้เชิญตนและเลขาธิการพรรคไปให้ข้อเท็จจริง แต่ประเด็นที่สอบถามไม่ตรงกับประเด็นที่กล่าวหา 3. กรณีที่เมื่อวานนี้ประธานคณะอนุกรรมการการสอบสวน (ของกกต.) ได้ยืนยันว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ แต่ต่อมาก็กลับมีการรวบรัดสรุปเรื่องราวทั้งหลายส่งให้อัยการสูงสุด โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวย้ำว่า “เป็นที่ชัดเจนว่า ในช่วงที่ผ่านมาสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์เป็นคู่ความกับนายทะเบียนและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตลอดจนพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ได้เรียกร้องมาโดยตลอดว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งหมดความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่และพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดในการที่จะตรวจสอบการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาโดยตลอด ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าการสรุปสำนวนของกกต. ที่ส่งให้อัยการสูงสุดนั้นเป็นไปด้วยความอคติ”
ตั้งข้อสังเกต สำนวน 1,500 หน้า พิจารณาครึ่งวัน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการของอัยการสูงสุดได้ใช้เวลาและกระบวนการที่สั้นมากในการพิจารณาสิ่งที่ กกต.ส่งไปเมื่อเย็นวานนี้ และมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในการปฏิบัติเมื่อเทียบเคียงกับกรณีของพรรคไทยรักไทย โดยจะเห็นได้ว่าในกรณีของพรรคไทยรักไทยและพรรคอื่นๆนั้นนอกเหนือจากการส่งเรื่องไปให้กกต.ดำเนินการแล้วเมื่อกกต.ส่งเรื่องกลับมายังให้เวลาคณะกรรมการเพื่อที่จะไปพิจารณาสำนวนโดยละเอียดเป็นระยะเวลาหลายวัน ในขณะที่สำนวนที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับเองว่ามีความหนามากถึง 1,500 หน้า กลับสามารถที่จะพิจารณาได้ในระยะเวลาเพียงครึ่งวันร่วมกับเรื่องอื่นๆอีก 4 สำนวนและโดยพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าทางคณะกรรมการก็ย่อมทราบอยู่แล้วว่ากกต.มีปัญหาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย่อมที่จะทำสำนวนมาในลักษณะที่คาดได้ว่าจะเป็นโทษกับพรรคประชาธิปัตย์สูงสุด
ยืนยันต่อสู้ตามแนวทางและอุดมการณ์เดิมของพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นที่ 3 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อไป ซึ่งเราเข้าใจว่าจะเป็นเรื่องที่อัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นผู้พิจารณาต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันได้ว่าพรรคทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและเพื่อปกป้องวิถีทางประชาธิปไตยในการเมืองการปกครองตามเจตนารมณ์ของกฏหมายรัฐธรรมนูญ “ไม่ว่าการดำเนินการในเรื่องที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์ก็จะยืนยันที่จะต่อสู้ตามแนวทางและอุดมการณ์เดิม เพราะเราจะไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องความไม่ชอบธรรมมาครอบงำในทุกกระบวนการของสังคมเพียงเพื่อสะกัดกั้น มิให้คนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือต่อต้านความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในประเทศชาติบ้านเมือง อันนี้คือสิ่งที่พรรคอยากจะขอเรียนยืนยันและขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงการดำเนินการของพรรคที่ผ่านมาและเพื่อให้ความมั่นใจของพี่น้องประชาชนว่าแนวทางนี้คือแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องดำเนินการต่อไป”
ยังไม่คิดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ขอต่อสู้ตามอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงแม้ว่าพรรคจะมีความพร้อมแต่ก็ต้องอยู่ภายใต้ระบอบมิชอบแล้วจะเดินไปได้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ทราบดีว่ากำลังต่อสู้อยู่กับอะไร และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้กับอำนาจรัฐทั้งอะไรอีกทั้งหลาย ๆ อย่างแต่พรรคยืนยันว่าพรรคจะทำหน้าที่นี้และจะยืนหยัดต่อสู้และเป็นตัวแทนแห่งความถูกต้องต่อไป เมื่อถามว่ามีความคิดที่จะจัดตั้งพรรคใหม่หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการคิดที่จะก่อตั้งพรรคใหม่ พรรคคิดแต่เพียงว่า พรรคจะยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุดและจะไม่มีการเปลี่ยนจุดยืนซึ่งตนเชื่อว่าไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรคนของพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ที่ไหนในสถานะใดก็จะยืนหยัดต่อสู้ตามอุดมการณ์และแนวทางที่ได้ต่อสู้มา 60 ปี
ยืนยันเดินหน้าสู้ ‘ระบอบทักษิณ’ ต่อ
ต่อข้อถามที่ว่า รู้สึกเสียใจหรือไม่ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในภาวะที่นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกเสียใจ แต่คิดเพียงว่าภารกิจข้างหน้าคือการต่อสู้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะตนมั่นใจว่าสิ่งที่พรรคดำเนินการอยู่คือความถูกต้องเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและเป็นการปกป้องหลักในระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นพรรคต้องยืนหยัดดำเนินการต่อไปเพราะพรรคทราบดีว่าภายใต้ระบบที่เลวร้ายที่เรียกว่าระบบทักษิณนั้นพรรคสู้อยู่กับอะไร เพราะฉะนั้นไม่มีเวลาที่จะเสียใจ เวลาที่เหลืออยู่คือต้องเดินหน้าเพื่อต่อสู้ ล้มล้างระบบนี้ ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนการต่อสู้ใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้ดำเนินไปตามกระบวนการตามกฏหมายรัฐธรรมนูญทุกประการ ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยมีความเข้มแข็งพอที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้
ติงนายกฯ เรียกอัยการเข้าพบ ผิดกาลเทศะ
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอัยการเข้าพบนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องไปถามอัยการสูงสุด แต่สิ่งที่ตนได้กล่าวไปตั้งแต่ตอนเช้าวันนี้ คือตนเห็นว่าการที่นายกฯทักษิณเชิญอัยการสูงสุดไปเมื่อวานนี้ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดกาลเทศะอย่างยิ่ง ทำให้การกระทำเช่นนี้เป็นการเพิ่มและตอกย้ำความไม่มั่นใจกระบวนการต่าง ๆ ในสังคมโดยไม่จำเป็น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 มิ.ย. 2549--จบ--