สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐในเวลานี้ได้ปรับตัวลดลงโดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์เริ่มชะลอตัวลงและรัฐบาลสหรัฐได้ประกาศว่าธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างงานใหม่ได้เพียง 75,000 อัตรา น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 100,000 อัตรา นอกจากนี้ยังมีสัญญาณอีกว่าภาวะเงินเฟ้อที่สงบอาจเริ่มมีปัญหา นอกจากปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่ยังคงพุ่งสูงมีผลกระทบต่อราคาสินค้า เป็นผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อสูง นักเศรษฐศาสตร์บางรายเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในครั้งนี้คล้ายคลึงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเดียวกันกับปี 2543 แต่ขณะเดียวกันยังมีความหวังว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในครั้งนี้จะจบลงได้ดีกว่า โดยภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.3 ต่อปี ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปีนี้อัตราการเติบโตอยู่ระดับประมาณร้อยละ 2.5 และในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน จะปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 1
นายเดวิด ไวส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แสตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้กล่าวว่าหลักฐานที่แสดงว่าเศรษฐกิจของสหรัฐกำลังชะลอตัวลงค่อนข้างเร็วอยู่ที่การชะลอตัวด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยที่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นสูงและการจ้างงานชะลอตัวลงเป็นผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภค ประเด็นที่สำคัญคือ การใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมซึ่งมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดชะลอตัวลง ธุรกิจค้าปลีกหลายรายมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าความคาดหมาย อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ได้มองเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 16 ครั้งรวดภายใน 2 ปี เนื่องจากเป็นการเพิ่มต้นทุนเงินกู้ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
ประเด็นวิเคราะห์:
ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐในเวลานี้กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยเนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ความมั่นใจของผู้บริโภคที่ลดลง การจ้างงานที่ชะลอตัวลง ธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐหลายรายมีผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์จาก conomy.com เห็นว่าเมื่อเศรษฐกิจชะลอลงมาก ดังนั้นการที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างราบรื่นจะต้องอาศัยการพลิกแพลงอย่างมากและสถานการณ์ของสหรัฐก็ไม่ใช่เรื่องปกติ
ที่มา: http://www.depthai.go.th