กรุงเทพ--15 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ศูนย์ข่าว กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ ร่วมฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เยือนไทยอย่างเป็นทางการ
นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนาย เหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีกำหนดจะเยือนระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2549 ส่วนนายกรัฐมนตรีเวียดนามจะเยือนระหว่างวันที่ 20 - 21 ธันวาคม 2549
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 18 และ 20 ธันวาคม ตามลำดับ
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีลาวจะได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี และหารือเต็มคณะกับฝ่ายไทย โดยจะหารือกันในประเด็นต่างๆ เช่น การพัฒนาเครือข่ายคมนาคมไทย-ลาว การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน และการแก้ปัญหาชาวม้งลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ลงนามในเอกสารสำคัญ ได้แก่
- บันทึกความเข้ใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าในลาวเพื่อขยายการรับซื้อไฟฟ้าจากลาวเพิ่มจาก 3,000 เมกะวัตต์ เป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558
- ความตกลงว่าด้วยสะพานมิตรภาพ 2 เพื่อกำหนดระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการและบำรุงรักษาสะพาน
- หนังสือแลกเปลี่ยนความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-ลาวเพื่อเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ลาว เพื่อลงทุนในโครงการก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2
- สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไฟฟ้าต่างๆ ในลาว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 1 และน้ำงึม 3
ในส่วนของเวียดนาม ก็จะมีการหารือในระดับนายกรัฐมนตรีในเรื่องต่างๆ เช่น การฉลองครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ความร่วมมือในกรอบ ACMECS และ GMS การจัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน การทำสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ การส่งเสริมการลงทุน และความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ให้การรับรองแผนยุทธศาสตร์ร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เวียดนาม ซึ่งเป็นแผนแม่บทความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในอนาคตด้วย
2. การเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ร่วมกับนาย
บุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศลาว และจะมีนายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีลาว
นาย Katsuhito Asano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นาย Kozo Yamamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าญี่ปุ่น และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีด้วย
โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงจากทางตะวันออกคือ เมืองดานัง (เวียดนาม) ข้ามแม่น้ำโขงฝั่งลาวที่แขวงสะหวันนะเขต ต่อมายังไทยที่จังหวัดมุกดาหาร และผ่านไปยังฝั่งตะวันตกที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอดและเมืองเมียวดี ก่อนจะไปสิ้นสุดที่เมืองมะละแหม่งของพม่า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวตลอดจนการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนไทย-ลาว และประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
3. อัฟกานิสถานสนใจเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาจากไทย
วันที่ 13 ธ.ค. 2549 ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้นำนาย Mohammand Ehsan Zia รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการตั้งถิ่นฐานและพัฒนาชนบท และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างไทยกับอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชน เช่น โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โครงการปลูกพืชทดแทนยาเสพติด และการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ทางเกษตรและปศุสัตว์
ฝ่ายอัฟกานิสถานแจ้งว่า ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาประเทศจากไทย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และสนใจจะเรียนรู้วิธีการปลูกพืชทดแทนยาเสพติด (crop substitution) ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเบลเยี่ยม 837,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการ Sustainable Alternative Livelihood Development ที่จังหวัด Balkh ทางภาคเหนือของอัฟกานิสถาน ซึ่งไทยมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ
นอกจากนี้ อัฟกานิสถานขอความร่วมมือไทยในการพัฒนาระบบชลประทาน และประสงค์ให้ภาคธุรกิจเอกชนของไทยเข้าไปลงทุนในด้านต่างๆ ในอัฟกานิสถาน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ความร่วมมือไตรภาคี โดยใช้ความช่วยเหลือด้านวิชาการจากไทย แต่ใช้งบประมาณจากแหล่งต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อช่วยในการพัฒนาประเทศ เป็นแนวทางที่เหมาะสมและสมควรจะต้องดำเนินการต่อไป
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ-สพร.) ได้ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่อัฟกานิสถานอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรมประจำปี โดยเฉพาะในด้านการแก้ปัญหาความยากจน การเกษตร สาธารณสุข การค้าการลงทุน และการแก้ปัญหายาเสพติด
4. สหรัฐฯ ต่ออายุ GSP ให้ไทย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2549 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายเกี่ยวกับการต่ออายุ GSP สรุปสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ให้ขยายการสิทธิพิเศษ GSP ออกไปอีก 2 ปี
(1 ม.ค. 50 — 31 ธ.ค. 51)
สินค้าไทยที่อยู่ในข่ายที่จะถูกตัดสิทธิ GSP ได้แก่สินค้าอัญมณีรายการที่ 71131950 (ทอง) ซึ่งในปี 2548 ส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 590.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 16.5 ของมูลค่าการส่งออกภายใต้สิทธิ GSP
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ซึ่งรัฐสภาสหรัฐฯ และ USTR ได้เริ่มกระบวนการทบทวนการต่ออายุ GSP สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตันได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือกับสมาชิกรัฐสภา USTR กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ ในทุกโอกาสอย่างต่อเนื่อง ถึงผลกระทบหากไทยถูกตัด GSP ซึ่งช่วยให้ฝ่ายต่างๆ ของสหรัฐฯ เข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
5. ไทยจะลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2549 ที่ประชุม Ad Hoc Committee ( AHC) สมัยที่ 8 (สมัยต่อเนื่อง) ได้ให้การรับรองโดยไม่มีการลงคะแนนเสียงต่อร่างรายงานสุดท้าย (Final Draft Report) ของ AHC พร้อมทั้งภาคผนวกที่เป็นร่างอนุสัญญาฯ และร่างพิธีสารเลือกรับฯ จากนั้น จะมีการนำเสนอรายงานของ AHC รวมทั้งร่างอนุสัญญาฯ และร่างพิธีสารเลือกรับฯ ต่อที่ประชุมเต็มคณะของสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 61 (UNGA 61) เพื่อพิจารณารับรองต่อไป ก่อนที่จะเปิดให้ประเทศต่างๆ ลงนามเข้าเป็นภาคี
ร่างอนุสัญญาฯ มีข้อบทสำคัญ เช่น การส่งเสริมการพัฒนากฎระเบียบ นโยบายและโครงการที่ส่งเสริมและปกป้องสิทธิคนพิการ การขจัดการเลือกประติบัติ และการจัดตั้งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ เพื่อติดตามการปฏิบัติของรัฐภาคีตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา เป็นต้น และ ในส่วนของร่างพิธีสารเลือกรับฯ นั้น มีสาระสำคัญคือ อนุญาตให้คณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ สามารถรับข้อร้องเรียนจากปัจเจกบุคคลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศรัฐภาคีได้
ที่ประชุมสมัชชาฯ กำหนดจะพิจารณารับรองร่างข้อมติเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นในวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ซึ่งไทยจะร่วมฉันทามติดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีการรับรองร่างข้อมติโดยการลงคะแนนเสียง ไทยก็พร้อมที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนร่างข้อมตินี้เพื่อยืนยันถึงความสำคัญที่ไทยให้กับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิคนพิการ
ภายหลังจากที่ร่างข้อมติได้รับการรับรองแล้ว สหประชาชาติจะเปิดให้ประเทศสมาชิกและองค์การระดับภูมิภาคลงนามเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารฯและให้สัตยาบันที่สำนักงานสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป โดยอนุสัญญาฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศเข้าเป็นภาคีครบ 20 ประเทศ
6. บริษัทซีเมนส์ลงนามในสัญญาสร้างโรงไฟฟ้าในไทย
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2549 บริษัทซีเมนส์และบริษัทมารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมกันลงนามกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในสัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมชุดที่ 5 ขนาดกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ ในตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน มี.ค. 2552 (ค.ศ. 2009)
ภายใต้สัญญานี้ กลุ่มกิจการค้าร่วมซีเมนส์-มารูเบนิ จะเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และการให้บริการต่าง ๆ ทั้งเรื่องการออกแบบ การผลิต การติดตั้ง และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งจะประกอบด้วยเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบต่างๆ จำนวน 5 เครื่อง
การที่บริษัท Siemens ยังคงยืนยันและเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยต่อไปเป็นการแสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจของยุโรปยังคงมั่นใจในประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งการลงทุนในภูมิภาค ถึงแม้ว่าไทยจะประสบกับการเปลั่ยนแปลงทางการเมืองในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น ภาคธุรกิจระหว่างไทยกับยุโรปยังคงทำ “business as usual”
7. กระทรวงการต่างประเทศจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ ณ จังหวัดสกลนครและนครพนม
กองหนังสือเดินทาง กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งกำหนดการจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ไปให้บริการประชาชน ดังนี้
- จังหวัดสกลนคร ระหว่างวันที่ 13-16 ธันวาคม 2549 ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัด
- จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2549 ณ ศาลาประชาคม
โดยทั้งสองแห่งจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 8.00 — 17.00 น.
การจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ออกไปให้บริการประชาชนตามจังหวัดต่างๆ นี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการทูตเพื่อประชาชนของกระทรวงการต่างประเทศในการอำนวยความสะดวกและเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีสำนักงานหนังสือเดินทางตั้งอยู่ (ปัจจุบันมีสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสงขลา)
8. กระทรวงการต่างประเทศร่วมฉลอง 60 ปีของการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของไทย
กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสมาคมสหประชาชาติแห่งประเทศไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) จัดกิจกรรมเพื่อฉลองโอกาสวันครบรอบ 60 ปีที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (16 ธันวาคม 2549) ระหว่างวันที่ 15 — 24 ธันวาคม 2549 ณ ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้เยาวชนและ ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของไทยในสหประชาชาติ โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดนิทรรศการ การเสวนา กิจกรรมตอบคำถาม การเล่นเกม และจัดจำหน่ายสินค้าพิเศษ
ในโอกาสนี้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นประธานในพิธีฯ โดยมี ดร. มนัสพาสน์ ชูโต นายกสมาคมสหประชาชาติแห่งประเทศไทย และนายคิม ฮัก-ซู รองเลขาธิการสหประชาชาติและเลขาธิการบริหารเอสแคป ร่วมเป็นประธานในพิธีฯ และกล่าวสุนทรพจน์ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดเรียงความประจำปี 2549 และผู้ชนะการแข่งขันตอบคำถามเกี่ยวกับสหประชาชาติด้วย
สำหรับกิจกรรมในวันที่ 16 ธันวาคม 2549 จะมีการจัดเสวนา ณ บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่าในหัวข้อ “เยาวชนไทยและสหประชาชาติ” โดยเยาวชนที่เคยมีประสบการณ์ในเวทีการประชุมสหประชาชาติ
คำถาม
ท่าทีไทยต่อปัญหาม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
อธิบดีกรมสารนิเทศแจ้งดังนี้
1. ไทยถือว่าม้งลาวเป็นพวกเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะดำเนินการในเรื่องนี้ตามกฎหมายไทย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
3. อย่างไรก็ดี ไทยจะพิจารณาเรื่องนี้โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และทัศนะของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
4. ไทยและลาวได้หารือกันมาตลอด โดยเมื่อวันที่ 7- 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ GBC ซึ่งผลการประชุมสะท้อนถึงแนวโน้มความร่วมมือที่ดีระหว่างกัน และในวันที่ 19 ธันวาคม ศกนี้ จะมีการประชุม GBC ซึ่งจะได้หารือกันเกี่ยวกับปัญหาม้งลาวต่อไป นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายจะได้หารือกันในเรื่องนี้ด้วย
5. ปัญหาม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2549 นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวประจำสัปดาห์ ณ ศูนย์ข่าว กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว หนังสือพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ ร่วมฟังและซักถามในประเด็นต่างๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เยือนไทยอย่างเป็นทางการ
นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนาย เหวียน เติน ซุง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีกำหนดจะเยือนระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม 2549 ส่วนนายกรัฐมนตรีเวียดนามจะเยือนระหว่างวันที่ 20 - 21 ธันวาคม 2549
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 18 และ 20 ธันวาคม ตามลำดับ
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีลาวจะได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรี และหารือเต็มคณะกับฝ่ายไทย โดยจะหารือกันในประเด็นต่างๆ เช่น การพัฒนาเครือข่ายคมนาคมไทย-ลาว การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน และการแก้ปัญหาชาวม้งลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ลงนามในเอกสารสำคัญ ได้แก่
- บันทึกความเข้ใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าในลาวเพื่อขยายการรับซื้อไฟฟ้าจากลาวเพิ่มจาก 3,000 เมกะวัตต์ เป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558
- ความตกลงว่าด้วยสะพานมิตรภาพ 2 เพื่อกำหนดระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการและบำรุงรักษาสะพาน
- หนังสือแลกเปลี่ยนความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-ลาวเพื่อเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-ลาว
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ลาว เพื่อลงทุนในโครงการก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2
- สัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการไฟฟ้าต่างๆ ในลาว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 1 และน้ำงึม 3
ในส่วนของเวียดนาม ก็จะมีการหารือในระดับนายกรัฐมนตรีในเรื่องต่างๆ เช่น การฉลองครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ความร่วมมือในกรอบ ACMECS และ GMS การจัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน การทำสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ การส่งเสริมการลงทุน และความร่วมมือด้านความมั่นคง ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะได้ให้การรับรองแผนยุทธศาสตร์ร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เวียดนาม ซึ่งเป็นแผนแม่บทความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในอนาคตด้วย
2. การเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต)
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ร่วมกับนาย
บุนยัง วอละจิด รองประธานประเทศลาว และจะมีนายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีลาว
นาย Katsuhito Asano รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นาย Kozo Yamamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าญี่ปุ่น และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีด้วย
โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกในแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงจากทางตะวันออกคือ เมืองดานัง (เวียดนาม) ข้ามแม่น้ำโขงฝั่งลาวที่แขวงสะหวันนะเขต ต่อมายังไทยที่จังหวัดมุกดาหาร และผ่านไปยังฝั่งตะวันตกที่ชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอดและเมืองเมียวดี ก่อนจะไปสิ้นสุดที่เมืองมะละแหม่งของพม่า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมขนส่ง การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวตลอดจนการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนไทย-ลาว และประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
3. อัฟกานิสถานสนใจเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาจากไทย
วันที่ 13 ธ.ค. 2549 ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้นำนาย Mohammand Ehsan Zia รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการตั้งถิ่นฐานและพัฒนาชนบท และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างไทยกับอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชน เช่น โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โครงการปลูกพืชทดแทนยาเสพติด และการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ทางเกษตรและปศุสัตว์
ฝ่ายอัฟกานิสถานแจ้งว่า ต้องการเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาประเทศจากไทย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และสนใจจะเรียนรู้วิธีการปลูกพืชทดแทนยาเสพติด (crop substitution) ทั้งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเบลเยี่ยม 837,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการ Sustainable Alternative Livelihood Development ที่จังหวัด Balkh ทางภาคเหนือของอัฟกานิสถาน ซึ่งไทยมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ
นอกจากนี้ อัฟกานิสถานขอความร่วมมือไทยในการพัฒนาระบบชลประทาน และประสงค์ให้ภาคธุรกิจเอกชนของไทยเข้าไปลงทุนในด้านต่างๆ ในอัฟกานิสถาน
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ความร่วมมือไตรภาคี โดยใช้ความช่วยเหลือด้านวิชาการจากไทย แต่ใช้งบประมาณจากแหล่งต่างๆ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อช่วยในการพัฒนาประเทศ เป็นแนวทางที่เหมาะสมและสมควรจะต้องดำเนินการต่อไป
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ-สพร.) ได้ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่อัฟกานิสถานอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรมประจำปี โดยเฉพาะในด้านการแก้ปัญหาความยากจน การเกษตร สาธารณสุข การค้าการลงทุน และการแก้ปัญหายาเสพติด
4. สหรัฐฯ ต่ออายุ GSP ให้ไทย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2549 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายเกี่ยวกับการต่ออายุ GSP สรุปสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ให้ขยายการสิทธิพิเศษ GSP ออกไปอีก 2 ปี
(1 ม.ค. 50 — 31 ธ.ค. 51)
สินค้าไทยที่อยู่ในข่ายที่จะถูกตัดสิทธิ GSP ได้แก่สินค้าอัญมณีรายการที่ 71131950 (ทอง) ซึ่งในปี 2548 ส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 590.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 16.5 ของมูลค่าการส่งออกภายใต้สิทธิ GSP
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ซึ่งรัฐสภาสหรัฐฯ และ USTR ได้เริ่มกระบวนการทบทวนการต่ออายุ GSP สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตันได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือกับสมาชิกรัฐสภา USTR กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ ในทุกโอกาสอย่างต่อเนื่อง ถึงผลกระทบหากไทยถูกตัด GSP ซึ่งช่วยให้ฝ่ายต่างๆ ของสหรัฐฯ เข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
5. ไทยจะลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2549 ที่ประชุม Ad Hoc Committee ( AHC) สมัยที่ 8 (สมัยต่อเนื่อง) ได้ให้การรับรองโดยไม่มีการลงคะแนนเสียงต่อร่างรายงานสุดท้าย (Final Draft Report) ของ AHC พร้อมทั้งภาคผนวกที่เป็นร่างอนุสัญญาฯ และร่างพิธีสารเลือกรับฯ จากนั้น จะมีการนำเสนอรายงานของ AHC รวมทั้งร่างอนุสัญญาฯ และร่างพิธีสารเลือกรับฯ ต่อที่ประชุมเต็มคณะของสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 61 (UNGA 61) เพื่อพิจารณารับรองต่อไป ก่อนที่จะเปิดให้ประเทศต่างๆ ลงนามเข้าเป็นภาคี
ร่างอนุสัญญาฯ มีข้อบทสำคัญ เช่น การส่งเสริมการพัฒนากฎระเบียบ นโยบายและโครงการที่ส่งเสริมและปกป้องสิทธิคนพิการ การขจัดการเลือกประติบัติ และการจัดตั้งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ เพื่อติดตามการปฏิบัติของรัฐภาคีตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญา เป็นต้น และ ในส่วนของร่างพิธีสารเลือกรับฯ นั้น มีสาระสำคัญคือ อนุญาตให้คณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ สามารถรับข้อร้องเรียนจากปัจเจกบุคคลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศรัฐภาคีได้
ที่ประชุมสมัชชาฯ กำหนดจะพิจารณารับรองร่างข้อมติเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นในวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ซึ่งไทยจะร่วมฉันทามติดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีการรับรองร่างข้อมติโดยการลงคะแนนเสียง ไทยก็พร้อมที่จะลงคะแนนเสียงสนับสนุนร่างข้อมตินี้เพื่อยืนยันถึงความสำคัญที่ไทยให้กับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิคนพิการ
ภายหลังจากที่ร่างข้อมติได้รับการรับรองแล้ว สหประชาชาติจะเปิดให้ประเทศสมาชิกและองค์การระดับภูมิภาคลงนามเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและพิธีสารฯและให้สัตยาบันที่สำนักงานสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป โดยอนุสัญญาฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อมีประเทศเข้าเป็นภาคีครบ 20 ประเทศ
6. บริษัทซีเมนส์ลงนามในสัญญาสร้างโรงไฟฟ้าในไทย
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2549 บริษัทซีเมนส์และบริษัทมารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมกันลงนามกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในสัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมชุดที่ 5 ขนาดกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ ในตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน มี.ค. 2552 (ค.ศ. 2009)
ภายใต้สัญญานี้ กลุ่มกิจการค้าร่วมซีเมนส์-มารูเบนิ จะเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และการให้บริการต่าง ๆ ทั้งเรื่องการออกแบบ การผลิต การติดตั้ง และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งจะประกอบด้วยเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบต่างๆ จำนวน 5 เครื่อง
การที่บริษัท Siemens ยังคงยืนยันและเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยต่อไปเป็นการแสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจของยุโรปยังคงมั่นใจในประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งการลงทุนในภูมิภาค ถึงแม้ว่าไทยจะประสบกับการเปลั่ยนแปลงทางการเมืองในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น ภาคธุรกิจระหว่างไทยกับยุโรปยังคงทำ “business as usual”
7. กระทรวงการต่างประเทศจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ ณ จังหวัดสกลนครและนครพนม
กองหนังสือเดินทาง กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งกำหนดการจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ไปให้บริการประชาชน ดังนี้
- จังหวัดสกลนคร ระหว่างวันที่ 13-16 ธันวาคม 2549 ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัด
- จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2549 ณ ศาลาประชาคม
โดยทั้งสองแห่งจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 8.00 — 17.00 น.
การจัดหน่วยหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ออกไปให้บริการประชาชนตามจังหวัดต่างๆ นี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินนโยบายการทูตเพื่อประชาชนของกระทรวงการต่างประเทศในการอำนวยความสะดวกและเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่ไม่มีสำนักงานหนังสือเดินทางตั้งอยู่ (ปัจจุบันมีสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสงขลา)
8. กระทรวงการต่างประเทศร่วมฉลอง 60 ปีของการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของไทย
กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสมาคมสหประชาชาติแห่งประเทศไทยและคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) จัดกิจกรรมเพื่อฉลองโอกาสวันครบรอบ 60 ปีที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ (16 ธันวาคม 2549) ระหว่างวันที่ 15 — 24 ธันวาคม 2549 ณ ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้เยาวชนและ ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของไทยในสหประชาชาติ โดยจะมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดนิทรรศการ การเสวนา กิจกรรมตอบคำถาม การเล่นเกม และจัดจำหน่ายสินค้าพิเศษ
ในโอกาสนี้ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นประธานในพิธีฯ โดยมี ดร. มนัสพาสน์ ชูโต นายกสมาคมสหประชาชาติแห่งประเทศไทย และนายคิม ฮัก-ซู รองเลขาธิการสหประชาชาติและเลขาธิการบริหารเอสแคป ร่วมเป็นประธานในพิธีฯ และกล่าวสุนทรพจน์ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการประกวดเรียงความประจำปี 2549 และผู้ชนะการแข่งขันตอบคำถามเกี่ยวกับสหประชาชาติด้วย
สำหรับกิจกรรมในวันที่ 16 ธันวาคม 2549 จะมีการจัดเสวนา ณ บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่าในหัวข้อ “เยาวชนไทยและสหประชาชาติ” โดยเยาวชนที่เคยมีประสบการณ์ในเวทีการประชุมสหประชาชาติ
คำถาม
ท่าทีไทยต่อปัญหาม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
อธิบดีกรมสารนิเทศแจ้งดังนี้
1. ไทยถือว่าม้งลาวเป็นพวกเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะดำเนินการในเรื่องนี้ตามกฎหมายไทย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
3. อย่างไรก็ดี ไทยจะพิจารณาเรื่องนี้โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และทัศนะของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
4. ไทยและลาวได้หารือกันมาตลอด โดยเมื่อวันที่ 7- 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้ GBC ซึ่งผลการประชุมสะท้อนถึงแนวโน้มความร่วมมือที่ดีระหว่างกัน และในวันที่ 19 ธันวาคม ศกนี้ จะมีการประชุม GBC ซึ่งจะได้หารือกันเกี่ยวกับปัญหาม้งลาวต่อไป นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายจะได้หารือกันในเรื่องนี้ด้วย
5. ปัญหาม้งลาวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านจะต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-