ผมตั้งชื่อบทความแบบนี้ หลายคนอาจงงในความหมายที่แท้จริง ผมต้องการบอก 2 ประเด็น คือ
1. ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง มีความหมายตรงตัวว่า ด้วยการปฏิบัติของตัวคุณเอง จะสามารถลดการกินน้ำมันของรถได้
2. หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน
++ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง++
ในสภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงเช่นนี้ หลายคนหวาดผวากันไปทั่วและอยากเพิ่มความประหยัดให้กับการใช้รถเพราะไม่อยากจ่ายค่าเชื้อเพลิงต่อทุกกิโลเมตรในราคาแพงๆ ประเด็นสำคัญ คือจะทำอย่างไรให้รถใช้น้ำมันน้อยลงในการเดินทาง
หลายคนพุ่งความสนใจไปที่การดัดแปลงเครื่องยนต์หรือรถโดยมองข้ามไปว่าตัวการสำคัญที่จะทำให้เปลืองน้ำมันแค่ไหน อยู่ที่ตัวผู้ขับเองสไตล์หรือบุคลิกการขับรถ ส่งผลโดยตรงถึงการกินน้ำมัน
ถ้ายังงงให้นึกเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ในการเดินทางพร้อมกันสภาพการจราจรเหมือนกัน2 คนขับรถ 2 คันรุ่นเดียวกัน ระหว่างบางกะปิ-สีลม หากคนหนึ่งกดคันเร่งหนักๆบ่อยๆ เร่งแล้วเบรก กับอีกคนขับอย่างนุ่มนวล เร่งนุ่มและนานๆ เบรกทีนึง รถ 2 คันนี้อาจกินน้ำมันต่างกันได้ถึง 2 กิโลเมตรต่อลิตร
อย่าสงสัยเลยว่า ในเมื่อการจราจรเดียวกับรถคับคั่งเหมือนกันทำไมคันหนึ่งจะกินน้ำมันมากกว่าขนาดนี้ เพราะการกินน้ำมันไม่ได้เกิดขึ้นจากการขับเร็วเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องการการเรียกใช้รอบของเครื่องยนต์ด้วยคันเร่ง ยิ่งกดพรวดพราดบ่อยๆ ก็ยิ่งเปลืองน้ำมันกว่าการกดคันเร่งอย่างนุ่มนวล ประเมินสภาพการจรจรไปด้วย พยายามเบรกให้น้อยที่สุด ความนุ่มนวลในการกดคันเร่ง การกดคันเร่งไม่ลึก และการรักษาความนิ่งของตำแหน่งคันเร่งยิ่งทำได้ดีเท่าไรยิ่งช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนในกรณีของความเร็ว แน่นอนว่ายิ่งขับช้ายิ่งประหยัด แต่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับลักษณะการกดคันเร่งข้างต้นด้วยเพราะการที่รถจะเคลื่อนที่ได้เร็ว ต้องเอาชนะทั้งแรงดึงดูดของโลกและพยายามฝ่ากำแพงลม ยิ่งเร็วกำแพงลมยิ่งแข็ง กินแรงเครื่องยนต์และทำให้กินน้ำมัน
การขับรถช้าจะเพิ่มความประหยัด แต่อย่าช้าเกินสภาพการจรจรที่ควรจะเป็นและความปลอดภัย หากขับข้าแล้วเสี่ยงที่จะโดนชนท้ายก็เร่งเอาตัวรอดไว้ก่อนดีกว่านอกจากนั้นการรักษาความเร็วให้คงที่ได้นานที่สุดในแต่ละช่วง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า การขับช้าแต่ความเร็วแกว่งขึ้น-ลงบ่อยๆ
แรงดันลมยาง แค่แรงดันอ่อนลงสัก 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลให้รถกินน้ำมันมากขึ้นได้ เพราะยางจะลดความกลม จึงหมุนยากขึ้น แม้ยางแข็ง-อ่อนจะส่งผลไม่มาก แต่การดูแลแรงดันลมยางก็ไม่ยากเช่นกัน หากไม่สะเทือนมาก การเพิ่มแรงดันลมยางให้สูงกว่าปกติสัก 1-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลถึงความประหยัดได้บ้าง ถึงจะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็ได้ผลแน่ๆ
การเบรกก็มีผลต่อการกินน้ำมัน เพราะทุกครั้งที่เบรก ความเร็วจะลดลง ถ้าต้องการไปต่อก็ต้องเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น การมองไกลเพื่อประเมินสถานการณ์ข้างหน้า ละคันเร่งเร็ว ปล่อยไหล แต่ไม่เบรกรอเพื่อกดคันเร่งต่อ กับละคันเร่งช้า แตะเบรก แล้วกดคันเร่งต่อการปฏิบัติอย่างหลังทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าเมื่อทราบแล้วว่าการเบรกส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้น ก็อย่าถึงขั้นใจแข็งมากไม่ยอมเบรกจนกว่าจะจวนตัวจริงๆ เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด
การลดน้ำหนักบรรทุกในสิ่งไม่จำเป็น ให้ยกออกจากรถจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันได้ แต่อย่าถึงขั้นเอายางอะไหล่หรือแม่แรงออกเพราะคิดว่ายางรั่วหรือแตกยากอยู่แล้วเพราะเมื่อไรจำเป็นต้องใช้ยางอะไหล่แล้วไม่มี จะลำบากมาก
++หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด++
ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน หลายคนกังวลเรื่องการกินน้ำมัน แต่เลือกรถที่มีพื้นฐานกินน้ำมันดุ ซึ่งยังไงก็หนีไม่พ้นและหาทางเลี่ยงไม่ได้ เช่น ใช้งานแค่คนสองคน แต่ซื้อรถเก๋งคันโต, ไม่จำเป็นต้องลุย แต่ซื้อเอสยูวีคันโต รถเปล่าก็หนัก 2 ตัน ทั้งต้านลมทั้งกินแรงเครื่องตัวโตอุ้ยอ้ายไปตลอดการเดินทาง, ชอบเอสยูวีคันโย่งเครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ถึงบางรุ่นจะไม่หนักไม่โตมาก แต่ก็ใหญ่กว่าและต้านลมกว่ารถเก๋งคอมแพกต์แน่ๆ, อยากได้เอ็มพีวีรถตู้ไฮเทคคันโตนั่งได้ 7 คน รวมน้ำหนักบรรทุกเป็น 2 ตันกว่า ยังไงก็ต้องกินน้ำมันดุ
จะให้ขับรถคอมแพกต์ เครื่อง 1,500-1,600 ซีซี น้ำหนักตัวตันเดียวก็ไม่เอา ชอบรถใหญ่ แต่กลัวกินน้ำมัน ย่อมหนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือก
การกินน้ำมันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นฐานของรถและผู้ขับ ถ้าพื้นฐานกินดุขับเนียนก็แค่ไม่กินดุมาก ถ้าพื้นฐานจิบน้ำมัน แต่ขับโหด ก็ย่อมกินเพิ่ม !
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
1. ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง มีความหมายตรงตัวว่า ด้วยการปฏิบัติของตัวคุณเอง จะสามารถลดการกินน้ำมันของรถได้
2. หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน
++ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง++
ในสภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงเช่นนี้ หลายคนหวาดผวากันไปทั่วและอยากเพิ่มความประหยัดให้กับการใช้รถเพราะไม่อยากจ่ายค่าเชื้อเพลิงต่อทุกกิโลเมตรในราคาแพงๆ ประเด็นสำคัญ คือจะทำอย่างไรให้รถใช้น้ำมันน้อยลงในการเดินทาง
หลายคนพุ่งความสนใจไปที่การดัดแปลงเครื่องยนต์หรือรถโดยมองข้ามไปว่าตัวการสำคัญที่จะทำให้เปลืองน้ำมันแค่ไหน อยู่ที่ตัวผู้ขับเองสไตล์หรือบุคลิกการขับรถ ส่งผลโดยตรงถึงการกินน้ำมัน
ถ้ายังงงให้นึกเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ในการเดินทางพร้อมกันสภาพการจราจรเหมือนกัน2 คนขับรถ 2 คันรุ่นเดียวกัน ระหว่างบางกะปิ-สีลม หากคนหนึ่งกดคันเร่งหนักๆบ่อยๆ เร่งแล้วเบรก กับอีกคนขับอย่างนุ่มนวล เร่งนุ่มและนานๆ เบรกทีนึง รถ 2 คันนี้อาจกินน้ำมันต่างกันได้ถึง 2 กิโลเมตรต่อลิตร
อย่าสงสัยเลยว่า ในเมื่อการจราจรเดียวกับรถคับคั่งเหมือนกันทำไมคันหนึ่งจะกินน้ำมันมากกว่าขนาดนี้ เพราะการกินน้ำมันไม่ได้เกิดขึ้นจากการขับเร็วเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องการการเรียกใช้รอบของเครื่องยนต์ด้วยคันเร่ง ยิ่งกดพรวดพราดบ่อยๆ ก็ยิ่งเปลืองน้ำมันกว่าการกดคันเร่งอย่างนุ่มนวล ประเมินสภาพการจรจรไปด้วย พยายามเบรกให้น้อยที่สุด ความนุ่มนวลในการกดคันเร่ง การกดคันเร่งไม่ลึก และการรักษาความนิ่งของตำแหน่งคันเร่งยิ่งทำได้ดีเท่าไรยิ่งช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนในกรณีของความเร็ว แน่นอนว่ายิ่งขับช้ายิ่งประหยัด แต่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับลักษณะการกดคันเร่งข้างต้นด้วยเพราะการที่รถจะเคลื่อนที่ได้เร็ว ต้องเอาชนะทั้งแรงดึงดูดของโลกและพยายามฝ่ากำแพงลม ยิ่งเร็วกำแพงลมยิ่งแข็ง กินแรงเครื่องยนต์และทำให้กินน้ำมัน
การขับรถช้าจะเพิ่มความประหยัด แต่อย่าช้าเกินสภาพการจรจรที่ควรจะเป็นและความปลอดภัย หากขับข้าแล้วเสี่ยงที่จะโดนชนท้ายก็เร่งเอาตัวรอดไว้ก่อนดีกว่านอกจากนั้นการรักษาความเร็วให้คงที่ได้นานที่สุดในแต่ละช่วง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า การขับช้าแต่ความเร็วแกว่งขึ้น-ลงบ่อยๆ
แรงดันลมยาง แค่แรงดันอ่อนลงสัก 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลให้รถกินน้ำมันมากขึ้นได้ เพราะยางจะลดความกลม จึงหมุนยากขึ้น แม้ยางแข็ง-อ่อนจะส่งผลไม่มาก แต่การดูแลแรงดันลมยางก็ไม่ยากเช่นกัน หากไม่สะเทือนมาก การเพิ่มแรงดันลมยางให้สูงกว่าปกติสัก 1-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลถึงความประหยัดได้บ้าง ถึงจะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็ได้ผลแน่ๆ
การเบรกก็มีผลต่อการกินน้ำมัน เพราะทุกครั้งที่เบรก ความเร็วจะลดลง ถ้าต้องการไปต่อก็ต้องเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น การมองไกลเพื่อประเมินสถานการณ์ข้างหน้า ละคันเร่งเร็ว ปล่อยไหล แต่ไม่เบรกรอเพื่อกดคันเร่งต่อ กับละคันเร่งช้า แตะเบรก แล้วกดคันเร่งต่อการปฏิบัติอย่างหลังทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าเมื่อทราบแล้วว่าการเบรกส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้น ก็อย่าถึงขั้นใจแข็งมากไม่ยอมเบรกจนกว่าจะจวนตัวจริงๆ เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด
การลดน้ำหนักบรรทุกในสิ่งไม่จำเป็น ให้ยกออกจากรถจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันได้ แต่อย่าถึงขั้นเอายางอะไหล่หรือแม่แรงออกเพราะคิดว่ายางรั่วหรือแตกยากอยู่แล้วเพราะเมื่อไรจำเป็นต้องใช้ยางอะไหล่แล้วไม่มี จะลำบากมาก
++หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด++
ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน หลายคนกังวลเรื่องการกินน้ำมัน แต่เลือกรถที่มีพื้นฐานกินน้ำมันดุ ซึ่งยังไงก็หนีไม่พ้นและหาทางเลี่ยงไม่ได้ เช่น ใช้งานแค่คนสองคน แต่ซื้อรถเก๋งคันโต, ไม่จำเป็นต้องลุย แต่ซื้อเอสยูวีคันโต รถเปล่าก็หนัก 2 ตัน ทั้งต้านลมทั้งกินแรงเครื่องตัวโตอุ้ยอ้ายไปตลอดการเดินทาง, ชอบเอสยูวีคันโย่งเครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ถึงบางรุ่นจะไม่หนักไม่โตมาก แต่ก็ใหญ่กว่าและต้านลมกว่ารถเก๋งคอมแพกต์แน่ๆ, อยากได้เอ็มพีวีรถตู้ไฮเทคคันโตนั่งได้ 7 คน รวมน้ำหนักบรรทุกเป็น 2 ตันกว่า ยังไงก็ต้องกินน้ำมันดุ
จะให้ขับรถคอมแพกต์ เครื่อง 1,500-1,600 ซีซี น้ำหนักตัวตันเดียวก็ไม่เอา ชอบรถใหญ่ แต่กลัวกินน้ำมัน ย่อมหนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือก
การกินน้ำมันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นฐานของรถและผู้ขับ ถ้าพื้นฐานกินดุขับเนียนก็แค่ไม่กินดุมาก ถ้าพื้นฐานจิบน้ำมัน แต่ขับโหด ก็ย่อมกินเพิ่ม !
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-