ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.48 ขยายตัว 24.9% ส่งผลให้เกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกใน
รอบปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.48 มีมูลค่า 10,181 ล.ดอลลาร์ สรอ.
ขยายตัว 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นครั้งแรกที่มูลค่าการส่งออก
เกิน 1 หมื่น ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 10,171 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 21.2% โดยเดือน
ส.ค.นี้เป็นเดือนแรกที่กลับมาเกินดุลการค้า 10 ล.ดอลลาร์ สรอ. นับตั้งแต่ต้นปีที่ขาดดุลการค้ามาโดยตลอด ทั้งนี้
เมื่อรวมการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 71,529.9 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว
15.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน การนำเข้ามีมูลค่า 79,757.8 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 28.96% โดย
ไทยยังขาดดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 8,227.9 ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วง 4 เดือนที่เหลือ
(ก.ย.-ธ.ค.) คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 44,307 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 28.8% ขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะ
มีมูลค่า 39,322 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับตลอดทั้งปี 48 คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 115,837 ล.ดอลลาร์
สรอ. ขยายตัวได้ 20% ตามเป้าหมาย และการนำเข้าจะมีมูลค่า 119,109 ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้ขาด
ดุลการค้า 3,272 ล.ดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกกล่าวว่า มีแนวโน้มว่าการส่งออก
ของไทยจะยังคงขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการส่งออกมากสุด
ของทุกปี (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. ธ.กรุงเทพประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 49 ขยายตัว 4% เช่นเดียวกับปี 48 ประธาน
กรรมการบริหาร ธ.กรุงเทพ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจในปี 49 ว่า โดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้
โดยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่มีเสถียรภาพ
และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจะอยู่ในระดับเดียวกับปี 48 ที่ประมาณ 4% ตามที่ธนาคารเคย
ประเมินไว้ ในส่วนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใน
ขณะนี้ ธปท.มีสัญญาณที่ชัดเจนในการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย จึงเชื่อว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
แน่นอนภายในปีนี้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเฟดคือ 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ
3.25% (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
3. ธ.ก.ส.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภท 0.25-1.25% ผู้จัดการธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภท 0.25-
1.25% เพื่อให้ใกล้เคียงกับ ธพ.อื่น มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. เป็นต้นไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่ปรับขึ้น
เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร หากปรับขึ้นจะเป็นภาระให้กับเกษตรกรมากขึ้น แต่ธนาคารจะพิจารณาใน
ช่วง 1-2 เดือนก่อนสิ้นปี โดยอาจพิจารณาปรับเพิ่ม 0.25-1% (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ก.คลังเตรียมเสนอมาตรการภาษีช่วยเหลือผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปต่อที่ประชุม ครม. นายไชย
ยศ สะสมทรัพย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังจะเสนอมาตรการภาษีช่วยเหลือผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ให้ที่ประชุม
ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า ซึ่งแหล่งข่าวจาก ก.คลังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีข้อเสนอ 3 แนวทาง คือ แนว
ทางแรกเป็นข้อเสนอเดิมของกรมสรรพากรที่ให้เงินได้พึงยกเว้น 120,000 บาทต่อปี นอกเหนือจากค่าลดหย่อนและ
ค่าใช้จ่ายที่มีอยู่เดิม และแนวทางที่เหลือ ได้แก่ เพิ่มเงินได้พึงยกเว้น 2 วงเงิน คือ 150,000 บาทต่อปี และ
200,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ ก.คลังมองว่าผลกระทบจากการเพิ่มเงินได้พึงยกเว้นจากเดิม 120,000 บาท จะกระทบ
ต่อรายได้ของกรมสรรพากรเพียงเล็กน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีเพียง 100,000 กว่ารายที่อยู่ในระบบฐานผู้มี
รายได้ต้องเสียภาษี (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF จะให้สิทธิในการออกเสียงแก่ประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกาเพิ่มขึ้น รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 19 ก.ย.48 กรรมการผู้จัดการ IMF กล่าวแถลงต่อสื่อมวลชนว่า IMF จะทบทวนกลยุทธ์และ
บทบาทของตนเองในฐานะผู้ดูแลระบบการเงินของโลกใหม่ หลังจากได้รับคำวิจารณ์จากประเทศสมาชิกว่า IMF ไม่
ปรับตัวตามโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดย IMF จะจัดสรรสิทธิในการออกเสียงแก่ประเทศสมาชิก
ใหม่จากเดิมที่กำหนดเป็นโควต้าตามขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศซึ่งทำให้สิทธิในการออกเสียงส่วนใหญ่ตกเป็น
ของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง สรอ.และประเทศในยุโรปและทำให้มีสิทธิในการออกเสียงเลือกผู้นำ
ของ IMF และ ธนาคารโลกมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วย โดยประเทศสมาชิกที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวด
เร็วในภูมิภาคเอเชียได้เรียกร้องมาเป็นเวลานานแล้วที่จะให้มีการจัดสรรโควต้าในการออกเสียงของ IMF และ
ธนาคารโลกใหม่เพื่อให้สะท้อนส่วนได้เสียที่กำลังเพิ่มขึ้นของประเทศเหล่านี้ในเศรษฐกิจโลก โดยประเทศในภูมิภาค
เอเชียได้เริ่มเคลื่อนไหวในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วโดยเป็นอิสระและ
ปราศจากความช่วยเหลือจาก IMF (รอยเตอร์)
2. รมว.คลังฝรั่งเศสและอังกฤษต้องการให้ G7 พบประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหารือในเรื่องราคา
น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 48 รมว.คลังฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ต้องการให้กลุ่ม
ประเทศอุตสาหกรรม (G7) พบปะกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหารือแนวทางในการเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับราคา
น้ำมันที่สูงขึ้นอย่างมากในขณะนี้ ทั้งนี้เป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มปริมาณน้ำมันและวัดระดับความต้องการในตลาดน้ำมัน ซึ่ง
กลุ่ม G7 ควรจะหาแนวทางเพื่อตกลงกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน โดยทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษได้พูดถึงความจำเป็นที่กลุ่ม
G7 ควรเข้าไปมีบทบาทร่วมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหาแนวทางให้ตลาดน้ำมันมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่ง
ปัจจุบันกลุ่ม G7 เห็นว่าไม่มีความโปร่งใสระหว่างความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและอุปทานน้ำมันในขณะนี้ ทั้งนี้รัฐบาล
ฝรั่งเศสหวังว่าจะป้องกันปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นที่จุดบริการน้ำมันได้ (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมและคำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.2 และ 3.7 ตามลำดับ ธ.กลางเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมเยอรมนีในเดือน ก.ค.48
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ขณะที่คำสั่งซื้อผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธ.กลางเยอรมนี กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมธุรกิจในภาค
อุตสาหกรรมการผลิตฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อเริ่มไตรมาสที่ 3 ปี 48 อย่างไรก็ตาม หากปรับปัจจัยทางฤดูกาล
แล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นอาจไม่ขยายตัวมากเช่นนั้น เนื่องจากผลกระทบจากวันหยุดในช่วงฤดูร้อนปีนี้น้อยกว่าปีก่อน นอกจากนี้ จากรายงานของ ธ.กลางเยอรมนียังพบว่า การแข่งขันของภาคการก่อสร้างของเยอรมนีในกลางปีที่ผ่าน
มาค่อนข้างจะมีมากขึ้น สำหรับด้านภาวะเงินเฟ้อของเยอรมนี เจ้าหน้าที่ ธ.กลางกล่าวว่าบางส่วนเป็นผลมา
จากราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์รอยเตอร์คาดการณ์ว่า
อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนนี้จะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.3 เทียบต่อปี จากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.
ค.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ทั้งนี้ สำนักงานสถิติจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย.48 เบื้องต้นในช่วงต้น
สัปดาห์หน้า หลังจากที่ได้รับตัวเลขจาก 6 มลรัฐของเยอรมนีแล้ว (รอยเตอร์)
4. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ ณ กลางเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นจำนวน 1.48
พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากโซล เมื่อ 20 ก.ย.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตรา
ระหว่างประเทศของเกาหลีใต้ (ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน) ณ
กลางเดือน ก.ย.48 อยู่ที่ระดับ 208.20 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากระดับ 206.71 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ
เพิ่มขึ้นจำนวน 1.48 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ลดลง 1.61 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือน ส.ค.48
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์สกุลเยนและยูโรเมื่อเทียบเป็นดอลลาร์
สรอ. ขณะที่ข้อมูลจากรอยเตอร์พบว่า ทั้งเงินเยนและยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ในช่วงครึ่ง
เดือนแรกของเดือน ก.ย.48 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองฯ ครั้งนี้เป็นผลมาจาก
การแทรกแซงเข้าซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ของ ธ.กลาง เพื่อลดความแข็งแกร่งของค่าเงินวอน ทั้งนี้ เพื่อช่วยผู้ส่ง
ออกของตน อนึ่ง ตัวเลขทุนสำรองฯ ของเกาหลีใต้ล่าสุด (15 ก.ย.48) ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตัวเลข ณ วันที่
15 ส.ค.48 ที่อยู่จำนวน 208.32 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.ย. 48 19 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.078 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8788/41.1672 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.34639 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 708.98/ 12.19 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,000/9,100 8,850/8,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.81 55.54 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.48 ขยายตัว 24.9% ส่งผลให้เกินดุลการค้าเป็นครั้งแรกใน
รอบปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.48 มีมูลค่า 10,181 ล.ดอลลาร์ สรอ.
ขยายตัว 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นครั้งแรกที่มูลค่าการส่งออก
เกิน 1 หมื่น ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 10,171 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 21.2% โดยเดือน
ส.ค.นี้เป็นเดือนแรกที่กลับมาเกินดุลการค้า 10 ล.ดอลลาร์ สรอ. นับตั้งแต่ต้นปีที่ขาดดุลการค้ามาโดยตลอด ทั้งนี้
เมื่อรวมการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 71,529.9 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว
15.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน การนำเข้ามีมูลค่า 79,757.8 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 28.96% โดย
ไทยยังขาดดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 8,227.9 ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วง 4 เดือนที่เหลือ
(ก.ย.-ธ.ค.) คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 44,307 ล.ดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว 28.8% ขณะที่การนำเข้าคาดว่าจะ
มีมูลค่า 39,322 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับตลอดทั้งปี 48 คาดว่าการส่งออกจะมีมูลค่า 115,837 ล.ดอลลาร์
สรอ. ขยายตัวได้ 20% ตามเป้าหมาย และการนำเข้าจะมีมูลค่า 119,109 ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่งผลให้ขาด
ดุลการค้า 3,272 ล.ดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกกล่าวว่า มีแนวโน้มว่าการส่งออก
ของไทยจะยังคงขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่มีการส่งออกมากสุด
ของทุกปี (ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. ธ.กรุงเทพประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจปี 49 ขยายตัว 4% เช่นเดียวกับปี 48 ประธาน
กรรมการบริหาร ธ.กรุงเทพ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจในปี 49 ว่า โดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้
โดยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่มีเสถียรภาพ
และคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจะอยู่ในระดับเดียวกับปี 48 ที่ประมาณ 4% ตามที่ธนาคารเคย
ประเมินไว้ ในส่วนของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยใน
ขณะนี้ ธปท.มีสัญญาณที่ชัดเจนในการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย จึงเชื่อว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
แน่นอนภายในปีนี้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเฟดคือ 4% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ
3.25% (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
3. ธ.ก.ส.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภท 0.25-1.25% ผู้จัดการธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภท 0.25-
1.25% เพื่อให้ใกล้เคียงกับ ธพ.อื่น มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. เป็นต้นไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่ปรับขึ้น
เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร หากปรับขึ้นจะเป็นภาระให้กับเกษตรกรมากขึ้น แต่ธนาคารจะพิจารณาใน
ช่วง 1-2 เดือนก่อนสิ้นปี โดยอาจพิจารณาปรับเพิ่ม 0.25-1% (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ก.คลังเตรียมเสนอมาตรการภาษีช่วยเหลือผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปต่อที่ประชุม ครม. นายไชย
ยศ สะสมทรัพย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังจะเสนอมาตรการภาษีช่วยเหลือผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ให้ที่ประชุม
ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า ซึ่งแหล่งข่าวจาก ก.คลังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีข้อเสนอ 3 แนวทาง คือ แนว
ทางแรกเป็นข้อเสนอเดิมของกรมสรรพากรที่ให้เงินได้พึงยกเว้น 120,000 บาทต่อปี นอกเหนือจากค่าลดหย่อนและ
ค่าใช้จ่ายที่มีอยู่เดิม และแนวทางที่เหลือ ได้แก่ เพิ่มเงินได้พึงยกเว้น 2 วงเงิน คือ 150,000 บาทต่อปี และ
200,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ ก.คลังมองว่าผลกระทบจากการเพิ่มเงินได้พึงยกเว้นจากเดิม 120,000 บาท จะกระทบ
ต่อรายได้ของกรมสรรพากรเพียงเล็กน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีเพียง 100,000 กว่ารายที่อยู่ในระบบฐานผู้มี
รายได้ต้องเสียภาษี (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF จะให้สิทธิในการออกเสียงแก่ประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกาเพิ่มขึ้น รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 19 ก.ย.48 กรรมการผู้จัดการ IMF กล่าวแถลงต่อสื่อมวลชนว่า IMF จะทบทวนกลยุทธ์และ
บทบาทของตนเองในฐานะผู้ดูแลระบบการเงินของโลกใหม่ หลังจากได้รับคำวิจารณ์จากประเทศสมาชิกว่า IMF ไม่
ปรับตัวตามโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดย IMF จะจัดสรรสิทธิในการออกเสียงแก่ประเทศสมาชิก
ใหม่จากเดิมที่กำหนดเป็นโควต้าตามขนาดเศรษฐกิจของแต่ละประเทศซึ่งทำให้สิทธิในการออกเสียงส่วนใหญ่ตกเป็น
ของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง สรอ.และประเทศในยุโรปและทำให้มีสิทธิในการออกเสียงเลือกผู้นำ
ของ IMF และ ธนาคารโลกมากกว่าประเทศอื่น ๆ ด้วย โดยประเทศสมาชิกที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างรวด
เร็วในภูมิภาคเอเชียได้เรียกร้องมาเป็นเวลานานแล้วที่จะให้มีการจัดสรรโควต้าในการออกเสียงของ IMF และ
ธนาคารโลกใหม่เพื่อให้สะท้อนส่วนได้เสียที่กำลังเพิ่มขึ้นของประเทศเหล่านี้ในเศรษฐกิจโลก โดยประเทศในภูมิภาค
เอเชียได้เริ่มเคลื่อนไหวในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วโดยเป็นอิสระและ
ปราศจากความช่วยเหลือจาก IMF (รอยเตอร์)
2. รมว.คลังฝรั่งเศสและอังกฤษต้องการให้ G7 พบประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหารือในเรื่องราคา
น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 48 รมว.คลังฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ต้องการให้กลุ่ม
ประเทศอุตสาหกรรม (G7) พบปะกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหารือแนวทางในการเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับราคา
น้ำมันที่สูงขึ้นอย่างมากในขณะนี้ ทั้งนี้เป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มปริมาณน้ำมันและวัดระดับความต้องการในตลาดน้ำมัน ซึ่ง
กลุ่ม G7 ควรจะหาแนวทางเพื่อตกลงกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน โดยทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษได้พูดถึงความจำเป็นที่กลุ่ม
G7 ควรเข้าไปมีบทบาทร่วมกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อหาแนวทางให้ตลาดน้ำมันมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่ง
ปัจจุบันกลุ่ม G7 เห็นว่าไม่มีความโปร่งใสระหว่างความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและอุปทานน้ำมันในขณะนี้ ทั้งนี้รัฐบาล
ฝรั่งเศสหวังว่าจะป้องกันปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นที่จุดบริการน้ำมันได้ (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมและคำสั่งซื้ออุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีในเดือน ก.ค.48 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.2 และ 3.7 ตามลำดับ ธ.กลางเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมเยอรมนีในเดือน ก.ค.48
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ขณะที่คำสั่งซื้อผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่นัก
วิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธ.กลางเยอรมนี กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมธุรกิจในภาค
อุตสาหกรรมการผลิตฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อเริ่มไตรมาสที่ 3 ปี 48 อย่างไรก็ตาม หากปรับปัจจัยทางฤดูกาล
แล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นอาจไม่ขยายตัวมากเช่นนั้น เนื่องจากผลกระทบจากวันหยุดในช่วงฤดูร้อนปีนี้น้อยกว่าปีก่อน นอกจากนี้ จากรายงานของ ธ.กลางเยอรมนียังพบว่า การแข่งขันของภาคการก่อสร้างของเยอรมนีในกลางปีที่ผ่าน
มาค่อนข้างจะมีมากขึ้น สำหรับด้านภาวะเงินเฟ้อของเยอรมนี เจ้าหน้าที่ ธ.กลางกล่าวว่าบางส่วนเป็นผลมา
จากราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค.48 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์รอยเตอร์คาดการณ์ว่า
อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนนี้จะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2.3 เทียบต่อปี จากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ส.
ค.48 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ทั้งนี้ สำนักงานสถิติจะรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย.48 เบื้องต้นในช่วงต้น
สัปดาห์หน้า หลังจากที่ได้รับตัวเลขจาก 6 มลรัฐของเยอรมนีแล้ว (รอยเตอร์)
4. ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ ณ กลางเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นจำนวน 1.48
พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานจากโซล เมื่อ 20 ก.ย.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตรา
ระหว่างประเทศของเกาหลีใต้ (ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน) ณ
กลางเดือน ก.ย.48 อยู่ที่ระดับ 208.20 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. จากระดับ 206.71 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หรือ
เพิ่มขึ้นจำนวน 1.48 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ลดลง 1.61 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือน ส.ค.48
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทุนสำรองฯ เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์สกุลเยนและยูโรเมื่อเทียบเป็นดอลลาร์
สรอ. ขณะที่ข้อมูลจากรอยเตอร์พบว่า ทั้งเงินเยนและยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.ในช่วงครึ่ง
เดือนแรกของเดือน ก.ย.48 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เห็นว่าการเพิ่มขึ้นของทุนสำรองฯ ครั้งนี้เป็นผลมาจาก
การแทรกแซงเข้าซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ของ ธ.กลาง เพื่อลดความแข็งแกร่งของค่าเงินวอน ทั้งนี้ เพื่อช่วยผู้ส่ง
ออกของตน อนึ่ง ตัวเลขทุนสำรองฯ ของเกาหลีใต้ล่าสุด (15 ก.ย.48) ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตัวเลข ณ วันที่
15 ส.ค.48 ที่อยู่จำนวน 208.32 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.ย. 48 19 ก.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.078 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8788/41.1672 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.34639 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 708.98/ 12.19 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,000/9,100 8,850/8,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 58.81 55.54 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 27.74*/24.19* 27.74*/24.19 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 18 ก.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--