เศรษฐกิจโดยรวมเดือนพฤษภาคม 2549 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งการผลิตในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น การส่งออกและรายได้รัฐบาลในเดือนนี้ขยายตัวในเกณฑ์ดี อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง
ด้านอุปทาน รายได้เกษตรกรขยายตัวดีต่อเนื่อง เพราะราคายังคงสูงขึ้น ส่วนผลผลิตเกษตรชะลอตัวลงเล็กน้อย การผลิตภาคอุตสาหกรรมเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งจากการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่และการผลิตเพื่อตลาดต่างประเทศ สำหรับภาคบริการ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยรวมขยายตัวในเกณฑ์ดีจากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การท่องเที่ยวในเดือนนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ
เสถียรภาพเศรษฐกิจในเดือนนี้มีแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อและดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงเล็กน้อย ด้านเสถียรภาพต่างประเทศ ดุลการค้า ดุลบริการ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ส่วนฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม ปี 2549 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากเดือนเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 8.9 เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน เพราะหมวดยานยนต์ขยายตัวดีขึ้นจากการผลิตรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดสิ่งทอขยายตัวดี เพราะอุปสงค์จากต่างประเทศ หมวดที่การผลิตลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นผลจากฐานในปีก่อน ที่ได้รับคำสั่งซื้อสูงผิดปรกติ อัตราการใช้กำลังการผลิต (ที่ปรับฤดูกาลแล้ว) ของภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 75.7 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.7 ในเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 1.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนองค์ประกอบที่ทำให้ดัชนีสูงขึ้น มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และ ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่ง ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวลง แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ (รวมการนำเข้าดาวเทียม) ขยายตัว ในเดือนนี้ ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างหดตัวต่อเนื่อง เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 247.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ10.0 ซึ่งมาจากรายได้ภาษี ทั้งจากภาษีฐานรายได้ซึ่งขยายตัวร้อยละ 18.0 เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขยายตัวร้อยละ 10.3 และร้อยละ 14.2 ตามลำดับ ส่วนภาษีจากฐานการบริโภคขยายตัวร้อยละ 11.4 สำหรับ ดุลเงินสดรัฐบาลในเดือนนี้ขาดดุล จำนวน 6.2 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าขาดดุล 760 ล้านดอลลาร์ สรอ. แม้การส่งออกจะมีมูลค่าสูงถึง10,708 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือขยายตัวร้อยละ 19.1 แต่การนำเข้าก็เร่งตัวมากเช่นกัน สินค้าออกสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรที่ราคายังอยู่ในเกณฑ์สูง ส่วนการนำเข้า ขยายตัวร้อยละ 9.0 คิดเป็นมูลค่า 11,468 ล้านดอลลาร์ สรอ. (รวมการนำเข้าดาวเทียมมูลค่า 101 ล้านดอลลาร์ สรอ.) จากการเพิ่มขึ้นของราคานำเข้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบในเดือนพฤษภาคมนี้กลับมาขยายตัวจากที่หดตัวในเดือนก่อน ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 176 ล้านดอลลาร์ สรอ. ที่สำคัญคือการส่งกำไรและเงินปันผลกลับของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงตกงวด ดุลบัญชีเดินสะพัด ในเดือนนี้ขาดดุล 936 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ดุลการชำระเงิน เกินดุล 196 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 57.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 5.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ตามราคาในหมวดพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนราคาในหมวดอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 เป็นผลจากการชะลอลงของค่าโดยสารสาธารณะเป็นสำคัญ ดัชนีราคาผู้ผลิตเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 11.6 โดยเป็นผลมาจากอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่สูงขึ้นเกือบเท่าตัวจากเดือนก่อนหน้า
6. ภาวะการเงินในเดือนพฤษภาคม 2549 เงินฝากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกัน ปีก่อน และเมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์บรรเทาความรุนแรงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน สำหรับสิทธิเรียกร้องจากภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์1/ ขยายตัวร้อยละ 7.8 แต่เมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ รวมทั้งการตัดสินเชื่อออกจากบัญชีและการโอนสินเชื่อไปยัง AMC แล้ว ขยายตัวร้อยละ 6.0 ชะลอลงจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจชะลอตัวลงเล็กน้อย
ฐานเงินขยายตัวร้อยละ 4.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนลดลง 16.7 พันล้านบาท เพราะความต้องการเงินสดของประชาชนลดลงหลังผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ในเดือนก่อน ส่วนปริมาณเงิน M2 และ M2a ขยายตัวร้อยละ 12.7 และ 9.1 ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณเงิน M3 และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) 2/ ขยายตัวร้อยละ 10.0 และ 10.2 ตามลำดับ โดยเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวค่อนข้างสูง อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยสูงขึ้นจากเดือนก่อน และในระหว่างเดือนตลาดเงินตึงตัวในบางช่วง เพราะธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต้องเตรียมสภาพคล่องเพื่อจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินปันผลของลูกค้า
ระหว่างวันที่ 1-27 มิถุนายน 2549 อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับตัวสูงขึ้นอีกตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.0 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549
7. ค่าเงินบาทในเดือนพฤษภาคม 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 38.01 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในเดือนเมษายนที่ 37.99 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนเมษายนเงินบาทอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับค่าเงินอื่น ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายหลักทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) เป็นจำนวนมากเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ระหว่างวันที่ 1-27 มิถุนายน 2549 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอีกเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์ สรอ. มาเฉลี่ยอยู่ที่ 38.35 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ. ดีขึ้น จากการที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสมากขึ้นที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก
ข้อมูลเพิ่มเติม: คุณธรรมนูญ สดศรีชัย โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่สังคมเชื่อถือและศรัทธา e-mail: thammans@bot.or.th
1/ หมายถึง สินเชื่อภาคเอกชนรวมการถือครองหลักทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
2/ หมายถึง ปริมาณเงินในความหมายที่กว้างกว่า M3 โดยได้รวมเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีลักษณะทดแทนเงินฝากได้ของสถาบันรับฝากเงินอื่น นอกเหนือจาก ธพ. บง. และธนาคารเฉพาะกิจ ในการจัดทำปริมาณเงินตามความหมายกว้างนี้ ธปท. ได้อ้างอิงคู่มือ Monetary and Financial Statistics Manual (MFSM2000) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยาม หลักการ และวิธีการจัดทำสามารถอ้างอิงได้ จาก http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/download/MS06T.doc ทั้งนี้ ตั้งแต่ ปี 2550 ธปท. จะเผยแพร่ ปริมาณเงินตามความหมายกว้างแทนปริมาณเงินอื่นๆ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ด้านอุปทาน รายได้เกษตรกรขยายตัวดีต่อเนื่อง เพราะราคายังคงสูงขึ้น ส่วนผลผลิตเกษตรชะลอตัวลงเล็กน้อย การผลิตภาคอุตสาหกรรมเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งจากการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่และการผลิตเพื่อตลาดต่างประเทศ สำหรับภาคบริการ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยรวมขยายตัวในเกณฑ์ดีจากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การท่องเที่ยวในเดือนนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ
เสถียรภาพเศรษฐกิจในเดือนนี้มีแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อและดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงเล็กน้อย ด้านเสถียรภาพต่างประเทศ ดุลการค้า ดุลบริการ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ส่วนฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคม ปี 2549 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากเดือนเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 8.9 เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน เพราะหมวดยานยนต์ขยายตัวดีขึ้นจากการผลิตรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดสิ่งทอขยายตัวดี เพราะอุปสงค์จากต่างประเทศ หมวดที่การผลิตลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นผลจากฐานในปีก่อน ที่ได้รับคำสั่งซื้อสูงผิดปรกติ อัตราการใช้กำลังการผลิต (ที่ปรับฤดูกาลแล้ว) ของภาคอุตสาหกรรมในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 75.7 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.7 ในเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 1.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนองค์ประกอบที่ทำให้ดัชนีสูงขึ้น มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และ ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่ง ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน การลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวลง แม้ว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ (รวมการนำเข้าดาวเทียม) ขยายตัว ในเดือนนี้ ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างหดตัวต่อเนื่อง เพราะภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 247.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ10.0 ซึ่งมาจากรายได้ภาษี ทั้งจากภาษีฐานรายได้ซึ่งขยายตัวร้อยละ 18.0 เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขยายตัวร้อยละ 10.3 และร้อยละ 14.2 ตามลำดับ ส่วนภาษีจากฐานการบริโภคขยายตัวร้อยละ 11.4 สำหรับ ดุลเงินสดรัฐบาลในเดือนนี้ขาดดุล จำนวน 6.2 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าขาดดุล 760 ล้านดอลลาร์ สรอ. แม้การส่งออกจะมีมูลค่าสูงถึง10,708 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือขยายตัวร้อยละ 19.1 แต่การนำเข้าก็เร่งตัวมากเช่นกัน สินค้าออกสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรที่ราคายังอยู่ในเกณฑ์สูง ส่วนการนำเข้า ขยายตัวร้อยละ 9.0 คิดเป็นมูลค่า 11,468 ล้านดอลลาร์ สรอ. (รวมการนำเข้าดาวเทียมมูลค่า 101 ล้านดอลลาร์ สรอ.) จากการเพิ่มขึ้นของราคานำเข้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบในเดือนพฤษภาคมนี้กลับมาขยายตัวจากที่หดตัวในเดือนก่อน ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ขาดดุล 176 ล้านดอลลาร์ สรอ. ที่สำคัญคือการส่งกำไรและเงินปันผลกลับของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงตกงวด ดุลบัญชีเดินสะพัด ในเดือนนี้ขาดดุล 936 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ดุลการชำระเงิน เกินดุล 196 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 57.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิ จำนวน 5.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ตามราคาในหมวดพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนราคาในหมวดอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.7 เป็นผลจากการชะลอลงของค่าโดยสารสาธารณะเป็นสำคัญ ดัชนีราคาผู้ผลิตเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 11.6 โดยเป็นผลมาจากอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่สูงขึ้นเกือบเท่าตัวจากเดือนก่อนหน้า
6. ภาวะการเงินในเดือนพฤษภาคม 2549 เงินฝากธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกัน ปีก่อน และเมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์บรรเทาความรุนแรงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน สำหรับสิทธิเรียกร้องจากภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์1/ ขยายตัวร้อยละ 7.8 แต่เมื่อหักผลของการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ รวมทั้งการตัดสินเชื่อออกจากบัญชีและการโอนสินเชื่อไปยัง AMC แล้ว ขยายตัวร้อยละ 6.0 ชะลอลงจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจชะลอตัวลงเล็กน้อย
ฐานเงินขยายตัวร้อยละ 4.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนลดลง 16.7 พันล้านบาท เพราะความต้องการเงินสดของประชาชนลดลงหลังผ่านพ้นเทศกาลสงกรานต์ในเดือนก่อน ส่วนปริมาณเงิน M2 และ M2a ขยายตัวร้อยละ 12.7 และ 9.1 ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณเงิน M3 และปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) 2/ ขยายตัวร้อยละ 10.0 และ 10.2 ตามลำดับ โดยเงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวค่อนข้างสูง อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ทั้งอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยสูงขึ้นจากเดือนก่อน และในระหว่างเดือนตลาดเงินตึงตัวในบางช่วง เพราะธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต้องเตรียมสภาพคล่องเพื่อจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินปันผลของลูกค้า
ระหว่างวันที่ 1-27 มิถุนายน 2549 อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับตัวสูงขึ้นอีกตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 5.0 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549
7. ค่าเงินบาทในเดือนพฤษภาคม 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 38.01 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในเดือนเมษายนที่ 37.99 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนเมษายนเงินบาทอ่อนค่าลง เช่นเดียวกับค่าเงินอื่น ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายหลักทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) เป็นจำนวนมากเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ดี ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ระหว่างวันที่ 1-27 มิถุนายน 2549 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอีกเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์ สรอ. มาเฉลี่ยอยู่ที่ 38.35 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ. ดีขึ้น จากการที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสมากขึ้นที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก
ข้อมูลเพิ่มเติม: คุณธรรมนูญ สดศรีชัย โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่สังคมเชื่อถือและศรัทธา e-mail: thammans@bot.or.th
1/ หมายถึง สินเชื่อภาคเอกชนรวมการถือครองหลักทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์
2/ หมายถึง ปริมาณเงินในความหมายที่กว้างกว่า M3 โดยได้รวมเงินรับฝากหรือเงินกู้ยืมที่มีลักษณะทดแทนเงินฝากได้ของสถาบันรับฝากเงินอื่น นอกเหนือจาก ธพ. บง. และธนาคารเฉพาะกิจ ในการจัดทำปริมาณเงินตามความหมายกว้างนี้ ธปท. ได้อ้างอิงคู่มือ Monetary and Financial Statistics Manual (MFSM2000) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายละเอียดเกี่ยวกับนิยาม หลักการ และวิธีการจัดทำสามารถอ้างอิงได้ จาก http://www.bot.or.th/bothomepage/databank/EconData/EconFinance/download/MS06T.doc ทั้งนี้ ตั้งแต่ ปี 2550 ธปท. จะเผยแพร่ ปริมาณเงินตามความหมายกว้างแทนปริมาณเงินอื่นๆ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--