สภาพัฒน์ชี้ปัญหาการเมืองฉุดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 21, 2006 11:33 —กรมส่งเสริมการส่งออก

          ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) กล่าวว่าการยุบสภาที่ผ่านมาและการรอจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานการผลักดันเศรษฐกิจไทยในปี 2549 ให้ขยายตัวในระดับ 5% ตามที่เคยได้ประมาณการเอาไว้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ทาง สศช. ได้เสนอมาตรการ 8 ข้อที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการในปี 2549 ซึ่งประกอบด้วย 1. ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก 2. การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ 3. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยการปรับโครงสร้างการผลิตตลอดจนห่วงโซ่ 4. มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าปลีก 5. การส่งเสริมการลงทุนและการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ 6. การสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 7. การปรับค่าแรงขั้นต่ำและค่าจ้างเงินเดือน และ 8. มาตรการด้านอื่นๆ เช่น การส่งเสริมการออมและการพัฒนาตลาดทุน การส่งเสริมการส่งออกและการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ 
สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2549 สศช. ได้มองว่ายังสามารถขยายตัวได้ 5% ซึ่งสูงกว่าปี 2548 แต่ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคือ ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและจะส่งผลต่อแรงซื้อของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน นอกจากนั้นกลุ่มประชาชนระดับกลางก็จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มมากขึ้นในขณะที่การขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดก็ยังมีแนวโน้มขาดดุลจึงต้องมีการเร่งรัดการส่งออกและบริหารการนำเข้าวัตถุดิบและส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว
ในขณะเดียวกัน สศช. กำลังจับตาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งหมดอย่างใกล้ชิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้
ด้านภาคเอกชนได้จัดให้มีการประชุมหารือร่วมกับประธานกลุ่มอุตสาหกรรม 18 กลุ่มถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการเมืองดังกล่าว โดยนายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าสถานการณ์ในเวลานี้ถือได้ว่าการเมืองนำเศรษฐกิจซึ่งในอดีตเศรษฐกิจจะนำการเมือง หากรัฐบาลสนใจแต่เรื่องการเมืองและไม่หันมาสนใจด้านเศรษฐกิจและโครงการต่างๆ ที่จะสนับสนุนแก่ภาคเอกชนก็จะลดน้อยลงซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ เห็นว่าจากเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองอาจจะส่งผลต่อนโยบายที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ในภูมิภาคแทนสิงคโปร์เพราะนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีความไม่มั่นใจทางการเมืองและได้ชะลอการเข้ามาลงทุนในไทย
ด้านนายพิชัย ถิ่นสันติสุข ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงามทดแทน กล่าวว่ากลุ่มพลังงานทดแทนนี้ถือเป็นกลุ่มใหญ่มีมูลค่าการลงทุนที่สูงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างนักลงทุนไทยและต่างชาติ และเมื่อมีเหตุทางการเมืองที่ไม่ปกติก็จะเกิดความไม่มั่นใจและจะมีการชะลอการลงทุน
สำหรับนายปรีชา เต็มพร้อม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ เห็นว่าการชะลอโครงการขนาดใหญ่(เมกะโปรเจค)ของรัฐบาลเนื่องจากเหตุการณ์ทางการเมืองไม่สงบเป็นการดับความหวังที่จะมีรายได้จากโครงการดังกล่าวของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เพราะการยุบสภามีผลให้รัฐบาลรักษาการไม่สามารถผลักดันโครงการเมกะโปรเจคจนกว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารให้เป็นรูปธรรมให้บรรลุผลได้อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลที่ไปมีส่วนในการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวก็ต้องชะลอตามไปด้วย
ประเด็นวิเคราะห์
ผลกระทบจากสถานการณ์ทางบ้านเมืองในระยะนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจบ้างไม่มากนัก เช่น โครงการเมกะโปรเจค แม้ว่าจะชะลออกไปแต่งบประมาณได้มีการจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว ปัญหาที่น่าวิตกคือความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขและเรียกความสนใจเหล่านี้กลับมาให้ได้โดยเร็ว
ที่มา: http://www.depthai.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ