วันนี้(1พ.ค.49)ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวสัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองกรณี ผลการเลือกตั้งสภาสมาชิกสภาเขต(ส.ข.)ว่าพรรคประชาธิปัตย์ขอขอบคุณสำหรับคะแนนที่สนับสนุนพรรคฯ ซึ่งครั้งนี้พรรคได้สมาชิกเพิ่มขึ้น แต่พรรคฯจะเดินหน้าทำงานหนักในพื้นที่ต่อไปโดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งตะวันออกกทม.
จากกรณีที่พรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าพรรคประชิปัตย์ เชิญทูตมาฟังการกล่าวหารัฐบาล ตนในฐานะโฆษกพรรคขอชี้แจงว่าการที่พรรคฯเชิญทูตเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการประชุมใหญ่สามัญของพรรคจะมีการปราศรัย และการเชิญทูตเข้าร่วมประชุม ซึ่งการเชิญทูตเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เป็นการเชิญมาเพื่อรับฟังข้อเท็จจริง และข้อมูลในหลายด้านจากประเทศไทย แทนที่จะรับฟังจากรัฐบาลเพียงด้านเดียว เพราะทูตที่ทำงานในประเทศไทย เข้ารับฟังและสังเกตการณ์การประชุมใหญ่ของพรรค จึงไม่ใช่การมาฟังการด่ารัฐบาลแต่อย่างใด และการปราศรัยดังกล่าวก็เป็นการกระทำที่เปิดเผยและต่อหน้าสาธารณะชน ทั้งนี้แตกต่างจากกรณีที่นายกฯที่เดินทางไปพบทูตในต่างประเทศ และคุยกัน 2 ต่อ 2 โดยไม่มีการเปิดเผยให้สาธารณะชน
ส่วนประเด็นการแปรรูปที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่มีจุดยืน นายองอาจ กล่าวยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าพรรคฯมีจุดยืนว่าการแปรรูปต้องไม่มีการเอาสายส่ง หรือเขื่อน ไปขายอย่างเด็ดขาด แต่ต้องเป็นการแปรรูปที่เป็นการแข่งขันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่าพรรนำนโยบายของพรรคไทยรักไทยมาต่อยอดนั้น ตนขอชี้แจงว่าพรรคมีจุดยืนว่าเรื่องไหนที่พอแก้ไขและใช้ได้ ต้องนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคไทยรักไทยระบุว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความชอบธรรมที่จะกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองอีกว่า หากพรรคไทยรักไทยอยากจะให้ความเชื่อมั่นความศรัทธาที่มีต่อผู้นำประเทศ หรือนายกรัฐมนตรีมีมากขึ้นกว่าเดิม นายกรัฐมนตรีก็ไม่ควรที่จะเปลี่ยนคำพูดไปมา และครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนคำพูดไปมาที่แท้จริง
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีความวิตกกังวล หรือมีปัญหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกหรือไม่ หรือจะเว้นวรรคทางการเมืองหรือไม่ เพราะพรรคไม่ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีทำอย่างนั้น แต่เชื่อว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศตอนนั้น เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถฝืนกระแสสังคมได้ต่อไป จึงได้ประกาศเว้นวรรค “เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีเองที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับคำพูดของท่าน เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องตอบคำถามต่อสังคมเป็นด้านหลักว่า ท่านจะเปลี่ยนคำพูดไปมา หรือจะรักษาคำพูดของท่านไว้อย่างเหนียวแน่น”นายองอาจ กล่าว
สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาเรื่องการเลือกตั้งส.ส.วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่นั้น นายองอาจ กล่าวว่า เป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อการร่วมกันแก้ไขวิกฤติทางการเมืองของประเทศไทย เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว พรรคเชื่อมั่นว่าศาลจะได้พิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ตามครรลองของกฎหมาย และตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วยความเป็นอิสระและรวดเร็ว
ส่วนที่กกต.ยังคงเดินหน้ารับรองผลการเลือกตั้งนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กกต.เป็นองค์กรที่หลงยุคไปแล้ว ไม่ได้สนใจเลยว่าบรรยากาศของสังคมนี้เรียกร้องหรือต้องการอะไร และประเทศชาติบ้านเมืองจะฝ่าวิกฤติไปได้อย่างไร แต่กกต.พยายามฝืนความเรียกร้องต้องการของสังคม ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และจะยิ่งเป็นหนทางที่จะทำให้ปัญหาบานปลายมากขึ้น จึงอยากให้กกต.นึกถึงสังคมส่วนรวมมากกว่าจะนึกถึงประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2549--จบ--
จากกรณีที่พรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าพรรคประชิปัตย์ เชิญทูตมาฟังการกล่าวหารัฐบาล ตนในฐานะโฆษกพรรคขอชี้แจงว่าการที่พรรคฯเชิญทูตเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการประชุมใหญ่สามัญของพรรคจะมีการปราศรัย และการเชิญทูตเข้าร่วมประชุม ซึ่งการเชิญทูตเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เป็นการเชิญมาเพื่อรับฟังข้อเท็จจริง และข้อมูลในหลายด้านจากประเทศไทย แทนที่จะรับฟังจากรัฐบาลเพียงด้านเดียว เพราะทูตที่ทำงานในประเทศไทย เข้ารับฟังและสังเกตการณ์การประชุมใหญ่ของพรรค จึงไม่ใช่การมาฟังการด่ารัฐบาลแต่อย่างใด และการปราศรัยดังกล่าวก็เป็นการกระทำที่เปิดเผยและต่อหน้าสาธารณะชน ทั้งนี้แตกต่างจากกรณีที่นายกฯที่เดินทางไปพบทูตในต่างประเทศ และคุยกัน 2 ต่อ 2 โดยไม่มีการเปิดเผยให้สาธารณะชน
ส่วนประเด็นการแปรรูปที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่มีจุดยืน นายองอาจ กล่าวยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าพรรคฯมีจุดยืนว่าการแปรรูปต้องไม่มีการเอาสายส่ง หรือเขื่อน ไปขายอย่างเด็ดขาด แต่ต้องเป็นการแปรรูปที่เป็นการแข่งขันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่าพรรนำนโยบายของพรรคไทยรักไทยมาต่อยอดนั้น ตนขอชี้แจงว่าพรรคมีจุดยืนว่าเรื่องไหนที่พอแก้ไขและใช้ได้ ต้องนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคไทยรักไทยระบุว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความชอบธรรมที่จะกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองอีกว่า หากพรรคไทยรักไทยอยากจะให้ความเชื่อมั่นความศรัทธาที่มีต่อผู้นำประเทศ หรือนายกรัฐมนตรีมีมากขึ้นกว่าเดิม นายกรัฐมนตรีก็ไม่ควรที่จะเปลี่ยนคำพูดไปมา และครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนคำพูดไปมาที่แท้จริง
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีความวิตกกังวล หรือมีปัญหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกหรือไม่ หรือจะเว้นวรรคทางการเมืองหรือไม่ เพราะพรรคไม่ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีทำอย่างนั้น แต่เชื่อว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศตอนนั้น เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถฝืนกระแสสังคมได้ต่อไป จึงได้ประกาศเว้นวรรค “เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีเองที่จะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับคำพูดของท่าน เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องตอบคำถามต่อสังคมเป็นด้านหลักว่า ท่านจะเปลี่ยนคำพูดไปมา หรือจะรักษาคำพูดของท่านไว้อย่างเหนียวแน่น”นายองอาจ กล่าว
สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาเรื่องการเลือกตั้งส.ส.วันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่นั้น นายองอาจ กล่าวว่า เป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อการร่วมกันแก้ไขวิกฤติทางการเมืองของประเทศไทย เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว พรรคเชื่อมั่นว่าศาลจะได้พิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ตามครรลองของกฎหมาย และตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วยความเป็นอิสระและรวดเร็ว
ส่วนที่กกต.ยังคงเดินหน้ารับรองผลการเลือกตั้งนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กกต.เป็นองค์กรที่หลงยุคไปแล้ว ไม่ได้สนใจเลยว่าบรรยากาศของสังคมนี้เรียกร้องหรือต้องการอะไร และประเทศชาติบ้านเมืองจะฝ่าวิกฤติไปได้อย่างไร แต่กกต.พยายามฝืนความเรียกร้องต้องการของสังคม ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และจะยิ่งเป็นหนทางที่จะทำให้ปัญหาบานปลายมากขึ้น จึงอยากให้กกต.นึกถึงสังคมส่วนรวมมากกว่าจะนึกถึงประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 พ.ค. 2549--จบ--