วันนี้ (10 ส.ค.49) เวลา 13.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ แถลงข่าวกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเดินสายแจกในภาคอีสานและมีแนวโน้มที่จะเดินสายในลักษณะนี้อีกในหลายพื้นที่ว่า เป็นการหาคะแนนนิยมทางการเมืองโดยอ้างการตรวจราชการบังหน้าอารัดเอาเปรียบทางการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งตนคิดว่าหากมีการเริ่มต้นการเลือกตั้งด้วยการเอารัดเอาเปรียบในลักษณะนี้ ตนเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่มีกฤษฎีกาเลือกตั้งมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะใช้อำนาจเพื่อจะเอารัดเอาเปรียบทางการเมืองมากกว่าปัจจุบัน
“การกระทำดังกล่าวเป็นการทุจริตเชิงอำนาจ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยและตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมาเราพบว่ามีการกระทำทหลายอย่างที่น่าจะเข้าข่ายการอ้างตรวจราชการบังหน้า แต่ล้วนแล้วแต่เนการหาคะแนนนิยมทางการเมืองทั้งสิ้น 5 ด้าน ด้านที่ 1.เริ่มต้นด้วยการมีกำหนดการที่จะไปแจกของ สปก. จักรยานภายหลังวิตกกังวลว่าจะผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆแจกสิ่งของเหล่านั้นแทน ไม่ว่าจะเป็นใครแจกก็ตามก็ถือว่าเป็นการแจกสิ่งของล่วงหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง อยากจะฝากให้ กกต.ดูในประเด็นนี้ด้วย 2.นายกฯอ้างว่าไปตรวจราชการภาพที่ปรากฎต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่ามีนักการเมือง อดีต ส.ส.จำนวนมากทั้งทางภาคกลางและภาคตะวันออก เหนือก็ดีไปล้อมหน้าล้อมหลังท่านนายกฯแม้กระทั่งบนเวทีปราศรัย 3.การปราศรับกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไม่ได้เน้นการแก้ไขปัญหาของประชาชนตามที่กล่าวอ้างไว้ แต่มีการเน้นการพูดหาเสียงเพื่อคะแนนนนิยมทางการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ หลายเวที 4. มีป้ายขึ้นอยู่ที่ จ.ขอนแก่นว่า “ขอบคุณท่านนายกฯที่นำเศรษฐกิจพอเพียงมาให้” เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางของเศษฐกิจพอเพียงผู้ที่เริ่มต้นนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาทำให้เป็นจริงนั้นไม่ใช่ท่านนายกฯ นอกจากท่านไม่ได้มาทำให้เป็นจริงแล้วท่านยังไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แตต่ผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในการบริการราชการแผ่นดินก็คือรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งทำขึ้นมาตึ้งแต่ปี 2541 พอมาปี 2544 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสิ่งเหล่านี้ก็หายไป 5.ท่านนายกฯเรียกร้องถึงความสมานฉันท์ แต่การเดินทางไปตรวจราชการบังหน้าในครั้งนี้นั้น ผมคิดว่า ท่านเป็นผู้ที่สร้างความแตกแยกเสียเองมากกว่าความสมานฉันท์และพื้นที่ท่านท่านควรจะไปตรวจราชการอย่างมากในขณะนี้คือพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าท่านนายกฯจะไปหาหนทางวิธีแก้ไขปัญหาในภาคใต้แต่อย่างใด ท่านนายกฯกลับมุ่งไปในพื้นที่ที่ต้องรักษาฐานเสียงเพื่อการเลือกตั้งมากกว่าการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ท่านนายกฯ ยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะลงเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายองอาจ กล่าวว่า การตัดสินใจของนายกฯ ระดับผู้นำของประเทศนั้นไม่ควรขึ้นอยู่กับการสวมกอดของคนใดคนหนึ่ง การร้องไห้ของคนใดคนหนึ่งที่เป็นตัวตัดสินใจว่าจะทำงานการเมือง ตนเชื่อว่านายกฯเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ปรากฎต่อหน้านั้นเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร แต่น่าจะป็นการตัดสินใจจากพื้นฐานของความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาแก้ไขปัญหาและอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินใจว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติเพิ่มเติมกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ถ้าท่านนายกฯตัดสินใจที่จะทำงานทางการเมืองต่อไป ผมคิดว่าปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองที่เกิดจากการกระทำของท่านนั้นก็ยังจะต้องถูกตรวจสอบต่อไป ยกตัวอย่างเช่น การซื้อขายหุ้นชินคอร์ป หลายกรณีหลายเรื่องด้วยกัน รวมทั้งการทุจริตเชิงนโยบายในหลายๆโครงการก็จะต้องถูกตรวจสอบนำความจริงมาปรากฎต่อไป” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2549--จบ--
“การกระทำดังกล่าวเป็นการทุจริตเชิงอำนาจ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยและตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมาเราพบว่ามีการกระทำทหลายอย่างที่น่าจะเข้าข่ายการอ้างตรวจราชการบังหน้า แต่ล้วนแล้วแต่เนการหาคะแนนนิยมทางการเมืองทั้งสิ้น 5 ด้าน ด้านที่ 1.เริ่มต้นด้วยการมีกำหนดการที่จะไปแจกของ สปก. จักรยานภายหลังวิตกกังวลว่าจะผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆแจกสิ่งของเหล่านั้นแทน ไม่ว่าจะเป็นใครแจกก็ตามก็ถือว่าเป็นการแจกสิ่งของล่วงหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง อยากจะฝากให้ กกต.ดูในประเด็นนี้ด้วย 2.นายกฯอ้างว่าไปตรวจราชการภาพที่ปรากฎต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่ามีนักการเมือง อดีต ส.ส.จำนวนมากทั้งทางภาคกลางและภาคตะวันออก เหนือก็ดีไปล้อมหน้าล้อมหลังท่านนายกฯแม้กระทั่งบนเวทีปราศรัย 3.การปราศรับกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ไม่ได้เน้นการแก้ไขปัญหาของประชาชนตามที่กล่าวอ้างไว้ แต่มีการเน้นการพูดหาเสียงเพื่อคะแนนนนิยมทางการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ หลายเวที 4. มีป้ายขึ้นอยู่ที่ จ.ขอนแก่นว่า “ขอบคุณท่านนายกฯที่นำเศรษฐกิจพอเพียงมาให้” เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางของเศษฐกิจพอเพียงผู้ที่เริ่มต้นนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาทำให้เป็นจริงนั้นไม่ใช่ท่านนายกฯ นอกจากท่านไม่ได้มาทำให้เป็นจริงแล้วท่านยังไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แตต่ผู้ที่ทำให้เศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในการบริการราชการแผ่นดินก็คือรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งทำขึ้นมาตึ้งแต่ปี 2541 พอมาปี 2544 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสิ่งเหล่านี้ก็หายไป 5.ท่านนายกฯเรียกร้องถึงความสมานฉันท์ แต่การเดินทางไปตรวจราชการบังหน้าในครั้งนี้นั้น ผมคิดว่า ท่านเป็นผู้ที่สร้างความแตกแยกเสียเองมากกว่าความสมานฉันท์และพื้นที่ท่านท่านควรจะไปตรวจราชการอย่างมากในขณะนี้คือพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าท่านนายกฯจะไปหาหนทางวิธีแก้ไขปัญหาในภาคใต้แต่อย่างใด ท่านนายกฯกลับมุ่งไปในพื้นที่ที่ต้องรักษาฐานเสียงเพื่อการเลือกตั้งมากกว่าการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ส่วนกรณีที่ท่านนายกฯ ยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะลงเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายองอาจ กล่าวว่า การตัดสินใจของนายกฯ ระดับผู้นำของประเทศนั้นไม่ควรขึ้นอยู่กับการสวมกอดของคนใดคนหนึ่ง การร้องไห้ของคนใดคนหนึ่งที่เป็นตัวตัดสินใจว่าจะทำงานการเมือง ตนเชื่อว่านายกฯเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่ปรากฎต่อหน้านั้นเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร แต่น่าจะป็นการตัดสินใจจากพื้นฐานของความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาแก้ไขปัญหาและอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินใจว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศชาติเพิ่มเติมกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ถ้าท่านนายกฯตัดสินใจที่จะทำงานทางการเมืองต่อไป ผมคิดว่าปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองที่เกิดจากการกระทำของท่านนั้นก็ยังจะต้องถูกตรวจสอบต่อไป ยกตัวอย่างเช่น การซื้อขายหุ้นชินคอร์ป หลายกรณีหลายเรื่องด้วยกัน รวมทั้งการทุจริตเชิงนโยบายในหลายๆโครงการก็จะต้องถูกตรวจสอบนำความจริงมาปรากฎต่อไป” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 ส.ค. 2549--จบ--