วันนี้ (13 ส.ค.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวเกี่ยวกับการจัดรายการนายกฯ คุยกับประชาชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (12 ส.ค.49) ที่มีหลายประเด็นที่เข้าข่ายซื้อเสียงล่วงหน้ารวมทั้งบิดเบือนไม่ตรงกับความเป็นจริงนั้น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้ได้สร้างวิกฤตทางการเมืองขึ้นมา 4 วิกฤต เริ่มจาก วิกฤตที่ 1.รัฐบาลชุดนี้มีส่วนในการสร้างความแตกแยกขึ้นให้กับบ้านเมือง ถือได้ว่า เป็นวิกฤตส่วนหนึ่งของสังคมไทยในปัจจุบัน วิกฤตที่ 2.จริยธรรม คุณธรรม ตนคิดว่าขณะนี้เรื่องของจริยธรรม คุณธรรมเป็นปัญหาอย่างมากทั้งในระดับผู้นำประเทศ ทั้งในฝ่ายข้าราชการประจำหรือในภาคเอกชนก็ตามรวมทั้งองค์กรต่างๆได้มีการละเลยจริยธรรม คุณธรรมกันอย่างมาก วิกฤตที่ 3. วิกฤตค่าครองชีพและความยากจน ตนคิดว่า พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศรู้สึกได้ถึงวิกฤตค่าครองชีพที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ภาวะค่าน้ำมันแพงก็ดี ค่ากาซหุงตั้มราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากอดีตนั้นก่อให้เกิดผลกระทบอย่างในปัจจุบัน และวิกฤตที่ 4. วิกฤตเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย จากตัวเลขทางเศรษฐกิจจะชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการแข่งขันเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เจริญเติบโตไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หรือการดูดเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศยังมีความสามารถต่ำในการลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยกตัวอย่างในปี 47 การลงทุนจากต่างประเทศ ประเทศอย่างเวียดนามและไต้หวันแซงหน้าไทยไปแล้ว ดังนั้น ต้องถือว่าเป็นวิกฤตที่รัฐบาลไทยพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงอยู่ตลอดเวลา
นายองอาจ กล่าวสาเหตุสำคัญของวิกฤตที่เกิดขึ้นเกิดจาก 4 ข้อดังนี้ว่า 1.รัฐบาลมักเอาเงินมาเป็นตัวนำในการแก้ปัญหาทุกๆเรื่อง ยกตัวอย่างเรื่องการแก้จน 2.2 แสนล้านบาท พอถึงช่วงเลือกตั้งก็จะเอาเงินไปให้หมู่บ้านละ 250 ล้านบาท ทั้งประเทศไทยมี 800 อำเภอ ใช้เงินประมาณ 2.2 แสนล้านบาท 2.รัฐบาลจะใช้ตัวเลขจีดีพีเป็นตัววัดทุกๆเรื่อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเลขจีดีพีไม่สามามารถที่จะวัดทุกๆ เรื่องๆ ได้ เมื่อนำตัวเลขจีดีพีไปวัดทุกเรื่องก็จะก็เป็นการวัดที่ผิดพลาดและจะก่อให้เกิดปัญหาติดตามมา ตัวอย่างก็มีให้เห็นคือจีดีพีของไทยเติบโตในระดับ 4.5% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้เติบโตเด่นชัด ไม่ใช่ความสามารถของรัฐบาลหรือนายกฯแต่อย่างใด เศรษฐไทยที่เติบโตเป็นเพราะเติบโตตามเศรษฐกิจโลก ถ้าไทยสามารถทำตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตได้เองเราต้องเหนือกว่าประเทศอื่น แต่ทำไมเรากลับด้อยกว่าเวียดนามเสียอีก 3. รัฐบาลมองการบริหารประเทศแบบกำไรขาดทุนของบริษัทฯ รัฐบาลนี้มองเรื่องของกำไรขาดทุนแหมือนกับการบริหารบริษัทการบริหารประเทศนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องของการบริหารบริษัท และสาเหตุที่ร้ายแรงที่สุดข้อ 4.มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่เกือบทุกๆด้านของการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้น เมื่อวิกฤตกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แทนที่รัฐบาลจะมาคุมโม้โอ้อวดถึงความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นความจริงรัฐบาลควรทำให้เห็นว่ารัฐบาลจะมาแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างไร มากกว่าที่จะมาคุยโม้โออวดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
นายองอาจ ยังกล่าวการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักมารยาททางการเมืองเดินหน้าจัดรายการนายกฯคุยกับประชาชนต่อไปว่า เมื่อวานนี้ (12 ส.ค.49) ได้พิสูจน์เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นรายการแก้ตัวของนายกฯ กับประชาชนในหลายๆเรื่อง และเป็นรายการใส่ร้ายป้ายสีบุคคลหรือบุคคลอื่นๆ ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ก็ใช้รายการนี้ไปโวยสื่อมวลชนบอกว่าสื่อมวลชนไม่ให้ความเป็นธรรมกับท่านนายกฯ นายกฯวันนี้ควรที่จะมองย้อนไปว่า ท่านเป็นนายกฯมา 5 -6 ปี จะเห็นว่า 3 - 4 ปีแรกสื่อมวลชนเปิดโอกาสให้ท่านอย่างเต็มที่ การวิพากษ์วิจารณ์มีค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะสื่อซึ่งไม่ใช่เป็นสื่อของรัฐ สื่อทางเลือก สื่อสิ่งพิมพ์ แต่พอปีที่ 5 — 6 สื่อมวลชนเริ่มรู้ทัน จับได้ไล่ทันท่านนายกฯมากขึ้น นำความจริงเหล่านั้นมาเปิดเผยต่อพี่น้องประชาชน อย่างกรณีซุกหุ้น การทุจริตซีทีเอ็กซ์ ก็ต้องให้เครดิตสื่อมวลชนเพราะนำมาเปิดเผยตั้งแต่แรก และยังมีอีกหลายเรื่องที่สื่อมวลชนนำมาเปิดเผย ฉะนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าพอสื่อมวลชนรู้ทันเริ่มจับได้ไล่ทันมากขึ้น โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ที่ท่านนายกฯไม่สามารถที่จะควบคุมได้ท่านก็ออกอาการทนไม่ไหวรับไม่ได้ ตนคิดว่าท่านนายกฯชอบที่จะพูดข้างเดียวมากกว่า ออกมาด่าคนอื่นในรายการนายกฯทุกวันเสาร์ท่านไม่ได้อย่างจะรับฟังคำพูดอื่นๆที่เสียดแทงหัวใจของท่าน เพราะท่านเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริง ท่านอยากรับฟังสิ่งที่สวยหรู ตนเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้ พอได้ประโยชน์ สมประโยชน์กับตัวเองก็ชื่นชมสื่อมวลชนดี พอวันหนึ่งตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็กล่าวหาสื่อมวลชนไม่ให้ความเป็นธรรมแถมยังเอาสื่อของรัฐไปกล่าวหาสื่อมวลชนที่เขามีความเป็นธรรมอีกต่างหาก
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนจะยกกรณีการผลักดันนโยบายชูเงิน 220,000 ล้านบาทเพื่อที่แก้ปัญหาความยากจนทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ของเรียนว่าสิ่งที่นายกฯทำเหมือนเป็นการพูดเป็นนโยบายเพื่อหลักเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายและสร้างความหวังให้กับคนจนทั่วประเทศว่า ถ้าคุณทักษิณได้กลับมาเป็นนายกฯ ก็ได้จะได้เงินก้อนนี้อีก เจตนารมณ์ของท่านนายกฯก็คือ หวังผลเรื่องการเลือกตั้ง และหวังปลุกกระแสคนจนทั้งประเทศได้เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯอีก และที่สำคัญคือ เป็นพฤติกรรมเดิมๆที่ผู้นำประเทศใช้เงินภาษีอากรของประชาชนมาหาเสียงให้กับตัวเองและพรรคไทยรักไทย
“สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และประชาชนสงสัยก็คือว่าเงินในส่วนนี้จะเอามาจากไหนและจะทำเรื่องนี้เป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนเปรียบเทียบกับโครงการที่เคยบอกว่าจะแก้ไขปัญหาระบบน้ำจะใช้เงิน 2 แสนกว่าล้านเหมือนกันจนถึงขณะนี้โครงการนี้ก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเป็นการสร้างความหวังให้กับคนภาคอีสาน ผมคิดว่าขณะนี้คนทั้งประเทศได้รู้ทันแล้วว่าการให้ความหวังในเรื่องต่างๆของท่านนายกฯก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง นายกฯ กำลังสร้างความสับสนให้กับสังคมมากขึ้นไปอีก” นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต ยังกล่าวเรื่องการรีบร้อนเปิดสนามบินสุวรรณภูมิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ทันตามกำหนดว่า ความจริงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อสร้างเสร็จก็ต้องเปิดใช้ สนามบินฯ นี้ริเริ่มสร้างโดยมติ ครม.สมัยของนายชวน 1 ในการเซ็นสัญญาในสมัยรัฐบาลชวน 2 ขณะเดัยวกันมีเหตุผลหลายประการ เช่น สหภาพแรงงานการบินไทยคัดค้านว่าความพร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่สามารถให้บริการได้ และมีการส่งหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่าไม่เห็นด้วย
“ที่สำคัญก็คือหลายสายการบินยังไม่มีความพร้อมที่จะเปิดดำเนินการ เพราะฉะนั้นผมจึงได้คำถามยังรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่า การที่รัฐบาลต้องการเปิดสนามบินให้ทันตามความต้องการของรัฐบาลมีเหตุผลหลักๆ 2 ประการ คือ 1. รัฐบาลต้องการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพราะว่ามีผู้มีอำนาจต้องการใช้เงินในการเลือกตั้งหรือไม่ และ 2. หวังผลเป็นการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ จึงจำเป็นต้องเปิดสนามบินสุวรรณภูมิทั้งๆที่ไม่มีความพร้อม โดยขอความร่วมมือกับทางฝ่ายต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่า สนามบินเสร็จแล้วเพื่อมีการเบิกงานช่วงสุดท้ายของบริษัทรับเหมาต่างๆ” นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต ฝากถึงนายกฯด้วยว่า ผลงานสนามบินสุวรรณภูมิที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นผลงานของพี่น้องประชาชน ผลงานของหลายรัฐบาลเริ่มตั้นตั้งแต่รัฐบาลที่มีการอนุมัติให้มีการก่อสร้าง เริ่มต้นตั้งแต่ให้มีการอนุมัติเซ็นสัญญา ส่วนจะไปเสร็จที่รัฐบาลไหนไม่สามารถที่จะไปอวดอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาลชุดนั้น แต่เป็นความร่วมมือของพี่น้องประชาชนและทุกรัฐบาลมากกว่า
"สิ่งสำคัญคือนายกฯ ต้องการอวดอ้างผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานของรัฐบาลไทยรักไทยเพียงรัฐบาลเดียว ตนฝากว่าอย่างไรก็ตามสนามบินสุวรรณภูมิเสร็จและเปิดแต่ขอให้เสร็จแบบมีความพร้อม ความปลอดภัย 100% อย่ารีบร้อนไปตามความต้องการทางการเมืองของใครคนใดคนหนึ่ง" นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2549--จบ--
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้ได้สร้างวิกฤตทางการเมืองขึ้นมา 4 วิกฤต เริ่มจาก วิกฤตที่ 1.รัฐบาลชุดนี้มีส่วนในการสร้างความแตกแยกขึ้นให้กับบ้านเมือง ถือได้ว่า เป็นวิกฤตส่วนหนึ่งของสังคมไทยในปัจจุบัน วิกฤตที่ 2.จริยธรรม คุณธรรม ตนคิดว่าขณะนี้เรื่องของจริยธรรม คุณธรรมเป็นปัญหาอย่างมากทั้งในระดับผู้นำประเทศ ทั้งในฝ่ายข้าราชการประจำหรือในภาคเอกชนก็ตามรวมทั้งองค์กรต่างๆได้มีการละเลยจริยธรรม คุณธรรมกันอย่างมาก วิกฤตที่ 3. วิกฤตค่าครองชีพและความยากจน ตนคิดว่า พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศรู้สึกได้ถึงวิกฤตค่าครองชีพที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ภาวะค่าน้ำมันแพงก็ดี ค่ากาซหุงตั้มราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากอดีตนั้นก่อให้เกิดผลกระทบอย่างในปัจจุบัน และวิกฤตที่ 4. วิกฤตเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย จากตัวเลขทางเศรษฐกิจจะชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการแข่งขันเศรษฐกิจนั้นไม่ได้เจริญเติบโตไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน หรือการดูดเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศยังมีความสามารถต่ำในการลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยกตัวอย่างในปี 47 การลงทุนจากต่างประเทศ ประเทศอย่างเวียดนามและไต้หวันแซงหน้าไทยไปแล้ว ดังนั้น ต้องถือว่าเป็นวิกฤตที่รัฐบาลไทยพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงอยู่ตลอดเวลา
นายองอาจ กล่าวสาเหตุสำคัญของวิกฤตที่เกิดขึ้นเกิดจาก 4 ข้อดังนี้ว่า 1.รัฐบาลมักเอาเงินมาเป็นตัวนำในการแก้ปัญหาทุกๆเรื่อง ยกตัวอย่างเรื่องการแก้จน 2.2 แสนล้านบาท พอถึงช่วงเลือกตั้งก็จะเอาเงินไปให้หมู่บ้านละ 250 ล้านบาท ทั้งประเทศไทยมี 800 อำเภอ ใช้เงินประมาณ 2.2 แสนล้านบาท 2.รัฐบาลจะใช้ตัวเลขจีดีพีเป็นตัววัดทุกๆเรื่อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวเลขจีดีพีไม่สามามารถที่จะวัดทุกๆ เรื่องๆ ได้ เมื่อนำตัวเลขจีดีพีไปวัดทุกเรื่องก็จะก็เป็นการวัดที่ผิดพลาดและจะก่อให้เกิดปัญหาติดตามมา ตัวอย่างก็มีให้เห็นคือจีดีพีของไทยเติบโตในระดับ 4.5% ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้เติบโตเด่นชัด ไม่ใช่ความสามารถของรัฐบาลหรือนายกฯแต่อย่างใด เศรษฐไทยที่เติบโตเป็นเพราะเติบโตตามเศรษฐกิจโลก ถ้าไทยสามารถทำตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตได้เองเราต้องเหนือกว่าประเทศอื่น แต่ทำไมเรากลับด้อยกว่าเวียดนามเสียอีก 3. รัฐบาลมองการบริหารประเทศแบบกำไรขาดทุนของบริษัทฯ รัฐบาลนี้มองเรื่องของกำไรขาดทุนแหมือนกับการบริหารบริษัทการบริหารประเทศนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องของการบริหารบริษัท และสาเหตุที่ร้ายแรงที่สุดข้อ 4.มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่เกือบทุกๆด้านของการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้น เมื่อวิกฤตกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้แทนที่รัฐบาลจะมาคุมโม้โอ้อวดถึงความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นความจริงรัฐบาลควรทำให้เห็นว่ารัฐบาลจะมาแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างไร มากกว่าที่จะมาคุยโม้โออวดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
นายองอาจ ยังกล่าวการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักมารยาททางการเมืองเดินหน้าจัดรายการนายกฯคุยกับประชาชนต่อไปว่า เมื่อวานนี้ (12 ส.ค.49) ได้พิสูจน์เห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นรายการแก้ตัวของนายกฯ กับประชาชนในหลายๆเรื่อง และเป็นรายการใส่ร้ายป้ายสีบุคคลหรือบุคคลอื่นๆ ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ก็ใช้รายการนี้ไปโวยสื่อมวลชนบอกว่าสื่อมวลชนไม่ให้ความเป็นธรรมกับท่านนายกฯ นายกฯวันนี้ควรที่จะมองย้อนไปว่า ท่านเป็นนายกฯมา 5 -6 ปี จะเห็นว่า 3 - 4 ปีแรกสื่อมวลชนเปิดโอกาสให้ท่านอย่างเต็มที่ การวิพากษ์วิจารณ์มีค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะสื่อซึ่งไม่ใช่เป็นสื่อของรัฐ สื่อทางเลือก สื่อสิ่งพิมพ์ แต่พอปีที่ 5 — 6 สื่อมวลชนเริ่มรู้ทัน จับได้ไล่ทันท่านนายกฯมากขึ้น นำความจริงเหล่านั้นมาเปิดเผยต่อพี่น้องประชาชน อย่างกรณีซุกหุ้น การทุจริตซีทีเอ็กซ์ ก็ต้องให้เครดิตสื่อมวลชนเพราะนำมาเปิดเผยตั้งแต่แรก และยังมีอีกหลายเรื่องที่สื่อมวลชนนำมาเปิดเผย ฉะนั้นจะเห็นได้ชัดเจนว่าพอสื่อมวลชนรู้ทันเริ่มจับได้ไล่ทันมากขึ้น โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ที่ท่านนายกฯไม่สามารถที่จะควบคุมได้ท่านก็ออกอาการทนไม่ไหวรับไม่ได้ ตนคิดว่าท่านนายกฯชอบที่จะพูดข้างเดียวมากกว่า ออกมาด่าคนอื่นในรายการนายกฯทุกวันเสาร์ท่านไม่ได้อย่างจะรับฟังคำพูดอื่นๆที่เสียดแทงหัวใจของท่าน เพราะท่านเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริง ท่านอยากรับฟังสิ่งที่สวยหรู ตนเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่ใช้ไม่ได้ พอได้ประโยชน์ สมประโยชน์กับตัวเองก็ชื่นชมสื่อมวลชนดี พอวันหนึ่งตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็กล่าวหาสื่อมวลชนไม่ให้ความเป็นธรรมแถมยังเอาสื่อของรัฐไปกล่าวหาสื่อมวลชนที่เขามีความเป็นธรรมอีกต่างหาก
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนจะยกกรณีการผลักดันนโยบายชูเงิน 220,000 ล้านบาทเพื่อที่แก้ปัญหาความยากจนทั้งประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ของเรียนว่าสิ่งที่นายกฯทำเหมือนเป็นการพูดเป็นนโยบายเพื่อหลักเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายและสร้างความหวังให้กับคนจนทั่วประเทศว่า ถ้าคุณทักษิณได้กลับมาเป็นนายกฯ ก็ได้จะได้เงินก้อนนี้อีก เจตนารมณ์ของท่านนายกฯก็คือ หวังผลเรื่องการเลือกตั้ง และหวังปลุกกระแสคนจนทั้งประเทศได้เรียกร้องให้คุณทักษิณกลับมาเป็นนายกฯอีก และที่สำคัญคือ เป็นพฤติกรรมเดิมๆที่ผู้นำประเทศใช้เงินภาษีอากรของประชาชนมาหาเสียงให้กับตัวเองและพรรคไทยรักไทย
“สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และประชาชนสงสัยก็คือว่าเงินในส่วนนี้จะเอามาจากไหนและจะทำเรื่องนี้เป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนเปรียบเทียบกับโครงการที่เคยบอกว่าจะแก้ไขปัญหาระบบน้ำจะใช้เงิน 2 แสนกว่าล้านเหมือนกันจนถึงขณะนี้โครงการนี้ก็ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเป็นการสร้างความหวังให้กับคนภาคอีสาน ผมคิดว่าขณะนี้คนทั้งประเทศได้รู้ทันแล้วว่าการให้ความหวังในเรื่องต่างๆของท่านนายกฯก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง นายกฯ กำลังสร้างความสับสนให้กับสังคมมากขึ้นไปอีก” นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต ยังกล่าวเรื่องการรีบร้อนเปิดสนามบินสุวรรณภูมิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ทันตามกำหนดว่า ความจริงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อสร้างเสร็จก็ต้องเปิดใช้ สนามบินฯ นี้ริเริ่มสร้างโดยมติ ครม.สมัยของนายชวน 1 ในการเซ็นสัญญาในสมัยรัฐบาลชวน 2 ขณะเดัยวกันมีเหตุผลหลายประการ เช่น สหภาพแรงงานการบินไทยคัดค้านว่าความพร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่สามารถให้บริการได้ และมีการส่งหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่าไม่เห็นด้วย
“ที่สำคัญก็คือหลายสายการบินยังไม่มีความพร้อมที่จะเปิดดำเนินการ เพราะฉะนั้นผมจึงได้คำถามยังรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมว่า การที่รัฐบาลต้องการเปิดสนามบินให้ทันตามความต้องการของรัฐบาลมีเหตุผลหลักๆ 2 ประการ คือ 1. รัฐบาลต้องการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิเพราะว่ามีผู้มีอำนาจต้องการใช้เงินในการเลือกตั้งหรือไม่ และ 2. หวังผลเป็นการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ จึงจำเป็นต้องเปิดสนามบินสุวรรณภูมิทั้งๆที่ไม่มีความพร้อม โดยขอความร่วมมือกับทางฝ่ายต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่า สนามบินเสร็จแล้วเพื่อมีการเบิกงานช่วงสุดท้ายของบริษัทรับเหมาต่างๆ” นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต ฝากถึงนายกฯด้วยว่า ผลงานสนามบินสุวรรณภูมิที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นผลงานของพี่น้องประชาชน ผลงานของหลายรัฐบาลเริ่มตั้นตั้งแต่รัฐบาลที่มีการอนุมัติให้มีการก่อสร้าง เริ่มต้นตั้งแต่ให้มีการอนุมัติเซ็นสัญญา ส่วนจะไปเสร็จที่รัฐบาลไหนไม่สามารถที่จะไปอวดอ้างว่าเป็นผลงานของรัฐบาลชุดนั้น แต่เป็นความร่วมมือของพี่น้องประชาชนและทุกรัฐบาลมากกว่า
"สิ่งสำคัญคือนายกฯ ต้องการอวดอ้างผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานของรัฐบาลไทยรักไทยเพียงรัฐบาลเดียว ตนฝากว่าอย่างไรก็ตามสนามบินสุวรรณภูมิเสร็จและเปิดแต่ขอให้เสร็จแบบมีความพร้อม ความปลอดภัย 100% อย่ารีบร้อนไปตามความต้องการทางการเมืองของใครคนใดคนหนึ่ง" นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 ส.ค. 2549--จบ--