วันนี้ (5 ก.พ.49)เวลา 15.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวแสดงความชื่นชมในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ได้ดูแลไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงขึ้นซึ่งถือว่าเป็นการได้ใช้สิทธิ์ตามขอบเขตของรัฐธรรมนูญ และทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้ท่าทีที่เหมาะสมต่อสถานที่ของการชุมนุมทำให้ไม่เกิดปัญหาอย่างที่หลายฝ่ายมีความวิตกกัน ซึ่งจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นและท่าทีของนายกรัฐมนตรีทำให้เกิดคำถาม หรือปัญหาเกี่ยวกับความชอบธรรมของการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน หากปล่อยให้สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปการบริหารราชการแผ่นดินจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากจะให้นายกรัฐมนตรีได้ทบทวนและหยุดพฤติกรรมบางประการมีดังต่อไปนี้
1. การใช้ถ้อยคำหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจนทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้คนที่เป็นผู้นำรัฐบาลได้ใช้ความระมัดระวัง ใช้ถ้อยคำและวางตัวให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงในเรื่องนี้
2. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกท่าทีของการยั่วยุหรือการตอบโต้ในลักษณะที่หยาบคายหรือทำให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความไม่เห็นด้วย หรือไม่พึงพอใจในรัฐมนตรีหรือรัฐบาลอยู่แล้ว
3. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกพฤติกรรมในการเอาเปรียบประชาชนในเรื่องซึ่งประชาชนประสบความเดือดร้อน และเกิดความรู้สึกรุนแรง อย่างเช่นกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีอากร และยังได้ใช้อำนาจในการให้หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ รวมไปถึงข้าราชการระดับสูง ออกมาปกป้องมากกว่าที่จะให้เขาดูแลรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมจนประชาชนเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของการฝักไฝ่ผู้มีอำนาจมากกว่าอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นทั้งระบบ
4. นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลควรจะเลิกพฤติกรรมของการครอบงำกลไกทั้งหลายที่จะให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และมีโอกาสในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของสื่อสารมวลชน ซึ่งเมื่อวานนี้ก็ยังมีการสะท้อนกันอยู่ว่าสื่อมวลชนยังมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ในการนำเสนอปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของความไม่พอใจที่เป็นที่มาของการชุมนุม และถ้าตรงนี้ยังถูกตอกย้ำด้วยการครอบงำกลไกของราชการ หรือกลไกขององค์กรอิสระในการติดตามตรวจสอบด้วย ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกอึดอัดว่าไม่มีกลไกใดพึงได้ในการถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐบาล
5. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกอ้างเรื่อง 19 ล้านเสียง ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการตอบโต้ว่าได้มาอย่างไร แต่ว่าเงื่อนไขของ 19 ล้านเสียงนั้นเป็นเรื่องของการเลือกตั้งที่ให้ฉันทานุมัติในการเข้าไปบริหารประเทศ แต่เป็นฉันทานุมัติที่ให้เข้าไปบริหารประเทศโดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวม และโดยต้องเคารพขอบเขตของการให้อำนาจโดยวิถีทางของรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ 19 ล้านเสียงให้ฉันทานุมัติให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้เพื่อใครก็ได้อย่างไรก็ได้
6. ขอให้นายกรัฐมนตรีเลิกพูดจาในลักษณะของการทวงบุญคุณ และพูดความจริงไม่ครบ เช่น ในทางส่วนตัวก็อ้างว่าธุรกิจของครอบครัวได้เคยจ่ายภาษีให้รัฐเท่าไหร่ โดยไม่พูดว่าได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากรัฐไปเท่าไหร่ รวมไปถึงการได้รับอานิสงฆ์จากนโยบายที่ได้เอื้อให้ธุรกิจเหล่านั้นมีมูลค่าและเติบโตขึ้นในขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ไม่มีโอกาสเช่นเดียวกัน หรือการพูดถึงแต่งานที่รัฐบาลทำในด้านเดียวโดยไม่พูดข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ครบถ้วนในเรื่องทางนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้านที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาทั้งหมดที่จะต้องมีการแก้ไขคือคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี พรุ่งนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมคณะผู้บริหารในการกำหนดแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้ตามวิถีทางรัฐสภา ตามบทบาทหน้าที่ของพพรคในฐานะของผู้แทนปวงชนชาวไทยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะไปสู่การตรวจสอบและในการแสดงออกให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี
‘นอกเหนือจากการเรียกร้องท่านนายกฯ และรัฐมนตรีแล้ว เราขอเรียกร้องต่อข้าราชการประจำ โดยอยากให้ข้าราชการประจำทั้งหลายได้มองดูบทบาทของท่าน ผบ.ทบ. ว่าเป็นแบบอย่างของข้าราชการที่พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นสำคัญ อยากเตือนข้าราชการโดยเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของภาษีอากรก็ดี การกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก็ดี ว่าถ้าไม่ยึดผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นหลักและถ้ายังจำนนต่ออำนาจหรือการครอบงำที่ไม่ถูกต้องแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน และในฐานะพรรคการเมืองบทบาทของการตรวจสอบหลักของเราจะต้องมุ่งไปที่ฝ่ายการเมือง แต่ก็จะไม่ละเว้นในการดำเนินการกรณีที่ข้าราชการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในทางที่ผิดที่ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ และจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยแต่ว่ารอกำหนดเวลาสำหรับบางหน่วยงานที่ได้เคยพูดไว้ เช่นกรณีของกลต. ที่จะขอเวลาถึงวันพรุ่งนี้ที่จะแสดงท่าทีเบื้องต้นและในส่วนของสรรพากร พรรคจะได้มีการดำเนินการเรียกร้องที่เป็นรูปธรรมต่อไปด้วย’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2549--จบ--
1. การใช้ถ้อยคำหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจนทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้คนที่เป็นผู้นำรัฐบาลได้ใช้ความระมัดระวัง ใช้ถ้อยคำและวางตัวให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงในเรื่องนี้
2. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกท่าทีของการยั่วยุหรือการตอบโต้ในลักษณะที่หยาบคายหรือทำให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความไม่เห็นด้วย หรือไม่พึงพอใจในรัฐมนตรีหรือรัฐบาลอยู่แล้ว
3. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกพฤติกรรมในการเอาเปรียบประชาชนในเรื่องซึ่งประชาชนประสบความเดือดร้อน และเกิดความรู้สึกรุนแรง อย่างเช่นกรณีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีอากร และยังได้ใช้อำนาจในการให้หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ รวมไปถึงข้าราชการระดับสูง ออกมาปกป้องมากกว่าที่จะให้เขาดูแลรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมจนประชาชนเกิดความรู้สึกว่าเป็นเรื่องของการฝักไฝ่ผู้มีอำนาจมากกว่าอำนวยความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นทั้งระบบ
4. นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลควรจะเลิกพฤติกรรมของการครอบงำกลไกทั้งหลายที่จะให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และมีโอกาสในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของสื่อสารมวลชน ซึ่งเมื่อวานนี้ก็ยังมีการสะท้อนกันอยู่ว่าสื่อมวลชนยังมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ในการนำเสนอปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของความไม่พอใจที่เป็นที่มาของการชุมนุม และถ้าตรงนี้ยังถูกตอกย้ำด้วยการครอบงำกลไกของราชการ หรือกลไกขององค์กรอิสระในการติดตามตรวจสอบด้วย ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกอึดอัดว่าไม่มีกลไกใดพึงได้ในการถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐบาล
5. นายกรัฐมนตรีต้องเลิกอ้างเรื่อง 19 ล้านเสียง ความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการตอบโต้ว่าได้มาอย่างไร แต่ว่าเงื่อนไขของ 19 ล้านเสียงนั้นเป็นเรื่องของการเลือกตั้งที่ให้ฉันทานุมัติในการเข้าไปบริหารประเทศ แต่เป็นฉันทานุมัติที่ให้เข้าไปบริหารประเทศโดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวม และโดยต้องเคารพขอบเขตของการให้อำนาจโดยวิถีทางของรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ 19 ล้านเสียงให้ฉันทานุมัติให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้เพื่อใครก็ได้อย่างไรก็ได้
6. ขอให้นายกรัฐมนตรีเลิกพูดจาในลักษณะของการทวงบุญคุณ และพูดความจริงไม่ครบ เช่น ในทางส่วนตัวก็อ้างว่าธุรกิจของครอบครัวได้เคยจ่ายภาษีให้รัฐเท่าไหร่ โดยไม่พูดว่าได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากรัฐไปเท่าไหร่ รวมไปถึงการได้รับอานิสงฆ์จากนโยบายที่ได้เอื้อให้ธุรกิจเหล่านั้นมีมูลค่าและเติบโตขึ้นในขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ไม่มีโอกาสเช่นเดียวกัน หรือการพูดถึงแต่งานที่รัฐบาลทำในด้านเดียวโดยไม่พูดข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ครบถ้วนในเรื่องทางนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้านที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายทั้งหลายที่มีผลกระทบต่อประชาชน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาทั้งหมดที่จะต้องมีการแก้ไขคือคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี พรุ่งนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมคณะผู้บริหารในการกำหนดแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถดำเนินการได้ตามวิถีทางรัฐสภา ตามบทบาทหน้าที่ของพพรคในฐานะของผู้แทนปวงชนชาวไทยที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อที่จะไปสู่การตรวจสอบและในการแสดงออกให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี
‘นอกเหนือจากการเรียกร้องท่านนายกฯ และรัฐมนตรีแล้ว เราขอเรียกร้องต่อข้าราชการประจำ โดยอยากให้ข้าราชการประจำทั้งหลายได้มองดูบทบาทของท่าน ผบ.ทบ. ว่าเป็นแบบอย่างของข้าราชการที่พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นสำคัญ อยากเตือนข้าราชการโดยเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของภาษีอากรก็ดี การกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก็ดี ว่าถ้าไม่ยึดผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นหลักและถ้ายังจำนนต่ออำนาจหรือการครอบงำที่ไม่ถูกต้องแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน และในฐานะพรรคการเมืองบทบาทของการตรวจสอบหลักของเราจะต้องมุ่งไปที่ฝ่ายการเมือง แต่ก็จะไม่ละเว้นในการดำเนินการกรณีที่ข้าราชการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในทางที่ผิดที่ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ และจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วยแต่ว่ารอกำหนดเวลาสำหรับบางหน่วยงานที่ได้เคยพูดไว้ เช่นกรณีของกลต. ที่จะขอเวลาถึงวันพรุ่งนี้ที่จะแสดงท่าทีเบื้องต้นและในส่วนของสรรพากร พรรคจะได้มีการดำเนินการเรียกร้องที่เป็นรูปธรรมต่อไปด้วย’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ก.พ. 2549--จบ--