Q สนใจเข้าไปลงทุนในกัมพูชาต้องทำอย่างไร
A การลงทุนจากต่างประเทศนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ดังนั้นเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในกัมพูชามากขึ้น รัฐบาลกัมพูชาจึงออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2546 โดยปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ภายใต้กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia: CDC) รับผิดชอบในการวางนโยบายด้านการลงทุนของประเทศ โดยมีหน่วยงานในสังกัด คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของกัมพูชา (Cambodian Investment Board: CIB) ทำหน้าที่พิจารณาคำขออนุมัติการลงทุนของเอกชนทั้งที่เป็นนักลงทุนท้องถิ่นและนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลที่นักลงทุนควรทราบสำหรับการขออนุมัติการลงทุนในกัมพูชามีดังนี้
1. เอกสารประกอบการพิจารณาขออนุมัติ
- คำขออนุมัติการลงทุนพร้อมเอกสารเกี่ยวกับผู้ขอรวมทั้งหนังสือมอบอำนาจ(หากมี)
- รายละเอียดของโครงการที่จะขออนุมัติการลงทุน
- เอกสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการ รวมทั้งระเบียบข้อบังคับขององค์กรธุรกิจที่จะจัดตั้งขึ้น
- รายงานศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมทั้งเทคนิคการผลิต การตลาด และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
2. ค่าธรรมเนียมในการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
มูลค่าโครงการ | ค่าธรรมเนียม | ค่าธรรมเนียม
| คำขออนุมัติ | ส่งเสริมการลงทุน
| (ชำระเมื่อยื่นคำขอ) | (ชำระภายหลังคำขอได้รับการอนุมัติ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ | 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ | 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ | 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ | 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. ขั้นตอนการอนุมัติ
1. CDC แจ้งผลการอนุมัติให้นักลงทุนทราบภายใน 3 วัน นับจากวันที่ยื่นเอกสารต่างๆ ครบถ้วน
----------------------------------------------------------------------------
V
ออกใบรับรอง
- กรณีโครงการเข้าข่ายอนุมัติการลงทุน CDC ออกใบรับรองการจดทะเบียนที่มีเงื่อนไข
(Conditional Registration Certificate)
- กรณีโครงการไม่เข้าข่าย CDC ออก Letter of Noncompliance
----------------------------------------------------------------------------
V (กรณีเข้าข่าย)
- CDC ออกใบรับรองการจดทะเบียนขั้นสุดท้าย (Final Registration Certificate)
ให้แก่นักลงทุนภายใน 28 วัน ทำการนับจากวันที่ออก Conditional Registration
Certificate ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถเริ่มดำเนินการลงทุนได้ทันที
----------------------------------------------------------------------------
ทั้งนี้หาก CDC ไม่ออก Conditional Registration Certificate หรือ Letter of Non-Compliance ให้แก่นักลงทุนภายใน 3 วันทำการ จะถือว่าโครงการลงทุนนี้ได้รับ Coditional Registration Certificate โดยอัตโนมัติ
Q อยากทราบข้อควรรู้ก่อนส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐอาหรับ เอมิรัตส์
A สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates: UAE) มีขนาดเศรษฐกิจใหม่เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคตะวันออกกลางและมีแ นวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาว UAE ส่วนใหญ่มีฐานะดีและมีกำลังซื้อสูง โดยมีรายได้เฉลี่ยสูงถึงกว่า 28,600 ดอลลาร์สหรัฐ / คน / ปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ในตะวันออกลางรองจากกาตาร์ ดังนั้น UAE จึงเป็นตลาดการค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของผู้ส่งออกทั้งหลาย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เนื่องจากปัจจุบัน UAE ยังผลิตอาหารได้ไม่หลากหลายและไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศทำให้จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก สำหรับข้อควรทราบเบื้องต้นก่อนส่งออกสินค้าอาหาไป UAE มีดังนี้
1. แนวโน้มตลาด ปัจจุบันชาว UAE ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพมากขึ้น ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food) ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงใน UAE ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยประชาชนบางส่วนหันมาบริโภคเนื้อไก่และ "เนื้อขาว" (White Meat) อื่นๆ เช่น ปลาชนิดต่างๆ และอาหารทะเลแทนการบริโภค "เนื้อแดง" (Red Meat) อาทิ เนื้อวัว อีกทั้งนิยมบริโภคพืชผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน (Hydrophonic) ซึ่งปลอดสารพิษอีกด้วย
2. กฎระเบียบ / ภาษีนำเข้า UAE เก็บภาษีนำเข้าสินค้าอาหารต่ำมากราว 0.5% โดยสินค้าอาหารส่วนใหญ่ อาทิ ข้าวและอาหารสดจะได้รับการยกเว้นภาษีอย่างไรก็ตาม UAE จำกัดการนำเข้าสินค้าอาหารบางประเภท อาทิ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ โดยต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานด้านอาหารของ UAE ก่อน ทั้งนี้ สินค้าอาหารที่จะส่งออกไปยัง UAE ควรมีตราสัญลักษณ์รับรองผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลซึ่งแสดงถึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เนื่องจากเป็นจุดขายสำคัญของสินค้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ฉลากสินค้าควรระบุรายละเอียดต่าง ๆของสินค้าอย่างชัดเจนและควรมีภาษาอังกฤษกำกับควบคุ่กับภาษาอารบิคด้วย
3. ช่องทางการจำหน่าย สินค้าอาหารที่ UAE นำเข้าส่วนใหญ่ราว 70-75% จะส่งออกต่อ (Re-export) ไปยังประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และ ประเทศในกลุ่มประเทศเรือรัฐเอกราช(CIS) โดยมีรัฐดูไปเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า ส่วนที่เหลือจะนำเข้ามาเพื่อบริโภคภายในประเทศโดยผู้นำเข้าใน UAE จะจำหน่ายต่อไปยังร้านค้าส่งและซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ สำหรับสินค้าอาหารที่ UAE นำเข้าจากไทยมาก ได้แก่ ข้าว ปลาทูน่ากระป๋อง ผักและผลไม้สด / กระป๋อง น้ำตาล นอกจากนี้คาดว่า UAE มีแนวโน้มจะนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องปรุงรส เครื่องแกงสำเร็จรูป วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารไทย และขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันร้านอาหารไทยและร้านที่มีเมนูอาหาไทยได้รับควานิยมมากขึ้น
4. งานแสดงสินค้าอาหาร Gulf Food ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี UAE จะจัดงานแสดงสินค้าอาหารซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกได้พบปะและเจรจาธุรกิจกับตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าสินค้าของ UAE ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางรวมทั้ง CIS ซึ่งเป็นตลาดส่งออกต่อที่สำคัญของ UAE อีกด้วย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤศจิกายน 2549--
-พห-
A การลงทุนจากต่างประเทศนับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ดังนั้นเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในกัมพูชามากขึ้น รัฐบาลกัมพูชาจึงออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2546 โดยปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ภายใต้กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia: CDC) รับผิดชอบในการวางนโยบายด้านการลงทุนของประเทศ โดยมีหน่วยงานในสังกัด คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของกัมพูชา (Cambodian Investment Board: CIB) ทำหน้าที่พิจารณาคำขออนุมัติการลงทุนของเอกชนทั้งที่เป็นนักลงทุนท้องถิ่นและนักลงทุนต่างชาติ
ข้อมูลที่นักลงทุนควรทราบสำหรับการขออนุมัติการลงทุนในกัมพูชามีดังนี้
1. เอกสารประกอบการพิจารณาขออนุมัติ
- คำขออนุมัติการลงทุนพร้อมเอกสารเกี่ยวกับผู้ขอรวมทั้งหนังสือมอบอำนาจ(หากมี)
- รายละเอียดของโครงการที่จะขออนุมัติการลงทุน
- เอกสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการ รวมทั้งระเบียบข้อบังคับขององค์กรธุรกิจที่จะจัดตั้งขึ้น
- รายงานศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมทั้งเทคนิคการผลิต การตลาด และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
2. ค่าธรรมเนียมในการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
มูลค่าโครงการ | ค่าธรรมเนียม | ค่าธรรมเนียม
| คำขออนุมัติ | ส่งเสริมการลงทุน
| (ชำระเมื่อยื่นคำขอ) | (ชำระภายหลังคำขอได้รับการอนุมัติ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ | 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ | 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ | 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ | 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. ขั้นตอนการอนุมัติ
1. CDC แจ้งผลการอนุมัติให้นักลงทุนทราบภายใน 3 วัน นับจากวันที่ยื่นเอกสารต่างๆ ครบถ้วน
----------------------------------------------------------------------------
V
ออกใบรับรอง
- กรณีโครงการเข้าข่ายอนุมัติการลงทุน CDC ออกใบรับรองการจดทะเบียนที่มีเงื่อนไข
(Conditional Registration Certificate)
- กรณีโครงการไม่เข้าข่าย CDC ออก Letter of Noncompliance
----------------------------------------------------------------------------
V (กรณีเข้าข่าย)
- CDC ออกใบรับรองการจดทะเบียนขั้นสุดท้าย (Final Registration Certificate)
ให้แก่นักลงทุนภายใน 28 วัน ทำการนับจากวันที่ออก Conditional Registration
Certificate ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถเริ่มดำเนินการลงทุนได้ทันที
----------------------------------------------------------------------------
ทั้งนี้หาก CDC ไม่ออก Conditional Registration Certificate หรือ Letter of Non-Compliance ให้แก่นักลงทุนภายใน 3 วันทำการ จะถือว่าโครงการลงทุนนี้ได้รับ Coditional Registration Certificate โดยอัตโนมัติ
Q อยากทราบข้อควรรู้ก่อนส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐอาหรับ เอมิรัตส์
A สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates: UAE) มีขนาดเศรษฐกิจใหม่เป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคตะวันออกกลางและมีแ นวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชาว UAE ส่วนใหญ่มีฐานะดีและมีกำลังซื้อสูง โดยมีรายได้เฉลี่ยสูงถึงกว่า 28,600 ดอลลาร์สหรัฐ / คน / ปี ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ในตะวันออกลางรองจากกาตาร์ ดังนั้น UAE จึงเป็นตลาดการค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของผู้ส่งออกทั้งหลาย โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เนื่องจากปัจจุบัน UAE ยังผลิตอาหารได้ไม่หลากหลายและไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศทำให้จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าอาหารจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก สำหรับข้อควรทราบเบื้องต้นก่อนส่งออกสินค้าอาหาไป UAE มีดังนี้
1. แนวโน้มตลาด ปัจจุบันชาว UAE ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพมากขึ้น ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเกษตรอินทรีย์ (Organic Food) ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงใน UAE ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยประชาชนบางส่วนหันมาบริโภคเนื้อไก่และ "เนื้อขาว" (White Meat) อื่นๆ เช่น ปลาชนิดต่างๆ และอาหารทะเลแทนการบริโภค "เนื้อแดง" (Red Meat) อาทิ เนื้อวัว อีกทั้งนิยมบริโภคพืชผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน (Hydrophonic) ซึ่งปลอดสารพิษอีกด้วย
2. กฎระเบียบ / ภาษีนำเข้า UAE เก็บภาษีนำเข้าสินค้าอาหารต่ำมากราว 0.5% โดยสินค้าอาหารส่วนใหญ่ อาทิ ข้าวและอาหารสดจะได้รับการยกเว้นภาษีอย่างไรก็ตาม UAE จำกัดการนำเข้าสินค้าอาหารบางประเภท อาทิ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ โดยต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานด้านอาหารของ UAE ก่อน ทั้งนี้ สินค้าอาหารที่จะส่งออกไปยัง UAE ควรมีตราสัญลักษณ์รับรองผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลซึ่งแสดงถึงมาตรฐานการผลิตที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เนื่องจากเป็นจุดขายสำคัญของสินค้าในภูมิภาคตะวันออกกลาง นอกจากนี้ฉลากสินค้าควรระบุรายละเอียดต่าง ๆของสินค้าอย่างชัดเจนและควรมีภาษาอังกฤษกำกับควบคุ่กับภาษาอารบิคด้วย
3. ช่องทางการจำหน่าย สินค้าอาหารที่ UAE นำเข้าส่วนใหญ่ราว 70-75% จะส่งออกต่อ (Re-export) ไปยังประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และ ประเทศในกลุ่มประเทศเรือรัฐเอกราช(CIS) โดยมีรัฐดูไปเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า ส่วนที่เหลือจะนำเข้ามาเพื่อบริโภคภายในประเทศโดยผู้นำเข้าใน UAE จะจำหน่ายต่อไปยังร้านค้าส่งและซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ สำหรับสินค้าอาหารที่ UAE นำเข้าจากไทยมาก ได้แก่ ข้าว ปลาทูน่ากระป๋อง ผักและผลไม้สด / กระป๋อง น้ำตาล นอกจากนี้คาดว่า UAE มีแนวโน้มจะนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องปรุงรส เครื่องแกงสำเร็จรูป วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารไทย และขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันร้านอาหารไทยและร้านที่มีเมนูอาหาไทยได้รับควานิยมมากขึ้น
4. งานแสดงสินค้าอาหาร Gulf Food ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี UAE จะจัดงานแสดงสินค้าอาหารซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกได้พบปะและเจรจาธุรกิจกับตัวแทนจำหน่ายและผู้นำเข้าสินค้าของ UAE ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางรวมทั้ง CIS ซึ่งเป็นตลาดส่งออกต่อที่สำคัญของ UAE อีกด้วย
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤศจิกายน 2549--
-พห-