กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) และศูนย์การศึกษาความร่วมมือเอเชีย (ACD Study Center) เป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาระดับผู้บริหารของประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue) ในหัวข้อเรื่อง “การส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินผ่านการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย” (Enhancing Financial Cooperation through Asian Bond Market Development) ในระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม 2549 ณ โรงแรม Four Seasons กรุงเทพฯ
การสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการสัมมนามากกว่า 100 คน จาก 28 ประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย1 (Asia Cooperation Dialogue-ACD) โดยมีวิทยากรที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง กาตาร์ ปากีสถาน และประเทศไทย
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เปิดเผยสาระสำคัญของการสัมมนาฯ ในวันแรก ดังนี้
1. นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเปิดงานสัมมนาโดยได้เน้นว่าการพัฒนาตลาดพันธบัตรในเอเชียนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจเอเชีย โดยเฉพาะในการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลท้องถิ่น (Local currency-denominated Bond) ของรัฐบาล หน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชนต่างๆในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ถือได้ว่าเป็นเวทีเดียวที่ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยขยายขนาดและเพิ่มความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงสร้างระบบการเงินในภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญแห่งใหม่ให้แก่รัฐบาลและบริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย แต่ยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการลงทุนของเงินออมจำนวนมากในภูมิภาคเอเชีย โดยในปัจจุบัน
ประเทศในเอเชียรวมกันมีทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียนอกจากจะทำให้ตลาดการเงินของภูมิภาคเอเชียเข้มแข็งยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้เศรษฐกิจเอเชียเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเสริมว่าการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียจัดได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการเสริมสร้างการร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับการสัมมนาในช่วงเช้า นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ร่วมกับนาย Masahiro Kawai Head of Office of Regional Integration ธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้นำเสนอภาพรวมของการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียในภูมิภาค ว่าในช่วงที่ผ่านมา การริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียนั้นมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของตลาดพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกส่งผลให้ขนาดของตลาดพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าภูมิภาคอื่นๆ ในโลก ทั้งนี้ ในขณะที่ตลาดพันธบัตรโดยเฉลี่ยทั่วโลกขยายตัวเพียงร้อยละ 8.2 ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2540 แต่ตลาดพันธบัตรในเอเชียกลับสามารถเติบโตได้ในอัตราที่สูงกว่ามาก เช่น ตลาดพันธบัตรของประเทศอินโดนีเซียขยายตัวถึงร้อยละ 45 ต่อปี ตลาดพันธบัตรของประเทศไทยขยายตัวร้อยละ 30 ต่อปี เช่นเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐเกาหลีที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 20 ต่อปี ทำให้มูลค่าของตลาดพันธบัตรในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภูมิภาคในปี 2540 (359 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นร้อยละ 48 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภูมิภาคในปี 2548 (1,650 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
2. นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการออกพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น (1) พันธบัตรสกุลเงินเยนจำนวน 1 หมื่นล้านเยน ที่รวมออกโดยประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีสินทรัพย์ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของสาธารณรัฐเกาหลีหนุนหลัง (Collateralized Bond Obligation) (2) พันธบัตรอิสลามออกโดยประเทศมาเลเซียบนพื้นฐานหลักชาริอะฮ์ (Shariah) เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆ (3) พันธบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 4 พันล้านบาทออกโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแถบลุ่มแม่น้ำโขง และ (4) พันธบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 3 พันล้านบาท ออกโดยธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เพื่อสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย สำหรับด้านอุปสงค์ของการลงทุนในพันธบัตรเอเชียนั้น คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรเอเชีย I และ II รวมมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้กรอบความร่วมมือของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (Executives Meeting of East Asia-Pacific Central Bank-EMEAP) รวมทั้งความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียของนักลงทุนเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการสัมมนาในวันพรุ่งนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้มีโอกาสที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ในหัวข้อการปรับโครงสร้างด้านอุปสงค์ เพื่อส่งเสริมพันธบัตรเอเชีย เพื่อที่จะหาวิธีขยายช่องทางการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียให้มากยิ่งขึ้น และในหัวข้อมุมมองของภาคเอกชนในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย เพื่ออภิปรายถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ รวมทั้งข้อเสนอแนะอื่นๆ ของผู้ที่จะออกพันธบัตรและนักลงทุน สำหรับผลสรุปที่ได้จากการสัมมนาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการจัดทำนโยบายเพื่อใช้ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย (The Informal ACD Finance Minister’s Meeting — ACD FMM) ที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2549 ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิก ACD จะประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางของนโยบายในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 24/2549 24 มีนาคม 49--
การสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการสัมมนามากกว่า 100 คน จาก 28 ประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย1 (Asia Cooperation Dialogue-ACD) โดยมีวิทยากรที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่างๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง กาตาร์ ปากีสถาน และประเทศไทย
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เปิดเผยสาระสำคัญของการสัมมนาฯ ในวันแรก ดังนี้
1. นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเปิดงานสัมมนาโดยได้เน้นว่าการพัฒนาตลาดพันธบัตรในเอเชียนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจเอเชีย โดยเฉพาะในการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลท้องถิ่น (Local currency-denominated Bond) ของรัฐบาล หน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชนต่างๆในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ถือได้ว่าเป็นเวทีเดียวที่ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยขยายขนาดและเพิ่มความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงสร้างระบบการเงินในภูมิภาค โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญแห่งใหม่ให้แก่รัฐบาลและบริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย แต่ยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการลงทุนของเงินออมจำนวนมากในภูมิภาคเอเชีย โดยในปัจจุบัน
ประเทศในเอเชียรวมกันมีทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น การพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียนอกจากจะทำให้ตลาดการเงินของภูมิภาคเอเชียเข้มแข็งยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้เศรษฐกิจเอเชียเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเสริมว่าการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียจัดได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการเสริมสร้างการร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับการสัมมนาในช่วงเช้า นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ร่วมกับนาย Masahiro Kawai Head of Office of Regional Integration ธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้นำเสนอภาพรวมของการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียในภูมิภาค ว่าในช่วงที่ผ่านมา การริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียนั้นมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของตลาดพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกส่งผลให้ขนาดของตลาดพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าภูมิภาคอื่นๆ ในโลก ทั้งนี้ ในขณะที่ตลาดพันธบัตรโดยเฉลี่ยทั่วโลกขยายตัวเพียงร้อยละ 8.2 ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2540 แต่ตลาดพันธบัตรในเอเชียกลับสามารถเติบโตได้ในอัตราที่สูงกว่ามาก เช่น ตลาดพันธบัตรของประเทศอินโดนีเซียขยายตัวถึงร้อยละ 45 ต่อปี ตลาดพันธบัตรของประเทศไทยขยายตัวร้อยละ 30 ต่อปี เช่นเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐเกาหลีที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 20 ต่อปี ทำให้มูลค่าของตลาดพันธบัตรในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภูมิภาคในปี 2540 (359 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นร้อยละ 48 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภูมิภาคในปี 2548 (1,650 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
2. นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการออกพันธบัตรเงินสกุลท้องถิ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น (1) พันธบัตรสกุลเงินเยนจำนวน 1 หมื่นล้านเยน ที่รวมออกโดยประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีสินทรัพย์ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของสาธารณรัฐเกาหลีหนุนหลัง (Collateralized Bond Obligation) (2) พันธบัตรอิสลามออกโดยประเทศมาเลเซียบนพื้นฐานหลักชาริอะฮ์ (Shariah) เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆ (3) พันธบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 4 พันล้านบาทออกโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแถบลุ่มแม่น้ำโขง และ (4) พันธบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 3 พันล้านบาท ออกโดยธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) เพื่อสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย สำหรับด้านอุปสงค์ของการลงทุนในพันธบัตรเอเชียนั้น คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรเอเชีย I และ II รวมมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใต้กรอบความร่วมมือของธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (Executives Meeting of East Asia-Pacific Central Bank-EMEAP) รวมทั้งความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียของนักลงทุนเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับการสัมมนาในวันพรุ่งนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้มีโอกาสที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ในหัวข้อการปรับโครงสร้างด้านอุปสงค์ เพื่อส่งเสริมพันธบัตรเอเชีย เพื่อที่จะหาวิธีขยายช่องทางการลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชียให้มากยิ่งขึ้น และในหัวข้อมุมมองของภาคเอกชนในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย เพื่ออภิปรายถึงความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ รวมทั้งข้อเสนอแนะอื่นๆ ของผู้ที่จะออกพันธบัตรและนักลงทุน สำหรับผลสรุปที่ได้จากการสัมมนาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการจัดทำนโยบายเพื่อใช้ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย (The Informal ACD Finance Minister’s Meeting — ACD FMM) ที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2549 ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิก ACD จะประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางของนโยบายในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียต่อไป
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 24/2549 24 มีนาคม 49--