วันนี้(4 มิย.49) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในปีนี้ ถือเป็นปีมหามงคลของประเทศ แต่ได้เกิดวิกฤตในบ้านเมือง ซึ่งขณะนี้ได้คลี่คลายไปได้ด้วยกระแสพระราชดำรัส แต่ปรากฏว่า มีบางองค์กร บางบุคคล ที่ไม่แสดงตนน้อมรับพระราชดำรัส แม้ปากอาจพูดว่าน้อมรับก็ตาม ซึ่งทำให้วิกฤติประเทศนั้นยังอยู่ และเพิ่มปัญหามากขึ้น
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้วิกฤตยังคงอยู่ คือการทำหน้าที่ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งหลายเสียงเรียกร้องให้ กกต.ลาออก แต่ กกต.ก็ยังพยายามออกคำชี้แจงหลายครั้ง หลายวาระ ว่าทำไมไม่ลาออก แม้ว่า จะเป็นสิทธิของ กกต.เองที่จะชี้แจง แต่คำชี้แจงนั้น สร้างความสับสนให้สังคม เหมือนพยายามปกป้องตัวเองโดยไม่ฟังเสียงชี้แจงอื่นๆ โดยเฉพาะจากศาล แล้วยังมาพูดเหมือนตัวเองไม่ทำความผิดพลาด เช่น ออกคำชี้แจงผ่านเวปไซด์ของ กกต. ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานของ กกต. เหมือนพายเรือมาชนหินโสโครก จะเลือกหนีหรือเลือกพาเรือเข้าฝั่งให้ปลอดภัย แต่ กกต.ก็ยังจะยึดเจตนารมณ์สุจริตในการทำงาน ข้อความมันเหมือนจะบอกว่า กกต.ผิดพลาดหรือบกพร่องโดยสุจริต แต่จะสุจริตหรือทุจริต กกต.เองที่มีคำตอบ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาศาลได้ระบุชัดเจนว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่กกต.ยังไม่พิจารณาตัวเอง
“สภาพของกกต.ขณะนี้เหมือนคนตาบอดมืด พร่ามัว ที่อยู่บนเรือ มองเห็นพายุใหญ่ที่ก่อตัวทมึนอยู่เบื้องหน้า กลายเป็นสายรุ้งที่สวยสดงดงาม คนบนฝั่งบอกให้เปลี่ยนตัวกัปตันแต่ยังไม่ฟัง แถมยังจะนำเรือชนหินโสโครก และพร้อมที่จะทำให้เรือจมไปได้ด้วยมือตัวของกกต.
นายองอาจกล่าวต่อว่า อยากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนเรื่อง กกต.ให้ชัดเจน เราไม่ได้ตั้งประเด็นว่า ปัญหาเกิดจาก กกต. มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล และคงไปยืนยันอย่างนั้นไม่ได้ แต่เราอยากให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนในการคลี่คลายปัญหา เชื่อว่า มันจะคลี่คลายได้ อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ การทำหน้าที่ของศาล มีบุคคลและนักการเมืองจำนวนหนึ่ง ออกมาพูดจาพาดพิงอย่างไม่เหมาะสม ขอให้ระลึกว่า ศาลทำหน้าที่ตามกระแสพระราชดำรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราดูจดหมายที่ประธานศาลฎีกา ส่งให้ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา กรณีที่ประชุมศาลฎีกา มีมติไม่รับสรรหา กกต.เพิ่ม ก็จะยิ่งเห็นว่า ศาลดำเนินการตามพระราชอำนาจ
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคไทยรักไทย ประกาศฟ้องร้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการนำหลักฐานการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งมาเปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า สิ่งที่เรานำไปแสดงที่ศาลล้วนเป็นเรื่องจริง พิสูจน์ได้ พรรคประชาธิปัตย์และนายสุเทพไม่ได้หวั่นไหวกับการฟ้องร้อง เพราะการดำเนินคดีใดๆ โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาท ถ้าเอกสารหลักฐานเป็นจริง ก็ดำเนินการไม่ได้ การออกมาขู่ฟ้อง ก็แค่การขู่ไม่ให้เปิดเอกสารหลักฐานอะไรมากขึ้น แต่เราจะเดินหน้านำเอกสารหลักฐาน เข้าสู่การพิจารณาของศาล ขอยืนยันว่า ภาพที่นำมาแสดง ไม่ใช่การตัดต่อ ข้ออ้างนั้นไม่น่าจะมีน้ำหนักอีกต่อไป เพราะตอนแรก ก็มีการออกมาพูดว่า กระทรวงกลาโหม ไม่มีโทรทัศน์วงจรปิด พอจับได้ไล่ทันก็บอกว่า มี ตอนแรกก็บอกว่าไม่รู้จักบุคคลในภาพ ตอนหลังก็ออกมายอมรับว่า รู้จัก
นายองอาจกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทย อ้างว่า มีหลักฐานพร้อมยุบพรรคประชาธิปัตย์ และข้อสรุปของอนุกรรมการ กกต.ใกล้เสร็จแล้วนั้นตนอยากถามว่า คนของรัฐบาลไปนั่งในอนุกรรมการด้วยหรือ ถึงได้พูดอย่างนั้นได้ และทางพรรคประชาธิปัตย์พิจารณาแล้วว่า ข้อมูลไม่มีอะไรให้ถึงขั้นยุบพรรคได้
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ระบุว่า อยากลาออก แต่ต้องอยู่จัดการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ปัญหารการจัดการเลือกตั้งเกิดจากความไม่ชอบธรรมและ ที่ผ่านมา ยังจัดการเลือกตั้งระดับชาติให้เป็นที่ยอมรับไม่ได้ แล้วยังจะชอบธรรมอะไรที่มาจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.ชุดนี้จะยิ่งสร้างความเลวร้ายกับการเลือกตั้งมากขึ้น ส่วนกรณีที่ทางพรรคไทยรักไทยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาทางยุบพรรคไทยรักไทย เพราะสู้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้นั้น ขอเรียนว่า พรรคเราอยู่มา 60 ปีแล้ว คงไม่ต้องไปกังวลว่า จะต้องยุบพรรคโน้นพรรคนี้ เราห่วงประชาธิปไตยมากกว่าพรรคการเมือง ที่เราดำเนินการฟ้อง กกต.ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า ทางพรรคไทยรักไทยระบุว่า ภายหลังฉลองศิริราชสมบัติ 60 ปี มีโอกาสจะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะ 16 ล้านเสียงจะออกมาแสดงความไม่พอใจ หากมีความพยายามทำลายพรรคไทยรักไทย นายองอาจกล่าวว่า พรรคไทยรักไทย ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ก็ต้องมีส่วนในการระงับยับยั้งความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนั้น แล้วมันกลายเป็นความรับผิดชอบของใคร ไม่ควรเอาชีวิตผู้คนมาใช้เป็นเครื่องมือในการยึดครองประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า การพูดเช่นนั้น มันเป็นเจตนาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะศาล พยายามให้เห็นภาพอนาคตอันเลวร้าย ให้เดินหน้าด้วยกระบวนการเหมาะสมไม่ได้ ถ้าไม่มีใครออกมารักษาความถูกต้องชอบธรรม ก็เข้าทางพวกอยากรักษาอำนาจ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 มิ.ย. 2549--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้วิกฤตยังคงอยู่ คือการทำหน้าที่ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ซึ่งหลายเสียงเรียกร้องให้ กกต.ลาออก แต่ กกต.ก็ยังพยายามออกคำชี้แจงหลายครั้ง หลายวาระ ว่าทำไมไม่ลาออก แม้ว่า จะเป็นสิทธิของ กกต.เองที่จะชี้แจง แต่คำชี้แจงนั้น สร้างความสับสนให้สังคม เหมือนพยายามปกป้องตัวเองโดยไม่ฟังเสียงชี้แจงอื่นๆ โดยเฉพาะจากศาล แล้วยังมาพูดเหมือนตัวเองไม่ทำความผิดพลาด เช่น ออกคำชี้แจงผ่านเวปไซด์ของ กกต. ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานของ กกต. เหมือนพายเรือมาชนหินโสโครก จะเลือกหนีหรือเลือกพาเรือเข้าฝั่งให้ปลอดภัย แต่ กกต.ก็ยังจะยึดเจตนารมณ์สุจริตในการทำงาน ข้อความมันเหมือนจะบอกว่า กกต.ผิดพลาดหรือบกพร่องโดยสุจริต แต่จะสุจริตหรือทุจริต กกต.เองที่มีคำตอบ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาศาลได้ระบุชัดเจนว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่กกต.ยังไม่พิจารณาตัวเอง
“สภาพของกกต.ขณะนี้เหมือนคนตาบอดมืด พร่ามัว ที่อยู่บนเรือ มองเห็นพายุใหญ่ที่ก่อตัวทมึนอยู่เบื้องหน้า กลายเป็นสายรุ้งที่สวยสดงดงาม คนบนฝั่งบอกให้เปลี่ยนตัวกัปตันแต่ยังไม่ฟัง แถมยังจะนำเรือชนหินโสโครก และพร้อมที่จะทำให้เรือจมไปได้ด้วยมือตัวของกกต.
นายองอาจกล่าวต่อว่า อยากเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนเรื่อง กกต.ให้ชัดเจน เราไม่ได้ตั้งประเด็นว่า ปัญหาเกิดจาก กกต. มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล และคงไปยืนยันอย่างนั้นไม่ได้ แต่เราอยากให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนในการคลี่คลายปัญหา เชื่อว่า มันจะคลี่คลายได้ อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ การทำหน้าที่ของศาล มีบุคคลและนักการเมืองจำนวนหนึ่ง ออกมาพูดจาพาดพิงอย่างไม่เหมาะสม ขอให้ระลึกว่า ศาลทำหน้าที่ตามกระแสพระราชดำรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราดูจดหมายที่ประธานศาลฎีกา ส่งให้ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา กรณีที่ประชุมศาลฎีกา มีมติไม่รับสรรหา กกต.เพิ่ม ก็จะยิ่งเห็นว่า ศาลดำเนินการตามพระราชอำนาจ
นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคไทยรักไทย ประกาศฟ้องร้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องการนำหลักฐานการจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งมาเปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า สิ่งที่เรานำไปแสดงที่ศาลล้วนเป็นเรื่องจริง พิสูจน์ได้ พรรคประชาธิปัตย์และนายสุเทพไม่ได้หวั่นไหวกับการฟ้องร้อง เพราะการดำเนินคดีใดๆ โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาท ถ้าเอกสารหลักฐานเป็นจริง ก็ดำเนินการไม่ได้ การออกมาขู่ฟ้อง ก็แค่การขู่ไม่ให้เปิดเอกสารหลักฐานอะไรมากขึ้น แต่เราจะเดินหน้านำเอกสารหลักฐาน เข้าสู่การพิจารณาของศาล ขอยืนยันว่า ภาพที่นำมาแสดง ไม่ใช่การตัดต่อ ข้ออ้างนั้นไม่น่าจะมีน้ำหนักอีกต่อไป เพราะตอนแรก ก็มีการออกมาพูดว่า กระทรวงกลาโหม ไม่มีโทรทัศน์วงจรปิด พอจับได้ไล่ทันก็บอกว่า มี ตอนแรกก็บอกว่าไม่รู้จักบุคคลในภาพ ตอนหลังก็ออกมายอมรับว่า รู้จัก
นายองอาจกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พรรคไทยรักไทย อ้างว่า มีหลักฐานพร้อมยุบพรรคประชาธิปัตย์ และข้อสรุปของอนุกรรมการ กกต.ใกล้เสร็จแล้วนั้นตนอยากถามว่า คนของรัฐบาลไปนั่งในอนุกรรมการด้วยหรือ ถึงได้พูดอย่างนั้นได้ และทางพรรคประชาธิปัตย์พิจารณาแล้วว่า ข้อมูลไม่มีอะไรให้ถึงขั้นยุบพรรคได้
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.ระบุว่า อยากลาออก แต่ต้องอยู่จัดการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อนนั้น นายองอาจ กล่าวว่า ปัญหารการจัดการเลือกตั้งเกิดจากความไม่ชอบธรรมและ ที่ผ่านมา ยังจัดการเลือกตั้งระดับชาติให้เป็นที่ยอมรับไม่ได้ แล้วยังจะชอบธรรมอะไรที่มาจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.ชุดนี้จะยิ่งสร้างความเลวร้ายกับการเลือกตั้งมากขึ้น ส่วนกรณีที่ทางพรรคไทยรักไทยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามหาทางยุบพรรคไทยรักไทย เพราะสู้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้นั้น ขอเรียนว่า พรรคเราอยู่มา 60 ปีแล้ว คงไม่ต้องไปกังวลว่า จะต้องยุบพรรคโน้นพรรคนี้ เราห่วงประชาธิปไตยมากกว่าพรรคการเมือง ที่เราดำเนินการฟ้อง กกต.ก็เพื่อรักษาประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า ทางพรรคไทยรักไทยระบุว่า ภายหลังฉลองศิริราชสมบัติ 60 ปี มีโอกาสจะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะ 16 ล้านเสียงจะออกมาแสดงความไม่พอใจ หากมีความพยายามทำลายพรรคไทยรักไทย นายองอาจกล่าวว่า พรรคไทยรักไทย ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ก็ต้องมีส่วนในการระงับยับยั้งความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนั้น แล้วมันกลายเป็นความรับผิดชอบของใคร ไม่ควรเอาชีวิตผู้คนมาใช้เป็นเครื่องมือในการยึดครองประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า การพูดเช่นนั้น มันเป็นเจตนาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะศาล พยายามให้เห็นภาพอนาคตอันเลวร้าย ให้เดินหน้าด้วยกระบวนการเหมาะสมไม่ได้ ถ้าไม่มีใครออกมารักษาความถูกต้องชอบธรรม ก็เข้าทางพวกอยากรักษาอำนาจ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 มิ.ย. 2549--จบ--