แท็ก
กรมการค้าต่างประเทศ
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จะมีการปรับโครงสร้างของกรมฯ โดยจะเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศได้กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายการค้าของรัฐบาลในปัจจุบันมุ่งเน้นการเปิดเสรีทางการค้ากับประเทศคู่ค้า ส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็วจากปี พ.ศ. 2546 มีมูลค่าการค้า 155,064.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น192,679.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2547 และคาดว่า มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ใน อีก 5 ปีข้างหน้า จากสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังกล่าว ทำให้กรมการค้าต่างประเทศจำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจของหน่วยงานภายใน เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรมการค้าต่างประเทศจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจ มีดังนี้
- การดำเนินนโยบายการค้าของรัฐปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการเปิดตลาดโดยการเจรจาเปิดเสรี ทางการค้า (FTA) กับประเทศต่างๆ ทำให้กรมการค้าต่างประเทศ จำเป็นต้องเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะการให้บริการ ออกหนังสือสำคัญนำเข้า-ส่งออก โดยเฉพาะหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากปัจจุบันให้บริการออกหนังสือสำคัญฯ ประมาณ 850,000 ฉบับ/ปี ซึ่งคาดว่าในระยะอีก 5 ปีข้างหน้าปริมาณการออกหนังสือสำคัญนำเข้า-ส่งออก จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12 ล้านฉบับ/ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีได้เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในหลายข้อตกลงฯ
- ปัญหา Circumvention ในอนาคตการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าและการแอบอ้างใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้าจะมีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับปรุงและจัดตั้งหน่วยงานเป็นการเฉพาะ เพื่อกำกับดูแลและ ปกป้องการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าและการแอบอ้างสิทธิที่จะมีความสำคัญ มากขึ้น
- การดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า เช่น การทุ่มตลาด การนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจนเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้าจะทำให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีการดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อรักษาระดับดุลการค้าของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การเร่งมือร่างกฎหมายมาตรการปกป้อง (Safeguard) จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- การปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้าที่มุ่งเน้นการออกมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non Tariff Measures : NTMs)ใหม่ๆ และเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น เช่น มาตรการ Bioterrorism ของสหรัฐอเมริกา มาตรการ WEEE และ RoHs, Animal Welfare, White Paper on Chemicals , White Paper on Food Safety ของสหภาพยุโรป การกำหนดมาตรฐานสินค้าของจีนอย่างเข้มงวด เช่น CCC Mark (China Compulsory Certification) เป็นต้น ทำให้จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่จะทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ กฏระเบียบและมาตรการทางการค้าเหล่านั้น ในเชิงลึกเพื่อเตรียมรับผลกระทบที่จะมีต่อการค้าของประเทศไทย จัดทำระบบเตือนภัยและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยได้ทราบ เพื่อปรับตัวรองรับได้ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ว่าจะใช้ประโยชน์จาก มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างไร
- การสิ้นสุดลงของข้อตกลงทางการค้าตามข้อผูกพันหรือพันธกรณี ซึ่งได้แก่ การสิ้นสุดลงของข้อตกลงสินค้าสิ่งทอระหว่างประเทศ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2547 ซึ่งจะมีผลทำให้ภารกิจในการกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าสิ่งทอระหว่างประเทศต้องยุติลงตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องยุบเลิกงานที่กำกับดูแลรับผิดชอบ สิ่งทอ และ ปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานใหม่
- E-Government ต้องดำเนินการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็วโปร่งใสตรวจสอบได้ สร้างระบบ E-Foreign Trade โดยการตรวจสอบต้นทุนสินค้า และกระบวนการผลิต เพื่อพิจารณาออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และออกเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับหน่วยงานของกรมฯ ที่มีการปรับปรุงใหม่ที่ สำคัญ คือ
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาสิทธิประโยชน์ทางการค้า ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจรองรับการจัดทำ FTA ที่เพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นด้านการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ได้รับจากระบบสิทธิพิเศษฯ ได้แก่ FTA GSP GSTP และ ASEAN CEPT
- สำนักป้องกันการแอบอ้างสิทธิ ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจรองรับการจัดทำ FTA โดยมีภารกิจในการกำกับดูแล กฎและหลักเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า ตลอดจนวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติด้านแหล่งกำเนิดสินค้า การตรวจสอบกระบวนการผลิตและต้นทุนให้เป็นไปตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่กำหนดเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางการค้าตลอดจนดำเนินการป้องกันการแอบอ้างสิทธิ โดยดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าย้อนหลัง (Verification)
- สำนักบริการการค้าต่างประเทศ ปรับเปลี่ยนเพิ่มภารกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของเขตการค้าเสรี โดยมุ่งเน้น การปรับปรุงขีดความสามารถในการให้บริการออกเอกสารสำคัญ นำเข้า — ส่งออกทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Foreign Trade) ให้แก่ประชาชนครบ ทุกชนิดและขยายเครือข่ายการให้บริการให้ครอบคลุมไปยังระดับภูมิภาคด้วย
- สำนักมาตรการทางการค้า เพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้า ที่เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น โดยมีภารกิจในการ ปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการออกมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีใหม่ ๆ เช่น มาตรการ Bioterrorism ของสหรัฐอเมริกา ระเบียบว่าด้วยเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE) , ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) มาตรการสุขอนามัยของสัตว์ ,มาตรการสุขอนามัยด้านอาหาร และ เคมีภัณฑ์ ของสหภาพยุโรป การกำหนดมาตรฐานสินค้าของจีนอย่างเข้มงวด เช่น CCC Mark รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการค้าของไทย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวในท้ายที่สุดว่า กรมฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อสนับสนุนการบริหารงานตามภารกิจของกรมฯ จำนวน 3 กอง คือ
- กองเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการสนับสนุนหน่วยงานภายในกรมฯในด้านเทคนิค และวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งประสานการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานของกรมฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวง (MOC) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) รวมทั้งเป็นหน่วยงานสำคัญในการสนับสนุนระบบ E-Foreign Trade
- กองนโยบายการค้าและพัฒนาระบบ เป็นหน่วยงานวิชาการที่มีภารกิจในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม กำหนดแนวทางการพัฒนาระบบบริหารตามมิติต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการบริหารการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกรมฯ
- กองนิติการ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการสนับสนุนและปกป้องผลประโยชน์ของกรมฯ และรัฐในด้านกฎหมาย เนื่องจากกรมมีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายฉบับ ภารกิจในด้านนี้จึงมีความจำเป็น ส่วนภารกิจเร่งด่วนที่กรมฯ กำลังดำเนินการ คือ การยกร่างกฎหมายพ.ร.บ.ว่าด้วยการกำหนดมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-
- การดำเนินนโยบายการค้าของรัฐปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการเปิดตลาดโดยการเจรจาเปิดเสรี ทางการค้า (FTA) กับประเทศต่างๆ ทำให้กรมการค้าต่างประเทศ จำเป็นต้องเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะการให้บริการ ออกหนังสือสำคัญนำเข้า-ส่งออก โดยเฉพาะหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากปัจจุบันให้บริการออกหนังสือสำคัญฯ ประมาณ 850,000 ฉบับ/ปี ซึ่งคาดว่าในระยะอีก 5 ปีข้างหน้าปริมาณการออกหนังสือสำคัญนำเข้า-ส่งออก จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12 ล้านฉบับ/ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีได้เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในหลายข้อตกลงฯ
- ปัญหา Circumvention ในอนาคตการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าและการแอบอ้างใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้าจะมีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับปรุงและจัดตั้งหน่วยงานเป็นการเฉพาะ เพื่อกำกับดูแลและ ปกป้องการปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าและการแอบอ้างสิทธิที่จะมีความสำคัญ มากขึ้น
- การดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า เช่น การทุ่มตลาด การนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจนเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้าจะทำให้มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีการดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อรักษาระดับดุลการค้าของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การเร่งมือร่างกฎหมายมาตรการปกป้อง (Safeguard) จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- การปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้าที่มุ่งเน้นการออกมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non Tariff Measures : NTMs)ใหม่ๆ และเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น เช่น มาตรการ Bioterrorism ของสหรัฐอเมริกา มาตรการ WEEE และ RoHs, Animal Welfare, White Paper on Chemicals , White Paper on Food Safety ของสหภาพยุโรป การกำหนดมาตรฐานสินค้าของจีนอย่างเข้มงวด เช่น CCC Mark (China Compulsory Certification) เป็นต้น ทำให้จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่จะทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ กฏระเบียบและมาตรการทางการค้าเหล่านั้น ในเชิงลึกเพื่อเตรียมรับผลกระทบที่จะมีต่อการค้าของประเทศไทย จัดทำระบบเตือนภัยและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไทยได้ทราบ เพื่อปรับตัวรองรับได้ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ว่าจะใช้ประโยชน์จาก มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างไร
- การสิ้นสุดลงของข้อตกลงทางการค้าตามข้อผูกพันหรือพันธกรณี ซึ่งได้แก่ การสิ้นสุดลงของข้อตกลงสินค้าสิ่งทอระหว่างประเทศ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2547 ซึ่งจะมีผลทำให้ภารกิจในการกำกับดูแลการปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าสิ่งทอระหว่างประเทศต้องยุติลงตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องยุบเลิกงานที่กำกับดูแลรับผิดชอบ สิ่งทอ และ ปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานใหม่
- E-Government ต้องดำเนินการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็วโปร่งใสตรวจสอบได้ สร้างระบบ E-Foreign Trade โดยการตรวจสอบต้นทุนสินค้า และกระบวนการผลิต เพื่อพิจารณาออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และออกเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับหน่วยงานของกรมฯ ที่มีการปรับปรุงใหม่ที่ สำคัญ คือ
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาสิทธิประโยชน์ทางการค้า ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจรองรับการจัดทำ FTA ที่เพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นด้านการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ได้รับจากระบบสิทธิพิเศษฯ ได้แก่ FTA GSP GSTP และ ASEAN CEPT
- สำนักป้องกันการแอบอ้างสิทธิ ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจรองรับการจัดทำ FTA โดยมีภารกิจในการกำกับดูแล กฎและหลักเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้า ตลอดจนวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติด้านแหล่งกำเนิดสินค้า การตรวจสอบกระบวนการผลิตและต้นทุนให้เป็นไปตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่กำหนดเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางการค้าตลอดจนดำเนินการป้องกันการแอบอ้างสิทธิ โดยดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าย้อนหลัง (Verification)
- สำนักบริการการค้าต่างประเทศ ปรับเปลี่ยนเพิ่มภารกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของเขตการค้าเสรี โดยมุ่งเน้น การปรับปรุงขีดความสามารถในการให้บริการออกเอกสารสำคัญ นำเข้า — ส่งออกทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Foreign Trade) ให้แก่ประชาชนครบ ทุกชนิดและขยายเครือข่ายการให้บริการให้ครอบคลุมไปยังระดับภูมิภาคด้วย
- สำนักมาตรการทางการค้า เพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้า ที่เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น โดยมีภารกิจในการ ปกป้องอุตสาหกรรมภายในจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการออกมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษีใหม่ ๆ เช่น มาตรการ Bioterrorism ของสหรัฐอเมริกา ระเบียบว่าด้วยเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE) , ระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) มาตรการสุขอนามัยของสัตว์ ,มาตรการสุขอนามัยด้านอาหาร และ เคมีภัณฑ์ ของสหภาพยุโรป การกำหนดมาตรฐานสินค้าของจีนอย่างเข้มงวด เช่น CCC Mark รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการค้าของไทย
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวในท้ายที่สุดว่า กรมฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อสนับสนุนการบริหารงานตามภารกิจของกรมฯ จำนวน 3 กอง คือ
- กองเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการสนับสนุนหน่วยงานภายในกรมฯในด้านเทคนิค และวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งประสานการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานของกรมฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวง (MOC) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) รวมทั้งเป็นหน่วยงานสำคัญในการสนับสนุนระบบ E-Foreign Trade
- กองนโยบายการค้าและพัฒนาระบบ เป็นหน่วยงานวิชาการที่มีภารกิจในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม กำหนดแนวทางการพัฒนาระบบบริหารตามมิติต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการบริหารการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของกรมฯ
- กองนิติการ เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการสนับสนุนและปกป้องผลประโยชน์ของกรมฯ และรัฐในด้านกฎหมาย เนื่องจากกรมมีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายฉบับ ภารกิจในด้านนี้จึงมีความจำเป็น ส่วนภารกิจเร่งด่วนที่กรมฯ กำลังดำเนินการ คือ การยกร่างกฎหมายพ.ร.บ.ว่าด้วยการกำหนดมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น
--กรมการค้าระหว่างประเทศ--
-สส-