‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ เผย แนวทางการอภิปรายจะไม่ให้ยืดเยื้อ เน้นสาระและจำกัดประเด็นหลักๆ เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถตอบได้ตรง ย้ำยังอยากให้นายกฯเข้าฟังการอภิปราย
วันนี้ (22 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มติของวิปรัฐบาลที่ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมล่วงหน้า ไม่อยู่นอกเหนือความความหมาย แต่คิดว่ามตินี้ไม่ให้ความเคารพให้เกียรติรัฐธรรมนูญหรือเจตนารมณ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะยังไม่ได้ฟังข้อมูลจากอีกฝ่ายหรือที่จริงแล้วข้อมูลที่บอกว่ามีอยู่แล้วก็ยังไม่ได้มีการถูกนำมาวิเคราะห์ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ในการที่จะได้ความจริง แต่กลับมีการกำหนดท่าทีล่วงหน้า และมีมติสำทับอีกว่า ส.ส. คนใดฝ่าฝืนมตินี้จะถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นคิดว่ามตินี้ไม่สู้จะดีนักในยุคของการปฏิรูปการเมือง เพราะน่าจะรอดูข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริงของฝ่ายค้านกันบ้าง
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีประกาศเองว่าจะไม่มาร่วมการประชุมสภาที่จะมีการพิจารณาญัตติในวันนั้น นายอภิสิทธิ์เห็นว่า เป็นการตอกย้ำจิตวิญญาณที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ซาบซึ้งถึงคุณค่าระบบรัฐสภาของนายกฯ เพราะตามระบบรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินในสภาผู้แทนราษฎร แต่ปัจจุบันมีความคิดกันว่าเมื่อรัฐมนตรีไม่ได้เป็น ส.ส. แล้ว ก็ไม่ต้องมาทำงานสภา ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรง หรือเป็นข้ออ้างมากกว่า ความจริงแล้วถ้านายกรัฐมนตรี จริงจังกับการปราบปรามการทุจริต จริงจังกับการเคารพเสียงของประชาชน และคำนึงถึงความเป็นนักประชาธิปไตย ก็ควรจะมารับฟังว่า ข้อมูลหลักฐานต่างๆ เหตุผลที่เรานำเสนอเป็นอย่างไร ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งท่านอาจจะมองข้ามไป หรือไม่ทราบมาก่อน ท่านก็จะได้ใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากข้อเท็จจริงของพรรคฝ่ายค้านคลาดเคลื่อนหรือมันถูกหักล้างได้ ท่านก็จะได้ฟังการชี้แจง หรือสามารถชี้แจงเองก็ได้ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับท่าน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง
‘อันนี้คือสิ่งที่มันควรจะเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ของระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าขณะนี้ผมเองก็แปลกใจว่า ท่านนายกฯ บอกว่า 1. ไม่มาฟัง 2. ข้อมูลเพียงพอแล้วที่จะบอกว่าไว้วางใจ และ3. พยายามที่จะมาพูดจาให้ร้ายฝ่ายค้าน ว่ามีหลักฐานเท็จ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งต้องเรียนว่า ถ้าสมมุติว่าผมสามารถชี้ให้เห็นว่า เอกสารที่รัฐบาลนำมาชี้แจงเป็นเท็จ ท่านจะดำเนินการว่าเป็นการใช้เอกสารเท็จโดยคนของรัฐบาล เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรจะจับตา แล้วก็ต้องบอกนายกฯว่า เรามีนายกฯ มาในวิถีทางประชาธิปไตย ต้องมีความรับผิดชอบพื้นฐานอะไร เพียงเท่านี้ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านก็อยู่ผิดระบบแล้ว’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่พูดดักคอหรือดักทางอะไรไม่ทราบ โดยบอกว่าการอภิปรายครั้งนี้เดี๋ยวฝ่ายค้านก็พาดพิงท่านอยู่ดี และเป็นความพยายามที่ทำมา 4 —5 ปีแล้ว อภิปรายทีไรก็พาดพิงนายกทุกที ตนก็ต้องถามกลับไปว่าเวลาที่ ส.ส. จะฝ่ายไหนก็ตามพาดพิงถึงท่าน เป็นการพาดพิงเพราะมีข้อเท็จริงหรือไม่ ถ้ามีข้อเท็จจริงรองรับ แล้วจะไม่ให้พูดได้อย่างไร
‘ถ้าใครก็ตามจะเป็นผมหรือ ส.ส. หรือสื่อมวลชนไปพาดพิงท่าน แล้วมันไม่จริง ท่านก็บอกมาสิว่ามันไม่จริง และที่พยายามจะสร้างภาพขึ้นมา บอกว่าประชาธิปัตย์ไปหาเรื่องนายกฯทุกเรื่องเป็นการส่วนตัว เช่น คดีซุกหุ้น ก็ต้องทวนความจำว่าคดีซุกหุ้น เป็นการไปเปิดเผยข้อมูลโดยสื่อมวลชนฉบับหนึ่ง คือ ประชาชาติธุรกิจ ที่เอาเรื่องไปร้อง ปปช. ก็เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นนี่ยกให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าอย่างนี้ล่ะมันต้องเอาความจริงมาพูดกัน อย่าบิดเบือนความจริง และกล่าวหาให้ร้ายคนอื่น อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเลยว่าท่านนายกฯก็ไม่ได้พูดความจริง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ความพยายามของนายกฯที่บอกว่ารัฐมนตรีพูดไม่เก่ง อันนี้ก็ดูถูกประชาชน เพราะประชาชนคงจะดูว่าใครพูดจริง ไม่จริง ตามเอกสารหลักฐานเหตุผลมากกว่า ตนยังไม่เคยเห็นว่ามีใครที่อยากจะขับไสไล่ส่งรัฐมนตรีเพียงเพราะว่าพูดตะกุกตะกักหรือพูดไม่ชัด แต่ที่เขาไม่พอใจก็เพราะว่าไม่ตอบคำถามหรือถูกจับได้ไล่ทันว่าสิ่งที่พูดไม่จริง เพราะฉะนั้นอย่าพยายามทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สื่อสารไปถึงประชาชนว่าการอภิปรายเป็นกระบวนการที่ใช้ไม่ได้ ไม่สร้างสรรค์ เพราะนี่คือกระบวนการสำคัญที่เป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายอภิสิทธิ์อาจจะอภิปรายฉายเดี่ยว 3 ชั่วโมงรวด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ‘เป็นไปไม่ได้หรอกครับ แหม..จะให้ผมอภิปรายตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วไม่ให้คนอื่นพูดคงเป็นไปไม่ได้ และทางพรรคชาติไทยก็มาร่วมอภิปรายด้วย แต่ผมก็จะทำหน้าที่ในการอภิปรายนำ และก็จะมีการแบ่งประเด็นต่างๆให้สมาชิกที่ทำงานเรื่องนี้มานำเสนอรายละเอียด’
นอกจากนี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเปิดเผยถึงจำนวนผู้อภิปรายว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์คงจะมีผู้อภิปรายไม่เกิน 6 คน และในส่วนของพรรคชาติไทยจะมี 2 คน ไม่นับหัวหน้าพรรค ซึ่งจำนวนผู้อภิปรายคงไม่เพิ่ม และอาจจะลดลง เนื่องจากไม่อยากให้ยืดเยื้อ ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นรายละเอียดก็มีเยอะ แต่ว่าไม่อยากให้ไปตรงกันในเรื่องรายละเอียดมากจนเกินไป เพราะแทนที่จะทำให้เกิดความชัดเจนก็จะกลายเป็น 1. น่าเบื่อ และ2. สับสน เพราะฉะนั้นแนวทางก็จะตรงกันคืออะไรที่ถึงแม้จะเป็นข้อเท็จจริง เป็นประเด็นที่อยากให้ประชาชนรู้ แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาในญัตติโดยตรง ก็ต้องทำใจตัดออกไป และเรื่องที่มีคนพูดไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก และคงไม่จำเป็นต้องซ้อมใหญ่ เพียงแต่มาช่วยกันเรียบเรียงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่บอก ซึ่งจะเน้นในเรื่องของสาระและจำกัดประเด็นที่เป็นประเด็นหลักๆ เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถตอบได้ตรง
‘ที่มีคนกลัวว่าข้อสอบจะรั่ว ไม่ต้องกลัว ผมว่าครั้งนี้แทบจะเป็นข้อสอบ open book ด้วยซ้ำ เพราะเราบอกล่วงหน้าเลยว่าจะอภิปรายโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ผมไม่กังวลเรื่องข้อสอบรั่วเลย เพราะว่าข้อเท็จจริงทั้งหลายชัดเจน เพียงแต่ว่าข้อมูลบางส่วนยังไม่เคยถูกนำเสนอต่อสาธารณะ หรือข้อมูลที่มีการนำเสนอไปแล้วแต่ถูกมองข้าม ซึ่งตรงนี้จะเป็นคำตอบว่ามีการทุจริตหรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 มิ.ย. 2548--จบ--
วันนี้ (22 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มติของวิปรัฐบาลที่ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมล่วงหน้า ไม่อยู่นอกเหนือความความหมาย แต่คิดว่ามตินี้ไม่ให้ความเคารพให้เกียรติรัฐธรรมนูญหรือเจตนารมณ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะยังไม่ได้ฟังข้อมูลจากอีกฝ่ายหรือที่จริงแล้วข้อมูลที่บอกว่ามีอยู่แล้วก็ยังไม่ได้มีการถูกนำมาวิเคราะห์ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ในการที่จะได้ความจริง แต่กลับมีการกำหนดท่าทีล่วงหน้า และมีมติสำทับอีกว่า ส.ส. คนใดฝ่าฝืนมตินี้จะถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นคิดว่ามตินี้ไม่สู้จะดีนักในยุคของการปฏิรูปการเมือง เพราะน่าจะรอดูข้อมูลหลักฐานข้อเท็จจริงของฝ่ายค้านกันบ้าง
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีประกาศเองว่าจะไม่มาร่วมการประชุมสภาที่จะมีการพิจารณาญัตติในวันนั้น นายอภิสิทธิ์เห็นว่า เป็นการตอกย้ำจิตวิญญาณที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ซาบซึ้งถึงคุณค่าระบบรัฐสภาของนายกฯ เพราะตามระบบรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินในสภาผู้แทนราษฎร แต่ปัจจุบันมีความคิดกันว่าเมื่อรัฐมนตรีไม่ได้เป็น ส.ส. แล้ว ก็ไม่ต้องมาทำงานสภา ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรง หรือเป็นข้ออ้างมากกว่า ความจริงแล้วถ้านายกรัฐมนตรี จริงจังกับการปราบปรามการทุจริต จริงจังกับการเคารพเสียงของประชาชน และคำนึงถึงความเป็นนักประชาธิปไตย ก็ควรจะมารับฟังว่า ข้อมูลหลักฐานต่างๆ เหตุผลที่เรานำเสนอเป็นอย่างไร ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งท่านอาจจะมองข้ามไป หรือไม่ทราบมาก่อน ท่านก็จะได้ใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากข้อเท็จจริงของพรรคฝ่ายค้านคลาดเคลื่อนหรือมันถูกหักล้างได้ ท่านก็จะได้ฟังการชี้แจง หรือสามารถชี้แจงเองก็ได้ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับท่าน เพื่อให้เกิดความกระจ่าง
‘อันนี้คือสิ่งที่มันควรจะเป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ของระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าขณะนี้ผมเองก็แปลกใจว่า ท่านนายกฯ บอกว่า 1. ไม่มาฟัง 2. ข้อมูลเพียงพอแล้วที่จะบอกว่าไว้วางใจ และ3. พยายามที่จะมาพูดจาให้ร้ายฝ่ายค้าน ว่ามีหลักฐานเท็จ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งต้องเรียนว่า ถ้าสมมุติว่าผมสามารถชี้ให้เห็นว่า เอกสารที่รัฐบาลนำมาชี้แจงเป็นเท็จ ท่านจะดำเนินการว่าเป็นการใช้เอกสารเท็จโดยคนของรัฐบาล เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนควรจะจับตา แล้วก็ต้องบอกนายกฯว่า เรามีนายกฯ มาในวิถีทางประชาธิปไตย ต้องมีความรับผิดชอบพื้นฐานอะไร เพียงเท่านี้ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านก็อยู่ผิดระบบแล้ว’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่พูดดักคอหรือดักทางอะไรไม่ทราบ โดยบอกว่าการอภิปรายครั้งนี้เดี๋ยวฝ่ายค้านก็พาดพิงท่านอยู่ดี และเป็นความพยายามที่ทำมา 4 —5 ปีแล้ว อภิปรายทีไรก็พาดพิงนายกทุกที ตนก็ต้องถามกลับไปว่าเวลาที่ ส.ส. จะฝ่ายไหนก็ตามพาดพิงถึงท่าน เป็นการพาดพิงเพราะมีข้อเท็จริงหรือไม่ ถ้ามีข้อเท็จจริงรองรับ แล้วจะไม่ให้พูดได้อย่างไร
‘ถ้าใครก็ตามจะเป็นผมหรือ ส.ส. หรือสื่อมวลชนไปพาดพิงท่าน แล้วมันไม่จริง ท่านก็บอกมาสิว่ามันไม่จริง และที่พยายามจะสร้างภาพขึ้นมา บอกว่าประชาธิปัตย์ไปหาเรื่องนายกฯทุกเรื่องเป็นการส่วนตัว เช่น คดีซุกหุ้น ก็ต้องทวนความจำว่าคดีซุกหุ้น เป็นการไปเปิดเผยข้อมูลโดยสื่อมวลชนฉบับหนึ่ง คือ ประชาชาติธุรกิจ ที่เอาเรื่องไปร้อง ปปช. ก็เป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นนี่ยกให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าอย่างนี้ล่ะมันต้องเอาความจริงมาพูดกัน อย่าบิดเบือนความจริง และกล่าวหาให้ร้ายคนอื่น อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเลยว่าท่านนายกฯก็ไม่ได้พูดความจริง’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ความพยายามของนายกฯที่บอกว่ารัฐมนตรีพูดไม่เก่ง อันนี้ก็ดูถูกประชาชน เพราะประชาชนคงจะดูว่าใครพูดจริง ไม่จริง ตามเอกสารหลักฐานเหตุผลมากกว่า ตนยังไม่เคยเห็นว่ามีใครที่อยากจะขับไสไล่ส่งรัฐมนตรีเพียงเพราะว่าพูดตะกุกตะกักหรือพูดไม่ชัด แต่ที่เขาไม่พอใจก็เพราะว่าไม่ตอบคำถามหรือถูกจับได้ไล่ทันว่าสิ่งที่พูดไม่จริง เพราะฉะนั้นอย่าพยายามทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สื่อสารไปถึงประชาชนว่าการอภิปรายเป็นกระบวนการที่ใช้ไม่ได้ ไม่สร้างสรรค์ เพราะนี่คือกระบวนการสำคัญที่เป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายอภิสิทธิ์อาจจะอภิปรายฉายเดี่ยว 3 ชั่วโมงรวด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ‘เป็นไปไม่ได้หรอกครับ แหม..จะให้ผมอภิปรายตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วไม่ให้คนอื่นพูดคงเป็นไปไม่ได้ และทางพรรคชาติไทยก็มาร่วมอภิปรายด้วย แต่ผมก็จะทำหน้าที่ในการอภิปรายนำ และก็จะมีการแบ่งประเด็นต่างๆให้สมาชิกที่ทำงานเรื่องนี้มานำเสนอรายละเอียด’
นอกจากนี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเปิดเผยถึงจำนวนผู้อภิปรายว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์คงจะมีผู้อภิปรายไม่เกิน 6 คน และในส่วนของพรรคชาติไทยจะมี 2 คน ไม่นับหัวหน้าพรรค ซึ่งจำนวนผู้อภิปรายคงไม่เพิ่ม และอาจจะลดลง เนื่องจากไม่อยากให้ยืดเยื้อ ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นรายละเอียดก็มีเยอะ แต่ว่าไม่อยากให้ไปตรงกันในเรื่องรายละเอียดมากจนเกินไป เพราะแทนที่จะทำให้เกิดความชัดเจนก็จะกลายเป็น 1. น่าเบื่อ และ2. สับสน เพราะฉะนั้นแนวทางก็จะตรงกันคืออะไรที่ถึงแม้จะเป็นข้อเท็จจริง เป็นประเด็นที่อยากให้ประชาชนรู้ แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาในญัตติโดยตรง ก็ต้องทำใจตัดออกไป และเรื่องที่มีคนพูดไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก และคงไม่จำเป็นต้องซ้อมใหญ่ เพียงแต่มาช่วยกันเรียบเรียงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่บอก ซึ่งจะเน้นในเรื่องของสาระและจำกัดประเด็นที่เป็นประเด็นหลักๆ เพื่อให้รัฐมนตรีสามารถตอบได้ตรง
‘ที่มีคนกลัวว่าข้อสอบจะรั่ว ไม่ต้องกลัว ผมว่าครั้งนี้แทบจะเป็นข้อสอบ open book ด้วยซ้ำ เพราะเราบอกล่วงหน้าเลยว่าจะอภิปรายโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ผมไม่กังวลเรื่องข้อสอบรั่วเลย เพราะว่าข้อเท็จจริงทั้งหลายชัดเจน เพียงแต่ว่าข้อมูลบางส่วนยังไม่เคยถูกนำเสนอต่อสาธารณะ หรือข้อมูลที่มีการนำเสนอไปแล้วแต่ถูกมองข้าม ซึ่งตรงนี้จะเป็นคำตอบว่ามีการทุจริตหรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 22 มิ.ย. 2548--จบ--